เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 362 โปรดมอบความตายแก่อาตมา
ตอนที่ 362 โปรดมอบความตายแก่อาตมา
เมื่อเห็นรูปปั้นวิทยาราชสลายเป็นฝุ่นทรายทีละน้อย ภิกษุทั่วอารามวิทยาราชต่างเบิกตากว้างเผยสีหน้าตื่นตระหนก ขณะเดียวกันยังรู้สึกหวาดกลัวด้วย
ภิกษุชราสามรูปพนมมือก้มศีรษะไปยังทางที่รูปปั้นวิทยาราชสลายไม่หยุด ไม่ว่ากลัวหรือไม่ ภิกษุทุกรูปต่างท่องคัมภีร์วิทยาราชประทับนั่งเงียบๆ
กระทั่งรูปปั้นวิทยาราชสลายสิ้น ภิกษุชราสามรูปเงยหน้าขึ้นมา หันมามองจี้หยวน ค้อมตัวพนมมืออย่างนอบน้อม
“สาธุพระวิทยาราช ท่านเซียน เหล่าภิกษุแห่งอารามวิทยาราช…”
จี้หยวนพยักหน้าให้ภิกษุชราเล็กน้อย
“เจ้าอาวาสวางใจเถอะ ข้าคนแซ่จี้ย่อมคุ้มครองไต้ซือทุกท่านให้ปลอดภัย”
แม้ว่าน้ำเสียงไม่ถือว่ากังวาน แต่กลับนุ่มนวลแผ่ทั่วขอบเขตอารามวิทยาราช ทำให้เหล่าภิกษุซึ่งสับสนหรือเหม่อลอยทุกรูปต่างได้ยินอย่างชัดเจน
การพูดจาขึ้นอยู่กับว่าคุยกับใคร ก่อนหน้านี้จี้หยวนบอกพระวิทยาราชว่าตนอยู่หรือไม่เจ้าภูเขาลู่ย่อมรู้จักความพอดี แต่เห็นชัดว่าส่วนใหญ่บรรดาภิกษุเหล่านี้ถูกทำให้ตกใจไม่น้อย สิ่งที่อยากฟังมากที่สุดก็คือคำพูดตอนนี้ของจี้หยวน
ขณะกล่าวจี้หยวนมองเจวี๋ยหมิงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ถ้าต้องพูดตามตรงคือจ้าวหลงเมื่ออดีตเจวี๋ยหมิงในปัจจุบันคนนี้ หากตัดเรื่องโกนผมบวชแล้ว ในบรรดาเก้าจอมยุทธ์เมื่อปีนั้นถือว่าการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด น้อยยิ่งกว่าลั่วหนิงซวงซึ่งดูแลตัวเองเพียงพอเสียอีก
อืม แม้ว่าเจวี๋ยหมิงดูเหมือนภิกษุวัยกลางคน แต่พูดตามตรงว่าในความทรงจำของจี้หยวน ตอนนั้นจ้าวหลงโตเร็วมาก เห็นชัดว่าเพิ่งอายุยี่สิบ แต่ตอนนั้นดุูเหมือนใกล้เคียงปัจจุบัน รูปร่างหน้าตาคล้ายชายวัยกลางคน
ตอนนี้เจวี๋ยหมิงยังคงท่องคัมภีร์ ไม่เหมือนเหล่าภิกษุโดยรอบซึ่งรอรูปปั้นวิทยาราชกลายเป็นฝุ่นทรายค่อยท่องคัมภีร์ แต่ท่องตลอดถึงตอนนี้โดยไม่หยุดแม้เพียงครู่ การเคลื่อนไหวใหญ่จากการปะทะอภินิหารพลังปีศาจ พลังธรรม พลังเซียนก่อนหน้านี้ไม่อาจส่งผลกระทบต่อเขา
พลังวิทยาราชบนตัวเขายังแผ่ออกมาช้าๆ แต่เมื่อครู่แผ่คลุมราวกระแสธาร ตอนนี้กลับหลั่งรินเป็นธารสายเล็กแล้ว ทิศทางซึ่งลอยไปคืออารามวิทยาราช ด้วยรูปปั้นวิทยาราชประทับนั่งไม่อยู่แล้ว
ยามจี้หยวนสังเกตภิกษุเจวี๋ยหมิงโดยละเอียด เจ้าภูเขาลู่ที่อยู่ตรงนั้นลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้วิชาภูผาสยบมารของพระวิทยาราชร้ายกาจนัก ภูเขามายาเสมือนจริงครั้งสุดท้ายราวกับยอดเขามหึมานับพันกดศีรษะอย่างแท้จริง ไม่อาจต้านทาน ถ้ามีแค่เจ้าภูเขาลู่ เกรงว่าคงถูกกำราบใต้ภูเขาทันที ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส ตอนนั้นมีจอมพลังเกราะทองสองตนรวมพลังช่วยเหลือ แต่ยังเกือบกำราบพวกเขาจนคว่ำ
