เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 367 เหลือแค่คนเดียวแล้ว
ตอนที่ 367 เหลือแค่คนเดียวแล้ว
เมืองผีแห่งนี้มีชื่อเช่นเดียวกัน นามว่าเมืองผีเหลาหยาง แน่นอนว่าในเมืองไม่มีทางครึกครื้นเหมือนจังหวัดเหลาหยาง ถึงขั้นเงียบเหงากว่าเมืองผีไร้ขอบเขตซึ่งจี้หยวนเคยเจอหลายเท่า
หลันหนิงเค่อเดินตัดถนนผ่านตรอกในเมืองผี คิดหาผีเพื่อถามทางยังลำบากอยู่บ้าง ความจริงคือผีที่เจอน้อยเกินไป
หลังจากเดินตามความรู้สึกมานาน วนรอบทางใต้ของเมืองหลายรอบ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องไปถามชาวบ้านในเมือง
แต่บ้านเรือนในเมืองแปลกประหลาดนัก บางเรือนว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย บางแห่งไม่มีแม้แต่พื้นดิน ตามหาหลายแห่ง สุดท้ายค่อยได้ยินเสียงหัวเราะบางส่วนในตรอกแห่งหนึ่ง
หลันหนิงเค่อรีบเดินไปข้างหน้า มาถึงหน้าเรือนแล้วเคาะประตู
ก๊อกๆๆ…
“มีคน เอ่อ มีใครอยู่บ้านหรือไม่”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูเปิดออกดังแอ๊ด หลันหนิงเค่ออึ้งงันเล็กน้อย สิ่งที่เห็นคือคนกระดาษท่าทางประหลาด
พูดตามตรงว่าต่อให้หลันหนิงเค่อเป็นผี แต่ยังถูกทำให้ตกใจเล็กน้อย
คนกระดาษนี้เปิดประตูแล้วไม่พูดจาหรือเปลี่ยนท่าทาง ยิ้มเบิกบานอยู่ตลอด ด้วยความรู้สึกเกิดจากการแต้มแต่ง แก้มกับดวงตาผิดปกติจนน่ากลัวยิ่ง
จากนั้นหลันหนิงเค่อเพิ่งเห็นสถานการณ์ภายในเรือน มีคนรวมแปดคนนั่งล้อมวงเล่นไพ่ไม้ เป็นชายสี่หญิงสี่พอดี แต่ละคนล้วนแก่ชรา
‘เป็นคนแก่หมดเลยหรือ’
หลันหนิงเค่ออึ้งงันอีกครั้ง จากนั้นค่อยได้สติกลับมาว่าสถานที่นี้คือที่ไหน นี่คือเมืองผีจังหวัดเหลาหยาง คนส่วนใหญ่ล้วนแก่ตาย ย่อมเป็นคนแก่กันหมดไม่ใช่หรือ
“โอ้ ท่าทางเป็นคนรุ่นหลัง เจ้าตายตอนยังหนุ่มเชียว”
“เฮ้อ น่าเสียดาย ยังหนุ่มยังแน่นกลับตายเสียแล้ว!”
“อืม!”
พวกคนแก่เห็นท่าทางของหลันหนิงเค่อแล้ววิพากษ์วิจารณ์ หลันหนิงเค่อพยายามคารวะเอ่ยถามอย่างมีมารยาท
“ทุกท่าน ทราบที่ตั้งเรือนหยินของตระกูลต่งแห่งเหลาหยางหรือไม่”
ตระกูลต่งเป็นตระกูลมั่งคั่งแห่งจังหวัดเหลาหยาง ขอแค่เป็นคนท้องถิ่นย่อมน่าจะเคยได้ยินบ้าง
“ตระกูลต่ง? ตระกูลต่งที่ฝึกยุทธ์นั่นหรือ”
ชายชราคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ใช่ๆ ตระกูลต่งนั่นแหละ!”
