เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 369 พวกเจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าเสือหรือ
ตอนที่ 369 พวกเจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าเสือหรือ
แน่นอนว่าหนิวป้าเทียนไม่ใช่พวกไร้เหตุผล แต่หลายปีนี้ฟังเรื่องบนเขาโคเทพจากปากเยี่ยนเฟยไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
เจ้าวัวเป็นผู้มีความแยบยลแฝงอยู่ในความหยาบช้า เขาเคยวิเคราะห์นิสัยของปีศาจเสือบนเขาโคเทพซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ว่านั่นเป็นเรื่องเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน แต่สำหรับปีศาจซึ่งฝึกสำเร็จยี่สิบปีไม่ถือว่านานนัก ย่อมเปลี่ยนไปไม่มากแน่
จากคำบอกเล่าของเยี่ยนเฟย เจ้าวัวลองมองจากมุมของปีศาจตนหนึ่ง คิดตามสถานการณ์ของปีศาจบนป่าเขาซึ่งไม่เคยสัมผัสโลกผู้บำเพ็ญโดยตรง พิจารณาจนได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเจ้าภูเขาลู่ดังนี้
ประการแรก สำหรับเก้าจอมยุทธ์น้อย เจ้าภูเขาลู่คนนี้ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือสภาพจิตใจล้วนอยู่บนตำแหน่งเหนือกว่า ทั้งเก้าคนไม่มีโอกาสต่อต้านปีศาจระดับนี้ หลังจากแปลงกายแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ ทั้งไม่สนใจชีวิตของพวกเขาเก้าคนนัก
ประการที่สอง กล่าวได้ว่าปีศาจเสือคิดอ่านรอบคอบ แต่ถือว่าเป็นพวกรังแกผู้อ่อนแอกลัวผู้แข็งแกร่งระดับหนึ่งเช่นกัน ถึงอย่างไรตอนนั้นท่านจี้อยู่ในอารามจึงทำให้ปีศาจเสือเปลี่ยนความคิด ถ้าท่านจี้ไม่อยู่ ทั้งเก้าคนคงตายแปดร้อยรอบแล้ว ปีศาจตื่นรู้มีจิตวิญญาณอะไรคงหลีกทางหมด พูดตามตรงคือท่านจี้ต่อยตีเก่งกว่า มิฉะนั้นปีศาจเสือนั่นมีหรือจะยอมแพ้
ประการที่สาม การให้ความสำคัญกับคำสัญญาอย่างยิ่ง เป็นไปได้ว่าอาจเป็นเพราะหวาดกลัวหรือเคารพท่านจี้มาก ยิ่งมีโอกาสสูงว่าเป็นเพราะทั้งสามปัจจัย กอปรกับปีศาจส่วนใหญ่นิสัยเรียบง่าย พื้นฐานเจ้าภูเขาลู่เป็นพวกทำตามคำพูด บอกว่าไม่กินคนคือไม่กินคน แต่ถ้าเจ้าไม่ทำตามสัญญา ข้าบอกว่าจะฆ่าเจ้าก็ย่อมฆ่าเช่นกัน
สามประเด็นนี้เป็นผลจากการกลั่นกรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเจ้าวัว ทั้งเคยคิดเรื่องการรับมือตอนเจอกันครั้งแรกด้วย หากจี้หยวนรู้ความคิดในใจของเจ้าวัว เขาคงกล่าวชมประโยคหนึ่ง มีเหตุผล น่าเชื่อถือ
ตอนนี้เมื่อเจอเจ้าภูเขาลู่ การตอบสนองแรกของเจ้าวัวก็คือ ‘จำเป็นต้องใช้อานุภาพกำราบปีศาจเสือตนนี้ก่อนก้าวหนึ่ง ทำให้เขารู้ว่าปีศาจที่เพิ่งแปลงกายไม่นาน ควรแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสอย่างไร!’
