เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 366 ความปวดใจของหลันหนิงเค่อ
ตอนที่ 366 ความปวดใจของหลันหนิงเค่อ
การหาเหาใส่หัวย่อมต้องมีแผนการที่ดี เจ้าภูเขาลู่ไม่มีทางปล่อยให้หลันหนิงเค่อบุกประตูนรกโดยตรงอย่างโง่เขลา แม้ว่าอยู่ต่อหน้ายมทูตดำแล้วผีเช่นนี้ดูอ่อนหัด แต่มีผีร้ายบุกรุกประตูนรกโดยพลการ ย่อมต่างจากการจับผีร้ายจากข้างนอกกลับมาโดยสิ้นเชิง
ถึงตอนนั้นคงทำให้เจ้ากรมเทพผีที่เกี่ยวข้องในศาลมืดแตกตื่น ทั้งคงทำการตรวจสอบและหารือเรื่องนี้กันระดับหนึ่ง ความซับซ้อนกับเวลาที่เสียไปย่อมมากขึ้น
แต่หากหลันหนิงเค่อแสร้งทำเป็นถูกยมทูตดำเจอโดยไม่ระวัง จากนั้นค่อยถูกจับกลับไป เรื่องราวย่อมง่ายขึ้นมาก
ตามระเบียบการจนถึงผู้พิพากษา หลังจากตัดสินความดีชั่วย่อมไปกรมลงทัณฑ์ได้ ยอมรับโทษหนักอย่างเรียบง่าย จากนั้นค่อยดูว่าตายหรือไม่ ถ้าตายแค่จรดพู่กันบันทึกก็จบ หากไม่ตายค่อยพาไปเมืองผี
คืนนั้นประมาณยามจื่อ หลันหนิงเค่อเดินอยู่นอกเมืองด้วยสีหน้าอึมครึมหนักใจ แม้ว่าประหม่ายิ่ง แต่ยังต้องแสดง
เมื่อมาถึงสถานที่บางแห่งตรงกำแพงเมืองทางเหนือของจังหวัดเหลาหยาง ผีชางลอยเลียบกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว จากนั้นค่อยกระโดดเข้าเมือง
หลังจากตรวจมองซ้ายขวาครู่หนึ่ง เขาผลุบเข้าเรือนชาวบ้านหลังหนึ่ง ไม่นานก็ทะลุผ่านประตู เห็นครอบครัวหนึ่งหลับสนิทอยู่ภายในห้อง ผู้ใหญ่สองคนกับเด็กหนึ่งคน ล้วนหลับอยู่บนเตียงใหญ่หลังหนึ่ง
เพิ่งเดินเข้าใกล้สองก้าว บนตัวผู้หลับสนิทมีเพลิงมายาพวยพุ่ง ความร้อนปกคลุมหัวเตียงเป็นระลอก ทำให้หลันหนิงเค่อรู้สึกยากจะรับอยู่บ้าง
สถานการณ์เช่นนี้หลันหนิงเค่อไม่เข้าใจ หากจี้หยวนอยู่ที่นี่ย่อมรู้แน่ ร่างกายคนเราหลังจากหลับสนิท ไม่มีทางได้รับผลกระทบจากความหวาดกลัว ทำให้ปราณเพลิงเปี่ยมท้น
ผู้มีพลังปราณติดตัว เมื่อพลังจิตตื่นขึ้นการรับรู้ย่อมหยุดพัก แม้ว่าคนธรรมดาไม่ถึงขั้นมีพลังจิต แต่สถานการณ์ย่อมคล้ายคลึงกัน ไม่มีตัวป่วนอย่างการรับรู้หรือความรู้สึกก่อกวน ร่างกายคนเรากลับไม่กลัวสิ่งชั่วร้ายกว่าตอนมีสติระดับหนึ่ง แต่หากมีความกล้าหาญย่อมเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่ง