“ถ้าเจ้าถามถึงเรือนหยินเก่าของตระกูลต่ง ที่นั่นร้างแล้ว แต่หลายปีก่อนได้ยินว่านายน้อยตระกูลต่งตายตั้งแต่ยังหนุ่ม คนหนุ่มอย่างพวกเจ้าตายน่าเสียดายนัก ส่วนนายน้อยตระกูลต่งเหมือนว่าเดิมไม่ควรตาย อายุขัยปรโลกจึงนานเป็นพิเศษ น่าจะอยู่ตรงส่วนลึกของตรอกไม้ดำ ตรงที่มีป่าแถบหนึ่งล้อมรอบนั่นแหละ”
หลันหนิงเค่อเข้าใจกระจ่าง มิน่าเขาวนหลายรอบกลับหาไม่เจอ ที่แท้ก็อยู่ภายในป่าไม้ดำ
หลันหนิงเค่อกล่าวขอบคุณก่อนรีบจากไปอย่างเร่งด่วน
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ ในที่สุดก็มาถึงริมป่าไม้ดำ ต้นไม้ชนิดนี้คล้ายต้นไหวอยู่บ้าง เพียงแต่ลำต้นดำสนิทสีใบไม้อึมครึม ดูท่าว่ามีแค่สถานที่อย่างปรโลกหรือปราณหยินเข้มข้นถึงมีได้
ในเมืองธรรมดาไม่ควรมีป่าใหญ่เช่นนี้ แต่ภายในเมืองผีกว้างใหญ่ถือว่าปกติ ถึงอย่างไรคนส่วนใหญ่ก็มีอายุขัยปรโลกสั้นกว่าอายุขัยบนโลกมาก วิญญาณของเมืองผีจึงบางตา
เดินตัดผ่านป่ามาราวหนึ่งร้อยก้าว หลันหนิงเค่อเห็นเรือนหรูหราแห่งหนึ่งจากไกลๆ ถึงขั้นเห็นว่ามีคนกระดาษจับไม้กวาดทำความสะอาดตรงประตูเรือนซึ่งเดิมสะอาดอยู่แล้ว
เวลานี้ความรู้สึกหลันหนิงเค่อซับซ้อนอยู่บ้าง สำหรับเก้าจอมยุทธ์คนอื่น เขาอิจฉาถึงขั้นเคียดแค้น แต่สำหรับต่งปี้เฉิงกลับไม่มีความรู้สึกนี้ ด้วยต่งปี้เฉิงตายเร็วกว่าเขาหลายปี พูดถึงความซวยย่อมเป็นหนึ่งในเก้าคน
ยังไม่เดินเข้าไปใกล้ หลันหนิงเค่อกล่าวทักทายเสียงดังแล้ว
“พี่ต่ง หลันหนิงเค่อมาเยี่ยม ไม่ทราบว่าพี่ต่งอยู่บ้านหรือไม่”
เมื่อหลันหนิงเค่อเดินถึงหน้าเรือน ชายชุดผ้าไหมวัยประมาณสามสิบรีบเดินออกมาจากข้างใน เป็นต่งปี้เฉิงนั่นเอง
ยามต่งปี้เฉิงเห็นหลันหนิงเค่อเขาแสดงออกว่าแปลกใจก่อน จากนั้นค่อยตื่นเต้นอยู่บ้าง เขามองโดยละเอียดครู่หนึ่งก่อนแน่ใจว่าเป็นหลันหนิงเค่อตัวจริง แม้ว่ารูปลักษณ์ต่างจากความทรงจำ แต่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
“พี่หลัน ทำไมเจ้าตายตั้งแต่ยังหนุ่มเล่า ทั้งอยู่ในเมืองผีเหลาหยาง หรือเจ้าตายที่จังหวัดเหลาหยาง ป่วยตายหรือเกิดเหตุไม่คาดฝัน หรือว่าเป็นเรื่องบนยุทธภพ ไปๆๆ เข้าไปดื่มชาๆ!”
ในเมืองผีมีคนมาเยี่ยมน้อย สหายยิ่งไม่มาก เมื่อเจอหลันหนิงเค่อ เห็นชัดว่าต่งปี้เฉิงดีใจมาก แต่คิดว่าอีกฝ่ายอาจโศกเศร้าด้วยเพิ่งตาย เขายังไม่กล้าดีใจออกนอกหน้า แค่เชิญเขาเข้าไปอย่างค่อนข้างตื่นเต้น
“ได้ๆ รบกวนด้วยๆ!”