ปัจจุบันมรรคเทพของอาณาจักรจู่เยวี่ยเสื่อมลงมาก ต่อให้เป็นสถานที่อย่างเมืองลั่วชิ่ง แม้ว่าขุมอำนาจเทพหลักเมืองแห่งศาลมืดไม่ได้อ่อนแอ แต่ทำได้แค่รักษาสมดุลความเป็นกลาง
เทพหลักเมืองลั่วชิ่งรู้ว่ามีปีศาจอย่างหนิวป้าเทียนอยู่นอกเมืองนานแล้ว แต่อีกฝ่ายเก็บตัว เห็นชัดว่ามรรควิถีล้ำลึก ภายใต้สถานการณ์ซึ่งไม่ก่อเรื่องให้เมืองลั่วชิ่ง พวกเขาไม่รบกวนกันอย่างรับรู้อยู่ในที ตอนนี้หนิวป้าเทียนจึงปลดปล่อยปราณปีศาจโดยไม่หวั่นเกรง
แม้กล่าวเช่นนี้ ตอนนี้ปราณปีศาจของหนิวป้าเทียนยังค่อนข้างเก็บงำ แค่เผยออกมาทางภาพลักษณ์ ไม่ใช่อานุภาพ
ปราณปีศาจอบอวลรอบตัวหนิวป้าเทียนเป็นรัศมีสองจั้ง ทั้งทะยานสูงสามจั้ง ควบรวมอานุภาพปราณชั่วร้ายแผ่ซ่าน มีมายาวัวแกร่งตาแดงตัวหนึ่งคำรามอยู่รางๆ
เจ้าภูเขาลู่เคลื่อนสายตาจากเยี่ยนเฟยมามองหนิวป้าเทียน ตอนนี้เจ้าวัวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเหยียดเจ้าภูเขาลู่ ส่วนลึกของดวงตามีเพลิงปีศาจเหลือบแสงสลัวพวยพุ่ง
ข้างกายเยี่ยนเฟยมีปีศาจมรรควิถีแกร่งกล้าตนหนึ่งเช่นนี้ ทำให้เจ้าภูเขาลู่ผิดคาดอยู่บ้างจริงๆ เขาประสานมือไปทางหนิวป้าเทียนอีกครั้ง ก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงเป็นมิตร
“ขอถามว่าท่านเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับเยี่ยนเฟย”
หนิวป้าเทียนแอบยิ้มในใจ ท่าทางไม่เลว ยอมแพ้ก็ดี การแสดงออกทางสีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อย แค่นเสียงกล่าวตอบ
“ข้าชื่อหนิวป้าเทียน หนิวจากคำว่าเกิงหนิว (วัวเทียม) ป้าเทียนจากคำว่าเชิงป้าเทียนซย่า (เด่นผงาดเหนือใต้หล้า) เยี่ยนเฟยเป็นน้องชายของข้าคนแซ่หนิว แม้ว่าเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ถูกคอข้าคนแซ่หนิวมาก อืม ต้องบอกว่านิสัยเข้ากัน ไม่ได้หมายความว่าอร่อยหรือไม่ พวกเรามีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน หากว่าเขาเกิดเรื่อง ข้าคนแซ่หนิวย่อมไม่มีทางนิ่งดูดาย!”
หนิวป้าเทียนกล่าวอธิบายอย่างใส่ใจ กลัวว่าปีศาจตามป่าเขาที่เพิ่งแปลงกายอย่างเจ้าภูเขาลู่จะไม่เข้าใจความหมาย ขณะเดียวกันยังกล่าวชัดเจน เรื่องของเยี่ยนเฟยก็คือเรื่องของเขาคนแซ่หนิว
“อ้อ เสียมารยาทแล้วๆ เยี่ยนเฟยมีพี่น้องที่ดีนัก!”