ยังดีว่าชั่วพริบตาต่อมา กระบี่เซียนเผยคมประกาย ผ่าภูเขามหึมาซึ่งวิวัฒน์จากพลังธรรม
ตอนนี้เจ้าภูเขาลู่เหลือบมองจอมพลังเกราะทองสองตนข้างกายซ้ายขวา ตอนนี้เงาร่างจอมพลังสองตนกำยำอย่างยิ่ง ใบหน้าแดงก่ำเคร่งขรึม เกราะทองเรืองแสงคลุมเครือไม่เจิดจรัส ผ้าเหลืองบนตัวสะบัดตามลมพัดโบก ยืนจังกาอยู่ตรงนั้น แค่มองก็รู้สึกถึงอานุภาพกดดันอย่างหนึ่ง
เมื่อเห็นจอมพลังไม่ขยับ เจ้าภูเขาลู่สะบัดขนเล็กน้อย กระโจนจากภูเขาซึ่งห่างออกไปหลายร้อยจั้ง เก็บปราณปีศาจมากมาย ทิ้งตัวโค้งลงมาอย่างผ่อนคลาย จากนั้นค่อยโรยตัวลงตรงลานระเนระนาดกลางอารามวิทยาราชอย่างนุ่มนวล ยืนห่างจากด้านหลังจี้หยวนไปสิบกว่าจั้ง
หลังจากโรยตัวลงพื้น ร่างปีศาจมหึมาหดลงท่ามกลางแสงหมอกทีละน้อย สุดท้ายค่อยกลายเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวลายเมฆขดสีเหลืองอ่อน
เจ้าภูเขาลู่ประสานมือคารวะจี้หยวนอย่างนอบน้อม
“เจ้าภูเขาลู่คารวะท่านจี้!”
จี้หยวนเคลื่อนสายตาจากตัวเจวี๋ยหมิง หันหลังกลับมาพยักหน้ากับเจ้าภูเขาลู่
“หากไม่ใช่ว่าร่างจำแลงวิทยาราชปรากฏตัว วันนี้ข้าคงไม่มีทางเผยตัว ถือว่าข้าไม่อยู่แล้วกัน”
“ขอรับ!”
เจ้าภูเขาลู่รับคำก่อนเก็บมือ กวาดสายตามองเหล่าภิกษุโดยรอบ ทั้งมองภิกษุชราสามรูปซึ่งทำหน้าจนปัญญาเล็กน้อย สุดท้ายค่อยมองจ้าวหลงซึ่งยังท่องคัมภีร์
เขาไม่ถามจี้หยวนว่าควรปล่อยจ้าวหลงไปหรือไม่ ถึงขั้นไม่พูดเกินความจำเป็น อาจารย์นิสัยอย่างไรเจ้าภูเขาลู่เข้าใจดี พูดคำไหนคำนั้น เขาจึงไม่มีความคิดเปลี่ยนแผนใดๆ
ตอนนี้ทั่วอารามนอกจากเสียงลมโชยอ่อนแล้ว เหลือแค่เสียงท่องคัมภีร์ของจ้าวหลงคนเดียว กลายเป็นว่ายิ่งเงียบสงบ เจ้าภูเขาลู่กับจี้หยวน รวมถึงภิกษุทุกรูปรออย่างเงียบเชียบเช่นนี้
กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ บนตัวภิกษุเจวี๋ยหมิงไม่มีพลังวิทยาราชแผ่ออกมาอีก เสียงท่องคัมภีร์ดังต่อเนื่องค่อยหยุดลง
ภิกษุเจวี๋ยหมิงลืมตา เคลื่อนสายตาเล็กน้อย เห็นลานอารามเกลื่อนกลาดระเนระนาดทั้งแถบ แต่นอกจากลานแล้ว อารามซึ่งอยู่มาหลายปีแห่งนี้ไม่เสียหายมากเกินไป สถานที่ส่วนใหญ่สมบูรณ์ไม่สึกหรอ อย่างมากแค่ขาดกระเบื้องไปบ้าง
เจวี๋ยหมิงลุกขึ้นพลางกวาดสายตามองโดยรอบ แต่กลับไม่เจอปีศาจมหึมาตนนั้น แต่กลับมองเห็นจี้หยวนชั่วพริบตา หลังจากอึ้งงันเล็กน้อย เขาเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจอยู่บ้าง
“ท่านคือ… ท่านจี้หรือ”
จี้หยวนแย้มยิ้มพลางผงกศีรษะตอบเขาเบาๆ
“ข้าควรเรียกเจ้าว่าจ้าวหลงหรือเจวี๋ยหมิงไต้ซือ?”