“เฮ้อ พี่หลันยังจำข้าได้ ทั้งมาเยี่ยมข้า ทำให้ข้าคนแซ่ต่งซาบซึ้งแล้ว ไม่ต้องเกรงใจ ทุกปีพ่อแม่ข้าจะส่งชาชั้นดีมาให้ ลองชิมชาก่อนฤดูฝนช่วงวสันต์นี้ของจังหวัดเหลาหยางดู”
เมื่อเห็นต่งปี้เฉิงทำหน้าใส่ใจด้วยท่าทางกระตือรือร้น หลันหนิงเค่อไม่รู้ว่าทำไมละอายใจอยู่บ้าง แต่ยังไม่ลืมข้อเรียกร้องของเจ้าภูเขาลู่
ผีทั้งสองนั่งประจำที่ มีสาวใช้กระดาษไปเตรียมน้ำชา หลันหนิงเค่อเอ่ยถามประโยคหนึ่ง
“ก่อนเข้าเมืองผีพี่ต่งลำบากอะไรหรือไม่ อายุขัยปรโลกเหลือเท่าไหร่”
ความจริงคำถามนี้มีระดับมาก ผีซึ่งเข้าเมืองมา ขอแค่รู้สองเรื่องนี้ โดยพื้นฐานย่อมรู้ว่าก่อนตายเข้าเป็นคนอย่างไร
“อาจเป็นเพราะบรรพชนตระกูลต่งของข้าสั่งสมบุญไว้กระมัง ในศาลมืดข้าถึงไม่ลำบากอะไร แค่ถูกผู้พิพากษาตำหนิเรื่องความบ้าบิ่นอยู่บ้าง เฮ้อ อาจเป็นเพราะตายเร็ว อายุขัยปรโลกของข้าเหลืออีกหกสิบกว่าปี ก่อนหน้านี้คิดว่าเป็นเรื่องดี แต่ตอนนี้อยู่ปรโลกจนเบื่อหน่ายแล้ว”
“ตายดีไม่สู้อยู่อย่างเกียจคร้าน”
หลันหนิงเค่อได้แต่กล่าวปลอบเช่นนี้ ได้ยินคำพูดของต่งปี้เฉิง ย่อมรู้แล้วว่าก่อนตายเขากับตนไม่ใช่คนร่วมทางกัน
“จริงสิ พี่หลัน เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเจ้าเสียชีวิตอย่างไร”
หลันหนิงเค่อกำลังอักอ่วนคิดจะบอก แต่เสียงหนึ่งดังขึ้นมาก่อน
“เขาหรือ แน่นอนว่าก่อกรรมทำชั่วจนกรรมตามสนอง ถูกข้ากลืนกิน!”
ยามสิ้นเสียงหมอกสายหนึ่งหลุดออกจากร่างวิญญาณของหลันหนิงเค่อ กลายเป็นเจ้าภูเขาลู่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ท่านคือ?”
ต่งปี้เฉิงไม่ถือว่าประหลาดใจนัก เขาเคยเห็นเหล่าภูตผีบางส่วนมีวิชาผีอัศจรรย์มากมาย แม้แต่ตัวเขาเองก็พอมีบ้าง เขาจึงคิดว่าเจ้าภูเขาลู่เป็นผีที่ร้ายกาจหน่อย
เจ้าภูเขาลู่ประสานมือกล่าว
“ข้าชื่อลู่ซานจวิน ปีนั้นหน้าอารามเทพภูเขาบนเขาโคเทพ เคยทำสัญญากับพวกเจ้าเก้าจอมยุทธ์ ตอนนี้มาทำตามสัญญาโดยเฉพาะ แต่เจ้ากลับโชคไม่ดี ตายเสียแล้ว”
ต่งปี้เฉิงอึ้งงันเล็กน้อย นึกถึงเรื่องราวเมื่อตอนนั้น แต่เทียบกับคนอื่นก่อนหน้านี้ เขานิ่งสงบที่สุด ตายมาเกือบสิบปีแล้ว มีอะไรปล่อยวางไม่ได้อีก เขาแค่ลุกขึ้นมาคารวะตอบ
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าภูเขามาเยือน แต่ข้าคนแซ่ต่งตายมานานแล้ว ไม่อาจทำตามสัญญาของท่าน ได้แต่กล่าวขออภัย”
ยามสิ้นเสียงเขาหันมองสาวใช้กระดาษที่ยกน้ำชามาพลางกล่าว
“รินชาให้ท่านลู่ด้วย อย่ารินชาจนเต็ม รินพอประมาณอย่าทำหกเล่า”
คนกระดาษพยักหน้าราวเครื่องจักร เดินเนิบช้ามาวางถ้วยชาให้ทั้งสามทีละคน รินน้ำชาซึ่งไม่มีความอุ่นแม้แต่น้อย
“คนกระดาษนี้โง่เขลาเล็กน้อย ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนต้องสั่งความอย่างละเอียด…”
ต่งปี้เฉิงทอดถอนใจประโยคหนึ่ง มองเจ้าภูเขาลู่อีกครั้ง
“เจ้าภูเขามาครานี้ เตรียมจัดการกับข้าอย่างไร ปีศาจเข้าเมืองผีได้ด้วยหรือ”
