เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 360 ยังมีหมากตาท้ายดังคาด
ตอนที่ 360 ยังมีหมากตาท้ายดังคาด
ตอนนี้หากเทียบร่างปีศาจของเจ้าภูเขาลู่กับเจวี๋ยหมิงแล้ว คล้ายจิ้งหรีดตัวหนึ่งยืนข้างกรงเล็บแมวยักษ์ตัวหนึ่ง ดวงตาราวจักระทองสร้างแรงกดดันแก่เจวี๋ยหมิงและภิกษุชราสามรูปอย่างมาก
เมื่อสบสายตาความรู้สึกหวาดกลัวผิดธรรมดาแผ่ขยาย แม้แต่พวกภิกษุชรายังได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตนดังขึ้นรางๆ นี่คืออาการผิดปกติอย่างหนึ่ง สภาวะจิตได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว รู้อยู่ว่าเป็นวิชาปีศาจ แต่กลับไม่อาจต้านทาน
สุดท้ายภิกษุชราที่เป็นผู้นำถือว่ามรรควิถีค่อนข้างสูง เขาฝืนข่มอิทธิพลจากสภาวะจิต พนมมือเอ่ยท่องธรรม
“สาธุพระวิทยาราช โยมลู่ เจวี๋ยหมิงสำคัญต่อสำนักพุทธของอาตมามาก ผลกรรมทุกอย่างสำนักพุทธของพวกอาตมายอมแบกรับแทนเขา…”
ตึกตัก…
ไม่ทันพูดจบหัวใจภิกษุชราพลันกระตุก รู้สึกเหมือนวิญญาณออกจากร่างก่อนหวนกลับมาชั่วพริบตา
จากนั้นภิกษุชราตกสู่สภาพเหม่อลอย กล้ามเนื้อทั้งตัวค้างแข็ง ไม่อาจขยับปาก นอกจากหายใจอย่างยากลำบากแล้ว เขาทำอะไรไม่ได้เลย ภิกษุชราอีกสองรูปก็เช่นกัน คล้ายว่าเปลี่ยนเป็นหุ่นไม้
เจ้าภูเขาลู่เป่าลมออกมาเบาๆ เกิดลมหมุนวนระลอกหนึ่ง พัดภิกษุชราสามรูปไปด้านข้าง มีเพียงเจวี๋ยหมิงที่แม้ว่าลมพัดจนลืมตาไม่ขึ้น ถึงขั้นโซเซไปมา แต่กลับไม่เคยถูกพัดพาไป
ระหว่างนี้เขายังคงมองเจวี๋ยหมิง คล้ายว่าอย่างอื่นไม่ควรค่าแก่การสนใจ
“ได้ ในเมื่อเจ้าอยากหลุดพ้นก็ลงมือเองเถอะ”
เจ้าภูเขาลู่สะบัดมือ คทาขักขระซึ่งเดิมฝังอยู่กับซากเรือนปรักหักพังที่ห่างไกลลอยกลับมา หยุดอยู่ตรงหน้าจ้าวหลง
“บางทีอาจเป็นเพราะมีภิกษุเหล่านี้อยู่ เจ้าจึงไม่อาจปลดปล่อยตัวเองมาตลอด วางใจเถอะ ตอนนี้ทั่วอารามวิทยาราชไม่มีภิกษุรูปใดขวางเจ้าได้ ลงมือเองเถอะ ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์คทาขักขระ ปลิดชีพจนจิตสิ้นวิญญาณสลาย”
เจ้าภูเขาลู่ก้มศีรษะประชิดตัวเขา ดวงตาราวจักระทองอยู่ห่างจากเจวี๋ยหมิงแค่หนึ่งฉื่อ
“ลงมือเถอะ ปีนั้นเจ้าเมาสุราถูกคนอื่นได้ยินความลับ ไม่มีความกล้าแบกรับผลด้วยกลัวชื่อเสียงย่อยยับ วันนี้เวลานี้ น่าจะมีความกล้าจบชีวิตตัวเองแล้วกระมัง”
คำกล่าวว่าคทาขักขระทำให้จ้าวหลงจิตสิ้นวิญญาณสลาย ล้วนเป็นคำโกหกของเจ้าภูเขาลู่ เขาไม่รู้จักอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักพุทธแม้แต่น้อย คำกล่าวเช่นนี้เป็นความคิดของเขาเอง
เพลิงปีศาจพันรอบตัวภิกษุเจวี๋ยหมิงเป็นระลอก นัยน์ตาจักระทองของปีศาจเหมือนเงินตำลึงสีทองอ่อนขนาดมหึมา สะท้อนเงาร่างของผู้สวมจีวร เผยความรู้สึกในใจอย่างต่อเนื่อง ดีชั่วถูกผิดล้วนเป็นเช่นนี้
ภิกษุเจวี๋ยหมิงมองคทาขักขระที่ลอยอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาจักระทองมหึมาของเจ้าภูเขาลู่เป็นฉากหลัง ยิ่งขับเน้นความบริสุทธิ์ของคทาขักขระสีเงินนี้
แม้ว่าตอนนี้จี้หยวนอยู่เหนือเมฆ แต่ด้วยลืมตาทิพย์เต็มที่ กอปรกับทั่วอารามวิทยาราชมีปราณปีศาจและพลังธรรม ตัวจ้าวหลงเองไม่ธรรมดามาก ทำให้จี้หยวนมองเห็นทุกอย่างชัดเจนอย่างหายากยิ่ง
ในสายตาจี้หยวนตอนนี้เจ้าภูเขาลู่กำลังสำแดงอภินิหารพิเศษ
‘กระตุกจิตวิญญาณ คันฉ่องส่องสะท้อน อาศัยของวิเศษ ร่างเงาส่อสำแดง!’