เจ้าภูเขาลู่ยิ้มพลางตอบรับประโยคหนึ่ง จากนั้นค่อยมองรั้วล้อมกำแพงทั้งมองไปด้านใน
“ไม่ทราบว่าข้าคนแซ่ลู่ขอเข้าไปคุยด้วยได้หรือไม่”
“เชิญเจ้าภูเขาตามสบาย”
เยี่ยนเฟยกล่าวเบาๆ ต้องยอมรับว่ามีหนิวป้าเทียนอยู่ข้างกาย เยี่ยนเฟยมั่นใจขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่กลัวนัก
เจ้าภูเขาลู่กำลังยกเท้าก้าวเข้ามา เจ้าวัวกลับเอ่ยปากอีกครั้ง
“ช้าก่อน ข้าบอกให้เจ้าเข้ามาแล้วหรือ”
บนหน้าหนิวป้าเทียนเผยรอยยิ้มหยัน เจ้าภูเขาลู่ขมวดคิ้ว ทั้งเก็บเท้ากลับไป เพิ่งคิดจะเอ่ยปากกล่าว เจ้าวัวพลันยิ้มพลางเอ่ยปาก
“เจ้าเข้ามาได้แล้ว”
เจ้าภูเขาลู่มุมปากกระตุกอย่างอดไม่ได้ เขาขยับคอเล็กน้อย เกิดเสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบเบาๆ
“พี่หนิว ทำเกินไปหรือไม่…”
เยี่ยนเฟยขยับเข้าใกล้ ใช้กำลังภายในเคลื่อนปราณดั้งเดิมบีบเสียง ส่งผ่านหูหนิวป้าเทียน ฝ่ายหลังยิ้มกล่าวเสียงเบา
“น้องเยี่ยน ไม่เป็นไร ปีศาจตามป่าเขาที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างเช่นนี้ ควรกำราบสักหน่อย นี่คือถิ่นของพวกเรา เจ้าดูเขาสิ ว่าง่ายมากไม่ใช่หรือ!”
ยามทั้งสองคนกล่าวเสียงเบา เจ้าภูเขาลู่ข่มโทสะชั่วพริบตาพลางก้าวเข้ามาในเรือน
สุดท้ายเยี่ยนเฟยก็ไม่ใช่หนิวป้าเทียน ไม่กล้าทำเกินไป เขาถือโอกาสหยิบถ้วยชาบนโต๊ะมารินให้ใบหนึ่ง
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูร้อนอบอ้าว น้ำชายังไม่เย็นชืด กลับกลายเป็นว่าร้อนฉ่า
“เจ้าภูเขาเชิญนั่ง เชิญดื่มชา”
มีหนิวป้าเทียนอยู่ข้างๆ กอปรกับการฝึกฝนหลายปีนี้ของเยี่ยนเฟย การพูดจาจึงไม่ถึงขั้นนบนอบหรือทระนงตน
เจ้าภูเขาลู่ขานรับว่าอืม ก่อนนั่งลงข้างโต๊ะ เยี่ยนเฟยนั่งเป็นเพื่อน แต่เจ้าวัวแผ่อานุภาพยืนมองเจ้าภูเขาลู่อยู่ด้านข้าง
“ท่านไม่เหนื่อยหรือ”
เมื่อเห็นปีศาจวัวตนนี้คอยทำท่ากดดันทำให้เจ้าภูเขาลู่อึดอัดอยู่บ้าง เขากล่าวเหน็บแนมประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้ แต่เจ้าวัวไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย แค่มองเขาเท่านั้น
“เยี่ยนเฟย เจ้าน่าจะรู้ว่าข้ามาเพราะอะไร อาณาจักรจู่เยวี่ยมีข่าวลือเรื่องมือกระบี่บินแตกต่างกัน จากมุมมองของข้า บนตัวเจ้ามีปราณพิฆาตไม่น้อย ทั้งมีปราณแค้นพันรอบ เจ้าเป็นจอมยุทธ์ตามวิถีใด”
ไม่รอให้เยี่ยนเฟยตอบ เจ้าภูเขาลู่กล่าวต่อ
“ได้ยินว่าเก้าปีก่อนเจ้านัดประลองกับจอมยุทธ์ภาคกลางคนหนึ่งเพื่อสร้างชื่อ สุดท้ายเจ้าชนะ แต่จอมยุทธ์นั่นสิ้นชีพภายใต้กระบี่เจ้า มีเรื่องนี้หรือไม่”
เยี่ยนเฟยหลับตารำลึกเล็กน้อย จากนั้นค่อยถอนหายใจ
“มีเรื่องนี้จริง ดาบกระบี่ไม่มีตา ยามประลองยุทธ์มักหยุดมือไม่ได้ ไม่ใช่แค่เขา ตอนนั้นเพื่อลับกระบี่ ข้ายังนัดประลองกับผู้เจนจัดบนยุทธภพจู่เยวี่ยมากมาย หลายคนบาดเจ็บสาหัส ตายก็มี”