‘จิต’ ในที่นี้หมายถึงรูปแบบการตระหนักอย่างจิตใจ จิตรับรู้ ดวงจิต ไม่ใช่วิญญาณอัศจรรย์ซึ่งเกิดจากร่างกายคนเรา
แน่นอนว่านี่เป็นการเปรียบเทียบ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีขอบเขต อย่างน้อยปราณเพลิงนี้อาจทำให้หลันหนิงเค่อรำคาญ แต่สำหรับผีชางอย่างเขาไม่ถือว่าส่งผลมากนัก
เขายื่นมือกดหน้าอกชายเจ้าของบ้านคนนั้น ปราณผีแน่นขนัดพันรอบตัว ผ่านไปเพียงครู่ หลันหนิงเค่อถอยไปสองก้าว ก่อนกวักมือเรียกเล็กน้อย
เงามายาหนึ่งลอยออกจากร่างชายเจ้าของบ้านคนนี้ ท่ามกลางความเลือนรางยังมีเส้นสายพร่ามัวเชื่อมต่อกับร่างกาย เป็นจิตวิญญาณของคนผู้นี้
หลันหนิงเค่อออกจากบ้านหลังนี้ทันที จิตวิญญาณสับสนมึนงงนั้นยังตามมาด้วย ไม่นานก็มาถึงบนถนน
“เอ๋ ทำไมข้าถึงอยู่บนถนน”
เสียงเอ่ยถามอย่างสงสัยดังขึ้น บ่งชี้ว่าจิตวิญญาณชายเจ้าของบ้านหลุดจากภวังค์แล้ว ถือว่ามีสติระดับหนึ่ง
“เฮ้อ พวกเราออกมาเดินเล่น ย่อมต้องอยู่บนถนนไม่ใช่หรือ ครั้งก่อนพวกเรายังคุยกันดิบดีแล้วว่าจะไปเที่ยวสนุกกัน ยากจะออกมาได้สักครั้ง รีบไปเถอะ!”
หลันหนิงเค่อเดินมายิ้มพลางกล่าวประโยคหนึ่ง
จิตวิญญาณของชายคนนั้นอึ้งงันเล็กน้อย มองหลันหนิงเค่อ จำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครชัดๆ แต่ฟังคำพูดเขาแล้วกลับรู้สึกว่ามีเรื่องนี้จริงๆ รู้สึกเหมือนว่าคนตรงหน้าเป็นคนคุ้นเคย
นี่คือเรื่องปกติยามมึนงงในห้วงฝัน บางครั้งในฝันมักมีความทรงจำไร้ที่มามากมาย ตรรกะของตนอาจเกิดความสับสน การควบคุมตัวเองอาจด้อยลงเช่นกัน
ยามวิญญาณออกจากร่างกายเนื้อจะตกสู่สภาพพักผ่อน ตอนนี้การรับรู้ของจิตวิญญาณยังไม่มีสติพอ หรือกล่าวว่าครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่อย่างนั้นเมื่อเกิดการรับรู้ กายเนื้อต้องตื่นแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติวิญญาณจะถูกดึงกลับไปทันที
หลันหนิงเค่อจึงกล่าวชักนำแค่สองสามประโยค ชายที่กำลังฝันรู้สึกทันทีว่าคนตรงหน้าเป็นคนคุ้นเคยซึ่งตน ‘ไม่รู้ชื่อ’ ทั้งคิดจริงว่ามีเรื่องอย่าง ‘การนัดกันไว้แล้ว’
“ไปเถอะๆ ข้านำเงินมาแล้ว ขอแค่เจ้าไปด้วยกันก็พอ!”