วิธีการเช่นนี้ไม่รู้ว่าเจ้าภูเขาลู่เพิ่งคิดออกหรือไม่ ถึงขั้นว่าอาจเป็นแค่การใช้สัญชาตญาณ คล้ายแสงตะเกียงสลัวภายในห้องหม่นแสง ทำให้รอยเปื้อนบนพื้นยิ่งสะดุดตา ทำให้แขกกับเจ้าของห้องมองเห็นกัน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ บางทีอาจมีแค่เจ้าภูเขาลู่ที่เห็นสิ่งฝังลึกในจิตใจอย่างชัดเจน แต่ตาทิพย์ของจี้หยวนกลับมองเห็นสิ่งอื่นอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่นแสงทองเลือนรางซึ่งปกคลุมตัวจ้าวหลงเหมือนเนื้อเยื่อ แสงซ่อนเร้นบนตัวเขามีอักษรคัมภีร์พุทธหมุนวน ไม่รู้ว่าเจ้าภูเขาลู่มองเห็นหรือไม่
เจวี๋ยหมิงยกมือขึ้นอย่างสั่นเทา ยื่นไปหาคทาขักขระช้าๆ ชะงักยามสัมผัสคทาขักขระเล็กน้อย จากนั้นค่อยคว้ามันไว้
“แบบนี้ก็ดี… เดิมอาตมาก็ไม่ใช่ภิกษุอย่างแท้จริง…”
เจวี๋ยหมิงกล่าวพึมพำ กุมคทาขักขระเหวี่ยงออกนอกตัว กล้ามเนื้อบนแขนปูดขึ้นเล็กน้อย จากนั้นค่อยหลับตากระตุ้นปราณดั้งเดิมออกแรงซัดเข้ากลางศีรษะตนเต็มที่
ตึง…
การโจมตีของคทาขักขระไม่โดนกลางศีรษะเจวี๋ยหมิง แต่โดนกรงเล็บซึ่งเจ้าภูเขาลู่ยื่นมา เกิดเสียงดังทองเหล็กกระทบ
เมื่อเจวี๋ยหมิงลืมตามองเจ้าภูเขาลู่อย่างประหลาดใจ ฝ่ายหลังเอ่ยปากก่อนแล้ว
“อยากตายนั้นง่ายมาก แต่ตอนนั้นเจ้าตั้งปณิธานอายุขัยไร้ขอบเขตใช้กรรมไร้สิ้นสุด ทำให้เหล่าภิกษุเห็นแก่เจ้าเช่นนี้ ถือว่าเป็นศิษย์สำนักพุทธคนหนึ่ง เจ้าคิดรวบรัดตัดจบจริงหรือ”
เจวี๋ยหมิงมองเจ้าภูเขาลู่ เมื่อครู่ยามใช้คทาขักขระฟาดตัวเอง ความรู้สึกนานัปการบรรลุถึงขีดสุด ตอนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมา จิตใจกลับเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบพลางเอ่ยถาม
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าภูเขาเห็นว่าอย่างไรเล่า ข้าควรลงเขาไปชดใช้ความผิดก่อนค่อยตายหรือ”
เจ้าภูเขาลู่ยิงฟันเผยคมเขี้ยว ส่ายศีรษะพลางกล่าว