“หึ การประลองยุทธ์คือเรื่องที่จอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายยินยอม เจ้าคนแซ่ลู่นำเรื่องนี้มาตัดสินได้หรือ”
หนิวป้าเทียนแค่นเสียง จากนั้นค่อยกล่าว
“เรื่องความเป็นตายเจ้าเข้าใจหรือไม่ ถ้าไม่อยากประลองก็อย่าห่วงชื่อเสียง ตายแล้วโทษใครได้ ฝีมือสู้เขาไม่ได้เอง! ปีศาจอย่างพวกเรากินคนบ้างยังไม่ถือสา คนธรรมดาประลองยุทธ์พลั้งมือฆ่าคน ทำเป็นตื่นตูม…”
เจ้าวัวพลันรู้สึกถึงความเยียบเย็นเด่นชัดพุ่งปะทะ คำพูดซึ่งยังกล่าวไม่จบชะงักค้าง
บนหน้าเจ้าภูเขาลู่เผยรอยยิ้มเย็นน่ากลัว สายตาเริ่มเย็นชาลง การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้ไม่ได้เกิดเพราะเยี่ยนเฟยยอมรับว่าประลองยุทธ์ฆ่าคน แต่เกิดขึ้นหลังจากหนิวป้าเทียนกล่าวว่า ‘ปีศาจอย่างพวกเรากินคนบ้างยังไม่ถือสา’
หนิวป้าเทียนพลันตกใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง
“เยี่ยนเฟย ตอนนั้นพวกเจ้าเก้าคนข้าเยี่ยมมาเกือบหมดแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับนับปีศาจเป็นพี่น้อง หึๆๆๆๆๆ… ดีนัก ดีนัก! ดูจากการกระทำของปีศาจวัวตนนี้ ย่อมไม่เหมือนคนดีเท่าไหร่”
เจ้าภูเขาลู่ไม่ดื่มชาสักอึก ลุกจากที่นั่งช้าๆ นัยน์ตาเจือสีทองอำพัน ฉายแววดุดันกวาดมองเยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียน
เมื่อครู่เจ้าภูเขาลู่ไม่ชอบหน้าปีศาจวัวตนนี้อยู่บ้าง แต่คนหยาบคายมีมาก ปีศาจหยาบกระด้างย่อมพบเห็นได้ทั่วไป ด้วยการควบคุมอารมณ์ของเจ้าภูเขาลู่ ความอดทนแค่นี้ยังมีอยู่
แต่ตอนนี้ต่างออกไป ปีศาจวัวเปี่ยมปราณชั่วร้ายตนนี้เป็นพวกกินคนตามใจ กอปรกับมือกระบี่บินอย่างเยี่ยนเฟยมีปราณชั่วร้ายพันรอบเช่นกัน ข่าวลือเชิงลบกลายเป็นมีบทบาทสำคัญ
“ทำไม ชวนทะเลาะหรือ เจ้าแซ่ลู่ ‘ปีศาจน้อย’ ที่เพิ่งแปลงกายอย่างเจ้า แรงกำลังเทียบเท่าแขนขาข้าได้หรือ”
หนิวป้าเทียนสังเกตเห็นว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป แต่ตอนนี้ยิ่งไม่อาจลดทอนอานุภาพ เหมือนตอนเขาเข้าหอนางโลม ยามสมควรแข็งกร้าวต้องแข็งกร้าว
‘ปีศาจที่เพิ่งแปลงกายตนหนึ่ง ต่อให้เป็นปีศาจเสือ หากให้เวลาฝึกปราณเขาเพิ่มอีกหนึ่งร้อยปีแล้วอย่างไรเล่า สามารถพลิกฟ้าได้หรือ’
“ชวนทะเลาะ? หึๆ… ไม่ๆๆ…”
เจ้าภูเขาลู่แสร้งยิ้มพลางส่ายหัวเล็กน้อย แต่สีหน้าแบบนั้นไม่ได้ทำให้เจ้าวัวโล่งอก กลับกลายเป็นว่าตึงเครียดอยู่บ้าง นี่ไม่ใช่ท่าทางที่พวกยอมแพ้ควรมี
จริงดังคาด ประโยคต่อมาของเจ้าภูเขาลู่ทำให้ในใจเยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียนสะดุดกึกพร้อมกัน
“ข้าคนแซ่ลู่ไม่ได้ชวนทะเลาะ แค่คิดสังหารพวกเจ้าเท่านั้น!”