หลันหนิงเค่อกล่าวเร่งอีกครั้ง ชายคนนั้นได้ยินแล้วรีบตามไป
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นย่อมดียิ่ง ไปๆๆ…”
แต่เมื่อจิตวิญญาณนี้ก้าวเดิน กลับก้าวไม่ออกทั้งวิ่งไม่ได้ ฝีเท้าเล็กมาก ด้วยจิตรับรู้กับร่างกายยังหลับอยู่
หลันหนิงเค่อจึงเดินมาลากชายคนนั้นไปด้วยกัน เส้นทางมุ่งตรงไปยังกำแพงเมือง
ชายซึ่งกำลังหลับฝันไม่สงสัยที่สหายคนนี้ของตนพาเขาเหาะเหินเดินอากาศไต่กำแพงแม้แต่น้อย แม้ว่าตื่นเต้นยินดี แต่กลับรู้สึกว่าสมควร
‘ทำไมยังไม่มา’
เมื่อเห็นว่าเกือบออกจากเมือง หลันหนิงเค่อพลันได้ยินเสียงแหวกอากาศแผ่วเบา
ความรู้สึกฉับไวของจอมยุทธ์ยอดฝีมือทำให้เขาหันมองพลางค้อมตัวทันที
เงาดำทอดยาวสายหนึ่งแทบกวาดโดนส่วนหลัง
เพียะ…
กำแพงเมืองใต้ฝ่าเท้าเกิดคลื่นเหมือนผิวน้ำ ชั่วพริบตาต่อมา…
เพียะ…
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง หลันหนิงเค่อพลันเจ็บแขน ปล่อยมือชายคนนั้น
“อ๊ะๆๆ ข้าจะตกแล้วๆ!”
ด้วยเดินเลียบกำแพงเมืองขึ้นไปพร้อมหลันหนิงเค่อ ตอนนี้เมื่อหลันหนิงเค่อปล่อยมือ ชายคนนั้นเสียการทรงตัวทันที กวัดแกว่งมือเท้าแต่กลับไม่อาจขวางการตกลงไป
“ช่วยข้าด้วย…”
ยามจิตวิญญาณตกลงมาย่อมเกิดความหวาดกลัวไร้สิ้นสุด เมื่อจิตวิญญาณตะโกน ยมทูตดำที่ห่างไกลกลับนิ่งดูดาย
ครู่ต่อมาจิตวิญญาณยังไม่ตกถึงพื้น บนตัวพลันส่องสว่างเล็กน้อย จิตวิญญาณกลายเป็นลำแสงริบหรี่หายลับไป
ภายในเรือนชาวบ้านบางแห่งกลางเมือง ชายหลับสนิทคนหนึ่งพลันตัวสั่น ตื่นมาพร้อมความหวาดกลัวในใจ
“อ๊าก… ฮะ ฮู่… แค่ฝันหรอกหรือ…”
ชายคนนั้นมองซ้ายมองขวา บุตรภรรยาของตนยังคงหลับสนิท เขาสงบอารมณ์เล็กน้อย เช็ดเหงื่อก่อนดื่มน้ำหน่อย คราวนี้ค่อยทิ้งตัวนอนใหม่อีกครั้ง
บนกำแพงเมืองทางเหนือของจังหวัดเหลาหยางซึ่งทำมุมตั้งฉากกับพื้น หลันหนิงเค่อมองผู้สวมชุดทางการสีดำพร้อมหมวกสูงสองคนที่อยู่ห่างไปหลายสิบจั้งอย่างประหม่ายิ่ง
รอบตัวสองคนนี้ปกคลุมด้วยปราณหยินพิฆาตเลือนรางชั้นหนึ่ง ใบหน้าเหลือบแสงเขียวเสี้ยวหนึ่ง คล้ายผีร้ายยิ่งกว่าหลันหนิงเค่อ แต่กลับเป็นยมทูตดำจริงๆ
บนมือหนึ่งในนั้นถือแส้ยาว ส่วนอีกคนยืนถือดาบ
“ผีตัวจ้อยจากไหน บังอาจล่อลวงวิญญาณคนอื่น เส้นทางมารปีศาจเช่นนี้เจ้าเรียนรู้มาจากไหน”
“เหตุใดต้องพูดมากความกับเขาด้วย จับกลับไปย่อมรู้แล้ว”
หลันหนิงเค่อได้ยินคำพูดนี้ เขารีบกระโดดขึ้นกำแพงเมือง หนีไปนอกเมืองอย่างบ้าคลั่ง นี่ไม่ใช่การแสดง แต่กลัวจริง
เมื่อผีร้ายวิ่งหนี ขณะเดียวกันยมทูตดำสองคนกลายเป็นเงาหยินพิฆาตเลือนราง กระโดดออกจากเมืองไปพร้อมกัน หนึ่งในนั้นกวัดแกว่งแส้ยาวในมือ
“คิดหนีหรือ หยุดเสียเถอะ!”