“ต่อให้ข้าเชื่อเจ้า แต่กลับไม่เชื่อภิกษุที่อาจกักบริเวณเจ้าพวกนี้ ในเมื่อเจ้าอยากตายแล้วยังมีอีกวิธีหนึ่ง แม้ว่าไม่อาจทำตามใจเจ้า แต่กลับทำให้ข้ารับรู้ความดีความชั่วจากความคิดของเจ้า มองออกว่าจริงใจหรือไม่ ทั้งยังส่งผลต่อสัญญาระหว่างเจ้ากับข้า ภายหน้าเจ้าสามารถบำเพ็ญเพียรได้ ทั้งไม่ส่งผลกระทบอะไร”
“วิธีอะไร”
“หึๆๆ ง่ายมาก ให้ข้ากินเจ้า เปลี่ยนเจ้าเป็นผีชางในร่างภิกษุ ข้าย่อมเห็นความดีความชั่วของเจ้าได้ รู้ว่าความคิดเจ้าน่าเลื่อมใสหรือไม่ ขอแค่ข้าไม่ก้าวก่าย เจ้าสามารถบำเพ็ญเพียรทั้งชดใช้กรรมได้ ถึงขั้นว่าไม่ต้องบิณฑบาตด้วย”
เจวี๋ยหมิงยิ้มเหมือนว่าไร้สาระอยู่บ้าง
“ถ้าอย่างนั้นเหตุใดท่านต้องพูดมากกับข้าขนาดนี้ ท่านกลืนกินข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะขัดขืนหรือไม่ล้วนเปล่าประโยชน์ ท่านเจ้าอาวาสกับภิกษุทั่วอารามวิทยาราชยังขวางท่านไม่ได้ ข้านับเป็นตัวอะไรเล่า”
“ไม่ๆๆ หากไม่รู้ว่าเจ้าอยากตายจริงๆ ข้าย่อมกลืนกินเจ้าไม่ได้”
เจ้าภูเขาลู่เงยหน้ามองรูปปั้นวิทยาราชท่านั่งภายในโถงใหญ่ที่ห่างออกไป ตอนนี้รูปปั้นวิทยาราชซึ่งมีแผ่นทองแปะหน้าตาเคร่งขรึม แสงตะเกียงสาดส่องรูปจำลองจนเกิดแสงทองวูบไหวเล็กน้อย
“บนตัวเจ้าคลุมด้วยพลังธรรมไร้ขอบเขต ร่างจำแลงวิทยาราชแห่งอารามวิทยาราชไม่เคยปรากฏตัว เดิมข้าคิดว่าอารามแห่งนี้งามแต่เปลือก เมื่อครู่ข้าสำแดงอภินิหารสังเกตตัวเจ้า ทำให้รู้ว่าพลังธรรมไร้ขอบเขตของร่างจำแลงวิทยาราชอยู่บนตัวเจ้ากว่าครึ่ง!”
เจ้าภูเขาลู่ก้มมองเจวี๋ยหมิงอีกครั้ง
“จ้าวหลง ในเมื่อเจ้าแสวงหาการหลุดพ้น ถ้าอย่างนั้นจงสลายพลังธรรมบนตัว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่วิชาขับเคลื่อนตามจิต เจ้าแค่ตั้งจิตท่องคัมภีร์ ในใจคิดคืนพลังธรรมสู่พระวิทยาราช ประทับธรรมบนตัวเจ้าย่อมซ่านสลายช้าๆ ถึงตอนนั้นข้าจะกลืนกินเจ้าได้!”
