เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 371 พอแล้ว!
ตอนที่ 371 พอแล้ว!
ตอนนี้ผู้ตกตะลึงและตึงเครียดเหมือนหนิวป้าเทียนยังมีเหล่าเทพผีของเมืองลั่วชิ่ง
ปีศาจยักษ์สองตนต่อสู้กันจนอยู่ห่างเมืองลั่วชิ่งไม่ไกลนัก ด้วยระยะห่างใกล้เข้ามา ทำให้เทพผีรวมถึงเทพหลักเมืองลั่วชิ่งเห็นร่างปีศาจของเจ้าภูเขาลู่
ปีศาจเช่นนี้อย่าว่าแต่ไม่เคยพบเห็น ไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ แค่มองรูปลักษณ์ภายนอกยังรู้ว่าไม่ธรรมดาแน่
แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน สายลมคลั่งโหมกระหน่ำ เสียงคำรามก้องฟ้าดังมาถึงเมืองลั่วชิ่ง ท้องฟ้ามืดสลัวอึมครึม ทำให้การมองเห็นลดลงอีกครั้ง กอปรกับการปิดกั้นของปราณปีศาจทั่วฟ้า ทำให้พอเห็นว่าปีศาจยักษ์สองตนต่างลุกขึ้นมา
หนิวป้าเทียนจำต้องลุกขึ้น ต่อให้ตอนนี้ยากจะรับแทบตาย แต่กลับไม่อาจเผยความอ่อนแอ
สำหรับโลกผู้บำเพ็ญการห้ำหั่นระหว่างปีศาจถือว่าเหี้ยมโหดมาก โดยเฉพาะสถานการณ์ตอนนี้ จากมุมมองเจ้าวัวคือไม่ตายไม่เลิกรา
การปะทะปราณปีศาจส่งผลต่อแรงพายุอีกครั้ง หินทรายบนพื้นสั่นสะเทือน เศษฝุ่นกลางอากาศลอยทั่วฟ้า
แขนซ้ายของเจ้าภูเขาลู่ตกสู่สภาพเสียการรับรู้ มีเลือดสดร้อนฉ่าไหลออกมาไม่หยุด แต่บาดแผลกำลังเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อเขาลุกขึ้นมากลับมีแค่เลือดซึมแล้ว
กรอบ… แกรบ…
กระดูกแขนซ้ายแตกละเอียด แต่กล้ามเนื้อแข็งแกร่งบีบอัดไว้ ฝืนเชื่อมกระดูกเข้าด้วยกัน วางกรงเล็บลงกับพื้นเบาๆ คล้ายไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
แต่ความจริงคือไม่ใช่แค่กรงเล็บซ้าย บนร่างกายยังมีบาดแผลไม่น้อย พลังปีศาจของปีศาจวัวตรงหน้าแข็งแกร่งอภินิหารไม่ธรรมดา เป็นคู่ต่อสู้ซึ่งรับมือยากยิ่ง
“หึๆๆๆ… สะใจ สุดท้ายการสู้กับปีศาจย่อมสะใจกว่า…”
เสียงเจ้าภูเขาลู่ดังขึ้น นอกจากเสียงคำรามนี่คือการเอ่ยปากครั้งแรกของเขาหลังจากเริ่มต่อสู้ การปฏิสัมพันธ์ก่อนหน้าเกือบทั้งหมดมีเพียงหนิวป้าเทียนก่นด่าฝ่ายเดียว
แม้ว่ามีปีศาจมากมายถนัดวิชาประหลาดเช่นกัน แต่การต่อสู้ระหว่างปีศาจส่วนใหญ่คือการปะทะอย่างแข็งกร้าว คล้ายหนิวป้าเทียน ฝึกจนมีอภินิหารกายพรตปีศาจร้ายกาจก็ยังชอบปะทะกลับหนักหน่วง
เห็นชัดว่าทำให้เจ้าภูเขาลู่รู้สึกสะใจกว่าการลงมือกับเหล่าภิกษุครั้งก่อนมาก
“หึๆ ดูท่าทางเจ้าเหมือนไม่เป็นไร แต่แรงขวิดจากเขาวัวของข้าคนแซ่หนิวไม่ใช่สิ่งทานทนง่าย ดูสิว่าเจ้าต้านได้กี่ครั้งเชียว”