แส้ยาวราวกับงูวิญญาณ เฆี่ยนไปทางหลันหนิงเค่อ ฝ่ายหลังพลิกตัวหมุนตามจิตใต้สำนึก ออกแรงซัดฝ่ามือใส่แส้ จากนั้นค่อยอาศัยแรงสะเทือนหนีต่อ
“เป็นผีซึ่งรู้วิชายุทธ์ด้วย”
ยมทูตดำอีกคนกล่าวประโยคหนึ่ง ก่อนพุ่งตัวเข้ามาหลายสิบจั้งชั่วพริบตา ยามหลันหนิงเค่อเพิ่งผ่อนแรงจากแส้นั้น เขายังไม่ทันรู้สึกถึงความเจ็บปวดเหมือนแผดเผาบนมือ สายตาพลันเหลือบเห็นยมทูตดำอีกคนพุ่งตัวมาอยู่ตรงหน้าแล้ว
ยามเงาร่างตัดสลับ ยมทูตดำชักดาบฟันโดยไร้สุ้มเสียง
ฉัวะ…
“อ๊าก…”
แสงดาบวาบผ่านหน้าอกหลันหนิงเค่อ เสียงร้องเขาแทบดังขึ้นพร้อมกันอย่างไม่อาจระงับ ความเจ็บปวดจากการกรีดทึ้งเจือแผดเผานั้นเสียดลึกถึงกระดูก ไม่ใช่สิ่งที่ภูตผีรับได้โดยสิ้นเชิง
ขณะเดียวกันเงาแส้สายหนึ่งพันตัวหลันหนิงเค่อชั่วพริบตา มัดตัวหลันหนิงเค่อซึ่งเดิมตกอยู่ในสภาพอัมพาต
“หึ จับได้แล้ว”
“นำตัวไป!”
ตอนนี้หลันหนิงเค่อเจ็บปวดทั้งตัว ความเจ็บปวดจากรอยดาบยากคลี่คลาย แส้เหมือนเหล็กนาบร้อนแดงพันรอบตัว แต่กลับร้องไม่ออก กระทั่งเข้าเมืองมาครู่ใหญ่ บางทีอาจเป็นเพราะคิดว่าพอแล้ว ความรู้สึกแผดเผาบนแส้เริ่มผ่อนคลายลง ทำให้หลันหนิงเค่อค่อยยังชั่ว
จิตปีศาจของเจ้าภูเขาลู่หลบอยู่ในส่วนลึกของร่างวิญญาณหลันหนิงเค่อ ทั้งรู้จักเทพผีแห่งศาลมืดลึกซึ้งกว่าหน่อย แม้ว่าสำหรับเขาเทพราตรีจังหวัดเหลาหยางถือว่าไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับภูตผี เกรงว่าต่อให้เป็นยมทูตดำมรรควิถีสูงกว่าหนึ่งถึงสองขั้นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา
เมื่อจับกุมผีร้ายตนหนึ่งได้ เทพราตรีสองคนตรวจตราโดยรอบครู่หนึ่ง ก่อนพาตัวหลันหนิงเค่อมุ่งหน้าไปตรอกศาลเจ้า
เมื่อก้าวผ่านหยินหยาง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าหลันหนิงเค่อกับเจ้าภูเขาลู่ก็คือประตูนรก คล้ายด่านเมืองแห่งหนึ่งจริงๆ สองด้านซ้ายขวาคือหมอกมายา มีเพียงด่านเมืองที่ชัดเจน
เมื่อยมทูตดำเจ้าหน้าที่ผีตรงด่านเมืองเห็นผู้ลาดตระเวนราตรีเข้ามาใกล้ก็พากันทักทาย
ผู้ลาดตระเวนราตรีไม่หยุดเท้า พาหลันหนิงเค่อซึ่งสีหน้าอิดโรยประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาวก้าวเข้าประตูนรก เดินไปตรงส่วนลึกของศาลจังหวัด