“ท่านอยากเรียกอย่างไรก็ย่อมได้…”
เมื่อเผชิญหน้ากับจี้หยวน เจวี๋ยหมิงรู้สึกละอายอยู่บ้าง พูดมาถึงตอนนี้เขาคิดคารวะ แต่ด้วยความเคยชินหลายปีมานี้ เขาพนมมือตามจิตใต้สำนึก
จากนั้นค่อยเงยหน้ามองชายแปลกหน้าที่อยู่ห่างจากด้านหลังจี้หยวนไปไม่ไกล สายตาบ่งชัดว่าเจวี๋ยหมิงรู้ว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าภูเขาลู่อยู่รางๆ
ตอนนี้เจ้าภูเขาลู่เดินมาสองสามก้าว เดินมาถึงตรงหน้าเจวี๋ยหมิง
ตอนนี้ไม่มีภิกษุรูปใดมาขัดขวาง แม้แต่ภิกษุชราสามรูปที่อยู่ห่างไปไม่ไกลยังหลับตา
“จ้าวหลง เจ้าเปลี่ยนใจหรือไม่”
ภิกษุวัยกลางคนตรงหน้าถอนหายใจยาว กล่าวตอบไม่ตรงคำถาม
“อาตมาไม่ใช่ผู้มีความกล้าอะไร เรื่องควรยึดมั่นกลับไม่ถือมั่น เรื่องควรปล่อยวางกลับปล่อยวางไม่ได้ หน้าตา ชื่อเสียง ผลประโยชน์ ไม่รู้ว่าควรเลือกอะไร นั่งสมาธิไม่หยั่งรู้หลักธรรม หลายปีก่อนอาตมาตัดสินความเป็นตายของตนเองแล้ว คร้านจะอยู่ในเขตแดนอารามเช่นนี้ ชีวิตคนเราน่าขันจริงๆ!”
เจวี๋ยหมิงเผยรอยยิ้มขื่น ทั้งเหมือนหลุดพ้นเสี้ยวหนึ่ง พนมมือค้อมตัวไปทางเจ้าภูเขาลู่ กล่าวด้วยฐานะภิกษุรูปหนึ่ง
“โยมลู่ โปรดมอบความตายแก่อาตมา”
ยามสิ้นเสียงเจวี๋ยหมิงพนมมือค้อมตัวเก้าสิบองศาพอดี ทั้งยังไม่หยัดร่างขึ้น
สายลมแผ่วเบาพัดผ่านอาราม ทั่วเขาน้อยเงียบสงบอย่างยิ่ง
เจ้าภูเขาลู่เดินเข้ามาใกล้อีกสองสามก้าว จัดระเบียบแขนเสื้อเล็กน้อย สองมือประสานหมัดคารวะภิกษุเจวี๋ยหมิง
ภาพนี้ปรากฏในสายตาเหล่าภิกษุทั่วอารามวิทยาราชและจี้หยวน เวลาหยุดนิ่งชั่วขณะ จากนั้นเจ้าภูเขาลู่หยัดร่างขึ้น บนตัวอบอวลด้วยเงาเหลืองดำบดบังเส้นแสง สุดท้ายเงามืดกลายเป็นปากมหึมา
ภิกษุเจวี๋ยหมิงเงยหน้าขึ้น กลั้นหายใจเบิกตากว้าง มองปากใหญ่มหึมาเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จากนั้นเบื้องหน้าพลันมืดมัว เสียการรับรู้อย่างสมบูรณ์
ภิกษุมากมายซึ่งยังคงตกตะลึงใจสั่นสะท้าน เห็นปากมหึมาของปีศาจกลืนกินเจวี๋ยหมิง นอกจากความตื่นตระหนกซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงแล้ว ในใจยังเกิดการหยั่งรู้พิเศษบางส่วน
ตอนนี้ภิกษุชราสามรูปเพิ่งลืมตา กล่าวว่าสาธุก่อนก้มหน้าท่องคัมภีร์
จี้หยวนกวาดมองพวกเขาเล็กน้อย กล่าวพึมพำเสียงเบาประโยคหนึ่ง
“อารามวิทยาราชโชคดีนัก”