เจ้าภูเขาลู่หยิบถ้วยชาขึ้นมาชิมสิ่งที่เรียกว่าน้ำชาอย่างแผ่วเบา เย็นเยียบเปี่ยมปราณหยิน แต่รสชาติถือว่าพอไหว
“เจ้าไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไร ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก มาเจอเจ้าด้วยพันธสัญญาเมื่อปีนั้น จริงสิ เจ้าตายได้อย่างไร”
ต่งปี้เฉิงดื่มชาอึกหนึ่งอย่างสงบเยือกเย็น รำลึกเล็กน้อยพลางกล่าว
“เกี่ยวข้องกับการผดุงคุณธรรมเช่นเดียวกัน หึๆ บนยุทธภพทุกคนต่างเลื่อมใสจอมยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไม่หยุด เรื่องการผดุงคุณธรรมแพร่หลายไปทั่ว แต่มีใครรู้บ้างว่าคนเท่าไหร่ตายด้วยเรื่องนี้ ข้าคนแซ่ต่งไม่รู้จักประมาณตนตามล่าคนถ่อยเฉ่าซั่งเฟย ผลคือฝีมือสู้เขาไม่ได้ กลับถูกเขาสังหารแทน”
“ก็ถูก การผดุงคุณธรรมต้องดูความสามารถกับโชค แต่การตายเช่นนี้ทำให้ผู้คนชื่นชม ถือว่าไม่ละอายต่อตัวเอง”
ได้ยินคำพูดของเจ้าภูเขาลู่ ต่งปี้เฉิงยิ้มขื่นคราหนึ่ง
“ไม่ละอายต่อตัวเองจริงหรือ ไม่ใช่หรอก! ดูความสามารถตนเองไม่ออกแต่หลับหูหลับตา แค่ทำร้ายตัวเองก็ช่างเถอะ แต่ยังทำให้ครอบครัวโศกเศร้า หลังจากยืนยันข่าวการตายของข้า ท่านพ่อซึ่งเข้มงวดถึงขีดสุดมาตลอดผมขาวชั่วข้ามคืน ท่านแม่ข้าน้ำตานองหน้าทั้งวัน ความเจ็บปวดเมื่อคนผมขาวส่งคนผมดำ ใครเล่าเคยสัมผัส ข้าไม่ละอายต่อตัวเองได้หรือ”
แม้ว่าต่งปี้เฉิงกล่าวราบเรียบ แต่ยังมีความรู้สึกร้าวระทมและละอายใจ
เจ้าภูเขาลู่ไม่เอ่ยวาจา ใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนถอนใจ
“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว วันนี้ท่านทั้งสองมาเยือน ข้าคนแซ่ต่งดีใจมาก ช่วยเล่าเรื่องบนโลกมนุษย์ให้ข้าฟังหน่อยเถอะ เรื่องของพี่หลันไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้พวกเยี่ยนเฟยเป็นอย่างไรบ้าง”
ต่งปี้เฉิงไม่ถามเรื่องของหลันหนิงเค่ออีก แต่เบี่ยงประเด็นสนทนาไปหาคนอื่น ด้วยคำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้าภูเขาลู่ทำให้เขาพอคาดเดาได้ เขาจึงเลือกให้เกียรติหลันหนิงเค่อบ้าง
เจ้าภูเขาลู่ยินดีคุยกับต่งปี้เฉิงมากหน่อย เล่าเรื่องคนอื่นก่อนหน้านี้โดยคร่าว ไม่พูดถึงเรื่องของหลันหนิงเค่อจริงๆ ทำให้ฝ่ายหลังซาบซึ้งอยู่บ้าง
กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ หลันหนิงเค่อกับเจ้าภูเขาลู่ค่อยขอตัวจากไป ฝ่ายแรกยังถามเรื่อง ‘เฉ่าซั่งเฟย’ นั่นโดยละเอียด
ต่งปี้เฉิงพิงประตูเรือน มองผู้มาเยือนจากไป สัญชาตญาณเขาบอกว่าสองคนนี้คงไม่มาอีกแล้ว ทั้งเดาออกว่าพวกเขาไม่ได้มาเมืองผีอย่างถูกต้อง แต่เขาไม่มีความคิดรายงานยมทูตดำ แค่ทอดถอนใจอยู่บ้าง ถอนใจเรื่องตนกับสหายในอดีต
เขาเพิ่งคิดหันหลังกลับไป แต่พลันพบว่าตรงสุดผืนป่ามีผู้มาเยือนอีกคน
จี้หยวนสวมชุดขาว มือหนึ่งอยู่ข้างตัวมือหนึ่งไพล่หลัง ไม่กี่ก้าวก็มาถึงหน้าเรือนหยินของต่งปี้เฉิงราวย่นย่อระยะทาง
“เจ้าคือ?”