เจ้าภูเขาลู่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของวิญญาณผีชาง สำรวจประตูนรกเงียบๆ ยมทูตดำในที่ลับและที่แจ้งมีจำนวนไม่น้อย ทั้งยังวางผนึกด้วย ไม่ใช่สถานที่ซึ่งบุกฝ่าได้ตามสะดวกดังคาด
กระบวนการหลังจากจับผีร้ายกลับมาคล้ายคลึงกับการคาดเดาของเจ้าภูเขาลู่ นำตัวมาตัดสินตรงหน้าผู้พิพากษา ด้วยไม่มีสมุดบันทึกจึงนิยามว่าเป็นผีเร่ร่อน ตัดสินโทษหนักเบาตามกรรมชั่วของวิญญาณร้าย
ระหว่างนี้ยังถามชื่อแซ่ ภูมิลำเนา สาเหตุการตาย การทำผิดคืนนี้ของหลันหนิงเค่อ แต่นอกจากชื่อแซ่กับภูมิลำเนา คำถามอื่นหลันหนิงเค่อไม่ให้ความร่วมมือทั้งหมด
“หึๆ ผีร้ายหลันหนิงเค่อ ส่งตัวไปกรมลงทัณฑ์ รับโทษนรกแส้ หกครา”
ผู้พิพากษายิ้มพลางจรดพู่กันตัดสินคดี เจ้าหน้าที่ผีด้านข้างคุมตัวหลันหนิงเค่อไป
หลันหนิงเค่อเป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่ ไม่ต้องขึ้นภูเขาดาบทะเลเพลิงที่เคยได้ยินตอนมีชีวิต แค่เฆี่ยนแส้หกครั้ง ยังดีๆ
สภาพจิตใจเช่นนี้ของเขา ทำให้เจ้าภูเขาลู่ยิ้มหยันในใจแต่ไม่กล่าวเตือน ยังคงเพ่งความสนใจกับสถานการณ์โดยรอบ โอกาสสำรวจศาลมืดเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ทั้งได้ยินบทสนทนาของพวกยมทูตดำซึ่งผ่านทางมารางๆ
“ได้ยินว่าวันนี้ศาลมืดของพวกเรามีแขกคนสำคัญมาเยือนหรือ”
“ถูกต้อง พวกเราไม่เคยเห็น ทำตัวลึกลับ ได้ยินว่าหลังจากยมทูตดำรายงาน ใต้เท้าหลักเมืองถึงกับไปรับด้วยตัวเอง”
“ความเป็นมาไม่ธรรมดา เป็นใครกันแน่”
“ไม่แน่ใจเช่นกัน…”
เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยเช่นนี้ เจ้าภูเขาลู่แอบยินดีในใจ แบบนี้ยิ่งดี ศาลมืดมีแขกคนสำคัญต้องดึงดูดความสนใจไปแน่
…
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในห้องรับโทษของกรมลงทัณฑ์ หลันหนิงเค่อถูกโซ่ตรึงกับแท่นลงทัณฑ์ เพชฌฆาตร่างกำยำคนหนึ่งถือแส้ยาวเจือแสงสลัวยืนห่างไปสามจั้ง
โดยรอบคือเสียงร้องโหยหวนกับเสียงหัวเราะน่ากลัวของเหล่าภูตผี ลมทมิฬพัดเสียงมาเป็นระลอกจนดังระงมไม่ขาดหู ดูเซ็งแซ่ผิดธรรมดา ทำให้จิตใจภูตผีสับสนวุ่นวาย หลันหนิงเค่อประหม่าและหวาดกลัวอยู่บ้าง