ตรงจุดที่ค่อนข้างห่างไกล จอมพลังเกราะทองสองตนก้าวข้ามกำแพงนอกอาราม เดินมาถึงกลางลาน เงาร่างกลับสู่สภาพปกติแล้ว แต่ยังสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปหลายเท่า
ตอนนี้บนมือจี้หยวนมีจอมพลังเกราะทองรวมหกตน ตอนหลอมเทพสวรรค์กับอสูรปฐพีหกตนนี้ จี้หยวนคิดว่าพอแล้ว เขาจึงไม่เพิ่มจำนวนอีก แต่เมื่อมีเวลาว่างจะทุ่มเทสมาธิหลอมกระดาษเพิ่มทีละน้อย
หากมัวแต่เพิ่มจำนวน ไหนเลยจะมีจอมพลังเปี่ยมอานุภาพสองตนเช่นวันนี้
แต่ไม่ว่ายกระดับคุณภาพอย่างไร พื้นฐานจอมพลังเกราะทองยังคงเป็นเช่นนั้น ตอนนี้พวกเขาเดินมาถึงตรงหน้าจี้หยวนอย่างไม่เร็วไม่ช้า คารวะตามแบบแผนยิ่ง
“นายท่าน!”
เส้นเสียงราบเรียบ การแสดงออกเย็นชา ไม่มีคลื่นการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย มองข้ามทุกคนอย่างแท้จริง
พวกเขาคารวะจี้หยวน แต่กลับยืนประกบเจ้าภูเขาลู่ เห็นชัดว่ายังทำตามคำสั่งก่อนหน้านี้
เจ้าภูเขาลู่เหลือบมองจอมพลังเกราะทองสองตนนี้ หากไม่รู้จักจอมพลังเกราะทองระดับหนึ่ง รู้ว่าจอมพลังเกราะทองไม่มีความรู้สึกจริงๆ เขาคงคิดว่าจอมพลังสองตนนี้ไม่เห็นใครในสายตา
“เจ้าอาวาส อารามวิทยาราชมีห้องบำเพ็ญห้องหนึ่ง กำแพงเรือนด้านหนึ่ง ลานแห่งหนึ่งพังทลาย จอมพลังสองตนนี้ของข้าไม่มีจุดเด่นอย่างอื่น แต่กลับมีแรงมหาศาล มิสู้ช่วยพวกท่านสร้างอารามขึ้นใหม่เป็นอย่างไร”
เจ้าอาวาสอารามวิทยาราชเงยหน้ามองจอมพลังเกราะทองสองตนข้างกายจี้หยวน ฝ่ายหลังด้วยได้ยินคำพูดจี้หยวนจึงกวาดสายตามองภิกษุชรา
ในสายตาภิกษุชราท่าทางจอมพลังสองตนคล้ายกัน อย่าว่าแต่หันหลังกลับ แม้แต่ศีรษะยังไม่ขยับ เงยหน้าเหลือบมอง ไม่กะพริบตาหรือกลอกตา เผยแววดูหมิ่นเด่นชัด ขณะเดียวกันในใจยังรู้สึกกดดันยิ่งกว่าเดิม
เห็นบนหน้าจอมพลังแทบเขียนคำว่า ‘ไม่ยินดี’ ภิกษุชรามีหรือจะกล้าไม่รู้จักกาลเทศะ
“ขอบคุณความหวังดีของท่านเซียน อารามวิทยาราชของอาตมาไม่ได้เสียหายหนักมาก แค่เสียหายเล็กน้อยเท่านั้น เหล่าภิกษุแบ่งเวลาบำเพ็ญมาซ่อมบำรุงทุกวัน ไม่เกินครึ่งเดือนย่อมกลับสู่สภาพเดิม ไม่รบกวนขุนพลเทพทั้งสอง”
จี้หยวนมองจอมพลังเกราะทองเล็กน้อย เขาส่ายศีรษะไม่พูดอะไรมากอีก ความลับของจอมพลังเขาไม่สะดวกอธิบายต่อหน้าคนนอกเช่นกัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคนแซ่จี้ขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นจี้หยวนเตรียมจากไป เจ้าภูเขาลู่ประหม่าอยู่บ้าง