ในใจต่งปี้เฉิงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างเด่นชัด ด้วยเมื่อครู่เพิ่งเจอเจ้าภูเขาลู่ ดังนั้นเขานึกออกทันทีว่าคนผู้นี้เป็นใคร คำเรียกเปลี่ยนเป็นให้เกียรติทันที
“ท่านคือท่านจี้!”
จี้หยวนประสานมือคารวะ
“ไม่คิดว่าจะเจอจอมยุทธ์ต่งอีกครั้งด้วยรูปแบบนี้! เรื่องยามมีชีวิตผ่านพ้นไปนานแล้ว หนทางบนปรโลกยังอีกยาวไกล หากจอมยุทธ์ต่งอยู่ในเมืองแล้วอัดอั้น ไปหาคนของศาลมืดเพื่อขอรับงานได้ บอกว่าจี้หยวนแนะนำ อืม ขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า แม้ว่าเป็นแค่ของเล่น แต่ถือว่าหายาก”
จี้หยวนพูดจบแล้วยื่นมือขวาที่ไพล่หลังออกมาแบมือ เผยให้เห็นเหรียญทองแดงกองหนึ่งบนนั้น ทองอร่ามสะดุดตายิ่ง ดูเหมือนว่ามีอยู่ยี่สิบถึงสามสิบเหรียญ
“นะ นี่คืออะไรหรือ”
“เหรียญทิพย์ จอมยุทธ์ต่งไม่เคยเห็นหรือ”
เหรียญทิพย์? ต่งปี้เฉิงอึ้งงัน ล้วงเหรียญกระดาษบางเบาสีทองเหลืองกองเล็กออกมาจากอก ก่อนมองเปรียบเทียบกัน
“หึๆ รับไว้เถอะ แน่นอนว่าเหรียญทิพย์ของข้าคนแซ่จี้ย่อมโดดเด่นไม่เหมือนใครอยู่บ้าง ยามคับขันสามารถลิขิตฟ้าดิน หวังว่าจะใช้อย่างระวัง!”
จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย วางเหรียญทิพย์ลงกลางมือต่งปี้เฉิง ฝ่ายหลังยื่นมือออกไปรับตามจิตใต้สำนึก รู้สึกแค่ว่าหนักมือ ท่วงทำนองวิญญาณบนนั้นเข้มข้น
ต่งปี้เฉิงจับเล่นครู่หนึ่งอย่างวางมือไม่ได้ เพิ่งคิดขอบคุณเชิญท่านจี้เข้าเรือน เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าคนไม่อยู่แล้ว
นอกป่าไม้ดำ จี้หยวนหันกลับไปมองด้านหลัง ก่อนมองไปเบื้องหน้า ตอนนี้เหลือแค่เยี่ยนเฟยคนเดียวแล้ว
“ก็ไม่รู้ว่าวัวเถื่อนกับเจ้าภูเขาลู่เจอกันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น!”
จี้หยวนยิ้มพลางกล่าวพึมพำกับตัวเอง เฝ้ารอสิ่งที่คิดในใจนัก
………………………………..