“ผีร้ายหลันหนิงเค่อ ผ่านการตัดสินโทษจากใต้เท้าพิพากษา ใต้เท้าลงทัณฑ์เห็นชอบ ลงโทษด้วยการเฆี่ยนแส้หกครั้ง”
ขณะกล่าวเพชฌฆาตสะบัดแส้ยาวในมือเต็มแรง
ฮือๆๆ…
เสียงแหวกอากาศคล้ายผีเด็กร้องไห้ดังมาจากแส้
เพียะ…
“อ๊าก… เฮือก…”
ความเจ็บปวดเช่นนี้เหมือนถูกห้าม้าแยกร่าง การรับรู้ของหลันหนิงเค่อเลือนรางชั่วขณะ เห็นวงแสงกึ่งโปร่งใสบางส่วนลอยออกจากร่าง ตัวหนาวสลับร้อนคล้ายเข็มแทงดาบฟัน แค่แส้เดียวก็ยืนหยัดไม่อยู่แล้ว
“หนึ่ง”
เสียงเย็นชาของเพชฌฆาตดังขึ้น จากนั้นค่อยชูแส้ยาวอีกครั้ง
ฮือๆๆ… เพียะ…
เมื่อหวดแส้ครั้งที่สอง หลันหนิงเค่อเหลือเพียงแรงกระตุก ส่งเสียงตะโกนไม่ออก ร่างวิญญาณมืดสว่างเป็นพักๆ ประเดี๋ยวเขียวคล้ำ ประเดี๋ยวซีดเผือด
“สอง”
‘นี่เพิ่งแส้ที่สองๆ ข้าจะตายแล้วๆ! เจ้าภูเขาช่วยข้าด้วยๆ!’
เสียงเรียกในใจหลันหนิงเค่อได้การตอบรับ ความรู้สึกเหมือนถูกกรีดทึ้งสงบลงชั่วคราว ปราณหยินบนตัวเริ่มเสถียร แต่ครั้งที่สามกับครั้งที่สี่ยังตามมาติดๆ
ถึงตอนท้ายหลันหนิงเค่อไม่ขอร้องให้เจ้าภูเขาลู่ช่วยเขาแล้ว กลับอยากหลุดพ้นในการเฆี่ยนแส้ครั้งที่สี่ให้รู้แล้วรู้รอด น่าเสียดายว่าสุดท้ายยังทนแบกรับถึงแส้ที่หก ทั้งกระบวนการเจ็บปวดยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
แม้แต่เพชฌฆาตยังแปลกใจอยู่บ้างว่าผีตนนี้ยืนหยัดได้ แต่ในเมื่อทนไหวก็ต้องส่งไปเมืองผีตามปกติ
รถผีคันหนึ่งเข้าเมืองผีขนาดไม่เล็ก บนถนนซบเซาบางแห่งมีของถูกถีบลงมา เป็นหลันหนิงเค่อซึ่งอยากลุกแต่ลุกไม่ขึ้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลันหนิงเค่อค่อยยังชั่ว หยัดร่างขึ้นมาอย่างสั่นเทา มองบ้านเรือนตรอกถนนโดยรอบด้วยสีหน้ามึนงง
ที่นี่เงียบเหงามาก บางครั้งมีภูตผีเดินผ่านแต่กลับเหมือนคนธรรมดา แต่ไม่มีใครมองหลันหนิงเค่อซึ่งทรุดอยู่ตรงนั้น
“ลำบากแล้ว ตอนนี้ลุกขึ้นมา ไปหาต่งปี้เฉิงสหายซึ่งไม่เจอกันหลายปีของเจ้า ดูจากฮวงจุ้ยหลุมศพ น่าจะอยู่ตรงศูนย์กลางค่อนไปทางใต้ของเมือง”
เสียงของเจ้าภูเขาลู่ดังขึ้น ทำให้หลันหนิงเค่อซึ่งเจ็บปวดทั้งตัวจำต้องดิ้นรนลุกขึ้น ในใจยังรู้สึกกระสับกระส่าย
แม้ตอนนี้เข้าเมืองผีมาแล้ว แต่เจ้าภูเขาลู่คงออกไปกระมัง ถึงตอนนั้น… หลันหนิงเค่อพลันรู้สึกว่าอยากร้องไห้อยู่บ้าง