“ท่านจี้ ท่านจะไปไหน ครั้งนี้มาด้วยทำนายเห็นว่าข้ามีภัย ท่านจึงมาช่วยโดยเฉพาะหรือ”
คำถามนี้จี้หยวนไม่อยากบอกว่าเขาตามมาตลอดทาง ไม่อย่างนั้นต่อจากนี้เจ้าภูเขาลู่อาจทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
“ก่อนหน้านี้อยู่ต่างแดน รู้ว่าเจ้าแปลงกายจึงกลับมาลองดู ข้ายังมีธุระ ขอนำหน้าไปก่อน เจ้าทำเรื่องควรทำเสร็จค่อยมาหาข้าเถอะ”
ขณะกล่าวจอมพลังเกราะทองสองตนกลายเป็นลำแสงสองสาย ลอยเข้าแขนเสื้อจี้หยวน คนอื่นถึงขั้นไม่อาจเห็นชัดเจนว่าเป็นคนกระดาษ
เจ้าภูเขาลู่ประสานมือคารวะพลางกล่าวว่า ‘ขอรับ!’ มองส่งจี้หยวนเหยียบเมฆลอยขึ้นฟ้า ก่อนเอ่ยเรียกอย่างอดไม่ได้
“ท่านจี้!”
“หืม?”
จี้หยวนหยุดมองเจ้าภูเขาลู่
ฝ่ายหลังควานหาของบนตัว นอกจากทองรูปหัวสุนัข (ก้อนทองธรรมชาติ) กับเงินบางส่วน เขาเจอแค่ห่อใบไม้แห้ง ภายใต้ความจนปัญญาเขาได้แต่เดินเข้ามาใกล้ มอบห่อใบไม้แห้งให้จี้หยวน
“ท่านจี้… สามารถนำไปชงชาได้…”
“ฮ่าๆๆๆๆ… มีน้ำใจนัก”
จี้หยวนรับเก๋ากี้ห่อเล็กนี้มา ยิ้มพลางเหยียบเมฆจากไป ยามที่เจ้าภูเขาลู่หดหู่อยู่บ้าง ในใจกลับผ่อนคลายไม่น้อย อย่างน้อยอาจารย์ก็ไม่มีความเห็นอะไรต่อการกระทำของเขา
เขามองโดยรอบอีกครั้ง เมื่อจี้หยวนจากไป เห็นชัดว่าภิกษุเหล่านี้เปลี่ยนเป็นวิตกกังวลทันที
“หึๆ ไต้ซือทุกท่าน ก่อนหน้านี้ล่วงเกินแล้ว ข้าคนแซ่ลู่ทำลายห้องบำเพ็ญกับกำแพงเรือนด้านนอก ส่วนตรงลานเป็นฝีมือวิทยาราชประทับนั่ง”
เจ้าภูเขาลู่พูดพลางหยิบเงินแท่งหนักราวสิบตำลึงออกมาจากอก ยื่นมือส่งมอบให้เจ้าอาวาสอารามวิทยาราช
“นี่เป็นเงินชดเชย ท่านเจ้าอาวาสโปรดรับไว้”
“ไม่ต้องๆ พวกอาตมาซ่อมบำรุงเองได้ โยมลู่ไม่ต้องชดเชย…”
ภิกษุชราเอ่ยปากปฏิเสธทันที เจ้าภูเขาลู่กล่าวด้วยเสียงเน้นย้ำอีกครั้ง
“ท่าน เจ้า อาวาส โปรด รับ ไว้!”
“สะ สาธุพระวิทยาราช ขอบคุณโยมลู่มาก!”
ภิกษุชราเหงื่อเต็มหน้าผาก ไม่กล้าบอกปัดอีก รับเงินมาพลางพนมมือ
“อืม ข้าไปล่ะ ไม่แน่ว่าภายหน้าท่านอาจเจอภิกษุเจวี๋ยหมิงอีก ตอนนี้อย่าเป็นกังวลเลย”
เจ้าภูเขาลู่พูดจบแล้วขี่ลมขึ้นไป ลอยออกจากเขาน้อยแล้วหันมามองอารามวิทยาราช จากนั้นค่อยท่องเหินจากไป
กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ เหล่าภิกษุทั่วอารามวิทยาราชค่อยถอนใจยาว