เมื่อเอ่ยปากออกมา ปราณสังหารบนตัวเจ้าภูเขาลู่แผ่ซ่าน แสงดำดุดันเหมือนกลุ่มควันพวยพุ่ง เริ่มอบอวลตามการเปลี่ยนสีเสื้อผ้าบนตัว ปราณดุดันชวนประหวั่นสายหนึ่งแผ่ขยาย นัยน์ตาทองอำพันจ้องเยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียนเขม็ง ทำให้เจ้าวัวรู้สึกถึงแรงกดดันเด่นชัด
“น้องเยี่ยน มาอยู่ข้างหลังข้า ปีศาจเสือตนนี้ผิดปกติ!”
เจ้าวัวแค่กล่าวประโยคนี้ทันเท่านั้น เงาร่างเจ้าภูเขาลู่เลือนจากตรงหน้าแล้ว
“โฮก…”
เสียงคำรามดุดันก้องผ่านหูหนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟย ยามหูดับชั่วคราว หนิวป้าเทียนใช้สองแขนต้านตามจิตใต้สำนึก
ตูม…
โต๊ะหินตรงลานคฤหาสน์เล็กแตกเป็นเสี่ยงตั่งไม้ลอยกระเด็น ถ้วยชากาน้ำชาแตกละเอียดกระจัดกระจาย กลางลานยังมีสายลมคลั่งหอบฝุ่นควันระลอกหนึ่ง
“มอ…”
หนิวป้าเทียนเจ็บปวดด้วยถูกโจมตีอย่างหนัก ชั่วพริบตายามร่างกายถูกซัดกระเด็น เขายังไม่ลืมคว้าเสื้อเยี่ยนเฟยมา พาเขาลอยไปด้วยกัน มิฉะนั้นเยี่ยนเฟยยืนอยู่จุดเดิมต้องตายแน่
ตูม…
เจ้าวัวถูกซัดกระแทกจนเรือนด้านหลังแหลก ไถไปกับพื้นสิบกว่าจั้งค่อยหยุด มองแขนซ้ายซึ่งแข็งแกร่งบึกบึนที่สุด รอยแยกหลายสายอาบเลือด เขาหอบหายใจอย่างหวาดหวั่น
เมื่อครู่หากตอบสนองช้าเพียงนิด เกรงว่ากรงเล็บนี้คงตะปบหน้าอก เห็นชัดว่ามุ่งตรงมาทางหัวใจ
เจ้าวัวไม่แน่ใจว่าแหวกการป้องกันบนผิวหนังกับพลังปีศาจตรงหน้าอกตนได้หรือไม่ เขารู้แค่ว่าตนไม่อยากลอง
“น้องเยี่ยน อีกเดี๋ยวเมื่อต่อสู้กัน เจ้าวิ่งไปได้ไกลเท่าไหร่ให้วิ่งไปไกลเท่านั้น ครั้งนี้ข้าคนแซ่หนิวไม่ได้พูดเล่นกับเจ้า!”