จี้หยวนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องล่าง มองเจ้าภูเขาลู่แล้วอดพยักหน้าเล็กน้อยไม่ได้ เจ้าภูเขาลู่รู้ว่าบนตัวจ้าวหลงมีหมากตาท้ายซ่อนอยู่ดังคาด
พลังธรรมของร่างจำแลงวิทยาราชถึงกับอยู่บนตัวคนธรรมดาซึ่งไม่ใช่แม้แต่ผู้บำเพ็ญธรรม หากสำเร็จย่อมเป็นรูปปั้นวิทยาราชที่มีชีวิตแน่
จี้หยวนสงสัยว่าพลังธรรมวิทยาราชบนตัวจ้าวหลงอาจถ่ายทอดมาทีละน้อย เขานั่งอยู่หน้ารูปปั้นวิทยาราชมาตลอด รับพลังวิทยาราชมาช้าๆ กระบวนการนี้เนิบช้าและไร้ความรู้สึก ตัวจ้าวหลงเองมีโอกาสสูงว่าไม่รู้เรื่องนี้ บางทีพรสวรรค์เช่นนี้อาจเป็นเหตุผลที่อารามวิทยาราชเห็นแก่จ้าวหลง
ขอเพียงชี้แนะแนวทางพุทธกับจ้าวหลงอีกหน่อย ทำให้จิตใจเขาใฝ่หาพระธรรมอย่างแท้จริง อนาคตหนทางข้างหน้าย่อมไม่อาจประมาณ อารามวิทยาราชคงเด่นผงาดเช่นกัน
เจ้าภูเขาลู่น่าจะแค่มองออกว่าบนตัวจ้าวหลงมีพลังธรรมลึกซึ้งซ่อนเร้น ส่วนจี้หยวนก็คาดเดาความน่าจะเป็นนี้ผ่านคำพูดของเจ้าภูเขาลู่เป็นพื้นฐาน
หากเจ้าภูเขาลู่ไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้ก่อน กลืนจ้าวหลงลงไปโดยไม่สนใจสิ่งใดคง ‘ท้องไส้ปั่นป่วน’ ทั้งอาจรุนแรงมาก ต่อให้ลงมือสังหารจ้าวหลงก็อาจกระตุ้นพลังวิทยาราช ทำให้จ้าวหลงกลายเป็นร่างจำแลงวิทยาราชที่มีกายเนื้อ
‘ปราดเปรื่องจริงๆ!’
จี้หยวนกล่าวชมอย่างอดไม่ได้ ทั้งสงสัยว่าไต้ซือรูปไหนค้นพบเรื่องนี้และแนะแนวทาง แค่แนะแนว ไม่มีทางเป็นภิกษุชั้นสูงแน่นอน ด้วยต่อให้พระวิทยาราชมาเองก็ไม่แน่ว่าจะทำได้
ไต้ซือรูปนี้ฉายาฮุ่ยถงตรงกับคนที่เขารู้จัก แต่จี้หยวนไม่คิดว่าเป็นภิกษุรูปเดียวกัน
‘แต่ศิษย์ของเราก็ไม่เลว!’
ตัวจ้าวหลงมีปณิธานอายุขัยไร้ขอบเขตใช้กรรมไร้สิ้นสุด กอปรกับร่างกายไม่ธรรมดา ถือเป็นฐานหินรับพลังวิทยาราช เจ้าภูเขาลู่บอกให้จ้าวหลงต่อต้านพลังธรรม สลายพลังวิทยาราชด้วยตัวเอง ถือเป็นการตัดรากฐาน เรื่องแบบนี้มีแค่ตัวจ้าวหลงเองที่ทำได้ แม้แต่จี้หยวนยังอับจนหนทาง
แน่นอนว่าใช้กระบี่สังหารหรือเพลิงผลาญย่อมง่ายมาก แต่ทำอย่างนั้นได้หรือ
“ได้ อาตมาควรทำอย่างไร”
เมื่อเจวี๋ยหมิงเอ่ยปากออกมา ภิกษุชราสามรูปด้านข้างซึ่งถูกปราณปีศาจกัดกร่อนจนทำให้ร่างกายไม่ฟังคำสั่งเผยสีหน้าตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ปากยิ่งขยับไม่หยุด
เจ้าภูเขาลู่ไม่สนใจพวกเขาสักนิด เขาแค่ยิ้มกล่าว
“ไม่ซับซ้อน เจ้ารู้คัมภีร์อะไรก็ท่องออกมา ถ้าไม่รู้แค่ท่องสาธุพระวิทยาราชก็ได้ ขอเพียงในใจคิดว่าอยากชำระของนอกกายออกจากตัว หวังห่างจากพระธรรมก็พอ”
เรื่องมาถึงตอนนี้เจวี๋ยหมิงไม่พูดอะไรมาก เขานั่งขัดสมาธิลงกับพื้น เริ่มท่องคัมภีร์ หลังจากผ่านไปแค่สองลมหายใจ บนตัวเริ่มมีอักษรธรรมเหมือนแสงสีทองลอยออกมา ถึงขั้นเห็นอักษรเรืองแสงทองบนตัวเขา คนรู้ค่ากับภิกษุต่างรู้ว่านั่นคือ ‘คัมภีร์วิทยาราชประทับนั่ง’