ภายในลานคฤหาสน์ เจ้าภูเขาลู่เลียมือขวาซึ่งเผยกรงเล็บคมกริบ จากนั้นค่อยสะบัดเลือดบนมือทิ้ง การชิมเพียงเล็กน้อยคราวนี้ ความร้อนบนลิ้นทำให้เขารู้ว่ามรรควิถีของปีศาจวัวตนนี้สูงกว่าที่คาดไว้
“โฮก…” “มอ…”
เสียงปีศาจสองตนแผดคำราม เงาร่างหายไปจากจุดเดิมพร้อมกัน จากนั้นเสียงต่อสู้หนักหน่วงดังตูม… ปึง… โครม… ระเบิดลั่นพร้อมกับลมหมุนและรอยแยกบนพื้น
ก้อนหินกับเศษไม้ซึ่งเกิดจากการตวัดกระบี่กระจายตัว ร่างกายยิ่งถูกสายลมคลั่งพัดจนยืนไม่เสถียร แม้แต่ท่าร่างยังสำแดงไม่ได้ ได้แต่กัดฟัน เริ่มวิ่งห่างออกไปตามคำสั่งของหนิวป้าเทียน
พื้นดินเหมือนกำลังเกิดแผ่นดินไหว ต้นไม้นอกคฤหาสน์ถูกทำลายนานแล้ว ไม่ล้มระเนระนาดก็หักกลาง
ยามออกวิ่งเยี่ยนเฟยหันกลับไปมอง ตอนนี้หนิวป้าเทียนกำลังขุดรากถอนโคนคว้าต้นลูกพลับหนาแน่นมาต้นหนึ่ง ฟาดใส่เจ้าภูเขาลู่เหมือนควงกระบอง
พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง
“กีบย่ำทลาย…”
ตูม…
“กีบย่ำทลายๆๆๆ… ดูสิว่าเจ้าจะตายหรือไม่!”
ตูม… ตูม… ตูม… ตูม…
ฝุ่นควันอบอวลแสงธรรมส่องประกาย อภินิหารกีบย่ำกับการควงต้นไม้เคลื่อนกวาดสลับกันโจมตี
เมื่อสิ้นสุดการโจมตี มุมปากเจ้าภูเขาลู่หลั่งเลือดลอยออกไป ตลอดทางชนต้นไม้หักหลายต้น ชนกังหันน้ำเก่าริมร่องน้ำจนแหลกแล้วกระแทกพื้น
“ฮ่าๆๆๆๆ… เจ้าเสือน้อย เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ข้ายังไม่ใช้กายปีศาจ เจ้าเผยร่างเดิมมาสู้กันหน่อย ไม่อย่างนั้นก็กลับไปฝึกอีกสักร้อยปีเถอะ ฮ่าๆๆๆๆๆ…”
ปราณปีศาจกับปราณชั่วร้ายบนตัวหนิวป้าเทียนอบอวล แสงสีเหลืองพุ่งสูงสิบกว่าจั้ง ถือต้นไม้ซึ่งแตกหักนานแล้วพลางหัวเราะร่าไม่หยุด
ตูม…
แต่ครู่ต่อมาเสียงหัวเราะของเจ้าวัวกลับแผ่วลง
ห่างออกไปปราณปีศาจกับปราณชั่วร้ายของเจ้าภูขาลู่กลายเป็นเพลิงมายา ย้อมท้องฟ้าครึ่งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงดังกรอบเป็นระลอก สัตว์ร่างยักษ์น่ากลัวซึ่งไม่เคยเห็นตัวหนึ่งกำลังเผยร่างจริงทีละน้อย…
เจ้าวัวเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายราวกับกระดิ่งสำริด หันมองเยี่ยนเฟยซึ่งอึ้งงันอยู่ห่างออกไปอย่างแข็งทื่ออยู่บ้าง
“ไม่ใช่แล้ว… นะ น้องชาย แดนต้าเจินของพวกเจ้า… เรียกสิ่งนี้ว่าเสือหรือ!?”