เวลานี้ทั้งตัวจ้าวหลงเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามชั่วพริบตา พลังธรรมเกื้อหนุนกว่าภิกษุชราสามรูปก่อนหน้านี้ไม่รู้เท่าไหร่ คล้ายเหล็กกล้าจริงๆ
“บอกกล่าวพุทธองค์นั่งลงกับพื้น สลายปราณร่วมกายข้า หลักธรรมวิทยาราช ก่อเกิดจิตศรัทธา…”
ภิกษุเจวี๋ยหมิงตั้งจิตท่องคัมภีร์ พลังธรรมบนตัวกลับห่างออกไป กลายเป็นธารธรรมสีทองไหลไปทางรูปปั้นวิทยาราชตรงเรือนหลักด้านหลัง
เจ้าภูเขาลู่แค่มองเหตุการณ์นี้เงียบๆ ตอนนี้เขายอมเชื่อว่าจ้าวหลงจะจริงใจ ผีชางจ้าวหลงเขาหมายมั่นจัดการแล้ว บางทีอาจมีแค่ฝ่ายอารามวิทยาราชที่คัดค้านเรื่องนี้
แต่เจ้าภูเขาลู่ไม่มีทางสนใจพวกเขา หากปล่อยจ้าวหลงอยู่อารามวิทยาราช เกรงว่าอีกหลายสิบปีคงไม่ยอมลงเขาแล้ว
แม้ว่าสำนักพุทธมีภิกษุชั้นสูงเปี่ยมคุณธรรมมากมาย แต่ภิกษุส่วนใหญ่มีความคิดของตัวเอง เจ้าภูเขาลู่คิดว่าอารามวิทยาราชก็เป็นเช่นนี้ เขาไม่มีทางยุ่งเรื่องสำนักพุทธเกินความจำเป็น แต่การที่เขาสนใจจ้าวหลงถือว่าสมเหตุผลไม่เป็นไร
เหมือนที่กล่าวเมื่อครู่ เมื่อกินจ้าวหลง สัญญาเก้าจอมยุทธ์สิ้นสุด หลังจากกลายเป็นผีชางใช่ว่าเป็นภิกษุชั้นสูงไม่ได้
ปัจจุบันสำนักพุทธมักกล่าวว่าในนรกยังบรรลุธรรมได้ กลายเป็นผีชางก็เหมือนกัน อย่างน้อยเขาเจ้าภูเขาลู่ก็ไม่มีทางก้าวก่ายการใช้กรรมของจ้าวหลง แค่ไม่อาจรับพลังร่างจำแลงของรูปปั้นวิทยาราชประทับนั่งแห่งอารามวิทยาราชเท่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้าภูเขาลู่ ทั้งเกี่ยวอะไรกับจ้าวหลง
เวลาผ่านไปทีละน้อย เจวี๋ยหมิงท่องคัมภีร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นานเข้าสีทองบนตัวยิ่งจางลง
แต่จี้หยวนที่อยู่บนฟ้ากลับเคลื่อนสายตาจากลานอารามวิทยาราชไปตรงเรือนหลักของอาราม แสงร่างทองของจ้าวหลงจางลงเรื่อยๆ ร่างทองตรงเรือนหลักกลับยิ่งส่องสว่าง
เห็นชัดว่านอกจากเสียงท่องคัมภีร์ของจ้าวหลงแล้ว ทุกอย่างล้วนเงียบสงบยิ่ง แต่ในความรู้สึกของจี้หยวนสัมผัสได้ว่าแรงสั่นสะเทือนอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ครั้งนี้เจ้าภูเขาลู่กลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
ครืนๆๆๆๆๆ…
‘ทนไม่ไหวจริงดังคาด!’
ครู่ต่อมายามจี้หยวนขับเคลื่อนความคิด
ฟุ่บ…
แสงทองสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากเรือนหลักของอารามวิทยาราช
“พระ… ธรรม… ไร้… ขอบเขต…”
เสียงเคร่งขรึมกึกก้องดังจากเรือนหลัก แสงทองหลายสายกลายเป็นวงแสงรอบที่นี่ เสียงธรรมแผ่ทั่วอารามวิทยาราช ภิกษุที่เดิมถูกวิชาชวนประหวั่นของเจ้าภูเขาลู่กำราบทยอยได้สติกลับมา
ตูม…
ประตูทางเข้าและกำแพงเรือนหลักระเบิดออก ท่ามกลางฝุ่นควันประทับฝ่ามือธรรมสีทองลอยออกมา เพียงครู่เดียวก็ซัดถึงตัวเจ้าภูเขาลู่
“โฮก…”
ตึง…
ภายใต้แรงปะทะกระชั้นชิด ร่างปีศาจมหึมาไถไปกับพื้นสิบกว่าจั้งค่อยหยุด
ภิกษุชราสามรูปตื่นเต้นจนพนมมือก้มศีรษะไปทางเรือนหลัก
“ยินดีต้อนรับพุทธะวิทยาราชมาเยือน!”