ดวงตาหนิวป้าเทียนแดงก่ำลุกโชน ส่งเสียงคำรามทึบหนักเปี่ยมพลัง
เจ้าภูเขาลู่ไม่ได้พุ่งเข้าไปอีกครั้งทันที ต่อให้รู้ว่าแบบนี้อาจทำให้ปีศาจวัวตรงหน้ามีเวลาเพียงพอสำหรับการพักหายใจ เขาเอ่ยถามด้วยเสียงราบเรียบ
“เหตุใดเมื่อครู่ถึงเหวี่ยงข้ากระเด็น ด้วยพลังปีศาจกับอานุภาพอภินิหารของเจ้า ไม่เหมือนว่าจะท่าดีทีเหลว”
ด้านหนึ่งเจ้าวัวหอบหายใจหนักหน่วง ด้านหนึ่งแอบปรับจิตวิญญาณกับปราณปีศาจให้เสถียร แม้ว่าเมื่อครู่ยั้งมือจริง แต่อานุภาพจากการพุ่งขวิดถือว่า ‘ท่าดี’ ไม่นับว่า ‘ทีเหลว’ อย่างมากก็แค่ไม่ได้ระเบิดพลังอย่างสมบูรณ์เท่านั้น
“หึ แค่กลัวเจ้าตายทันที ข้าคนแซ่หนิวยังสู้ไม่สะใจ กว่าจะเจอปีศาจซึ่งต้านกายพรตปีศาจของข้าได้อย่างเจ้าไม่ง่าย ถ้าทำให้เจ้าตายทันที ไม่น่าเสียดายหรอกหรือ มา สู้กันต่อ เจ้าเสือขนหยิก!”
ความคิดเจ้าวัวมีความแยบยลแฝงอยู่ในความหยาบช้าเสมอ ตอนนี้เขาไม่มีทางพูดความจริง หากปีศาจตรงหน้ารู้ว่าตนกลัวเขาชนเมืองลั่วชิ่ง กระทั่งทำให้ชาวบ้านลั่วชิ่งโดนลูกหลงบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ
ถ้าอย่างนั้นไม่แน่ว่าปีศาจตรงหน้าอาจนำสิ่งนี้มาใช้ประโยชน์ทันที เกรงว่าถึงตอนนั้นเมืองลั่วชิ่งคงอันตราย สถานการณ์ซึ่งเดิมยากลำบากของเจ้าวัวคงถูกจำกัดมือเท้ายิ่งกว่าเดิม
ใช่ว่าเจ้าวัวไม่อยากเห็นการตายของชาวบ้านทั่วไป แต่หากเคราะห์ตายเกิดขึ้นเพราะเขา ในใจคงไม่ยินดีนัก
อีกอย่างหนิวป้าเทียนสนิทกับหญิงคณิกาของหอนางโลมเจ็ดแปดแห่งในเมือง หากหญิงสาวซึ่งเรียกเขาว่า ‘พี่หนิว’ ด้วยเสียงหยาดเยิ้มเป็นอะไรไป นั่นยิ่งไม่ใช่สิ่งที่เจ้าวัวอยากเห็น
ได้ยินปีศาจวัวตอบยั่วยุเช่นนี้ เจ้าภูเขาลู่ยิ้มหยันคราหนึ่ง
“ถือว่าให้โอกาสเจ้าพูดแล้ว ไม่สนว่าเจ้าปากแข็งหรือคิดเช่นนี้จริง ข้าคิดเป็นจริงเป็นจัง อภินิหารของเจ้าร้ายกาจจริง แต่ไม่พูดว่าเจ้าใช้ได้กี่ครั้ง ต่อให้สำแดงออกมาอีก เจ้าคิดว่าข้าจะถูกโจมตีอีกครั้งหรือ”
มุมปากเจ้าภูเขาลู่เผยเสียงคำรามเหมือนสัตว์ป่า เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนท้ายยังเกิดเสียงสะท้อนดังอึงอล
หางพยัคฆ์ด้านหลังเผยเสี้ยวเงายามแกว่งไกว ในนั้นมีหางหนึ่งเลือนรางเหมือนแท้เทียมคละผสม
‘มายางอกหาง! ปีศาจเช่นนี้งอกหางได้ด้วย!?’
เมื่อเห็นภาพนี้เจ้าวัวพลันตกใจ ตอกย้ำระดับความตื่นตระหนกอีกครั้ง ถึงอย่างไรเขาเองไม่รู้แจ้งผ่านตาทิพย์เหมือนพระวิทยาราชแห่งสำนักพุทธ แต่ตอนนี้เพิ่งรู้สึกตัวทีหลัง
‘แม่ง บนโลกยังมีปีศาจซึ่งฝึกจนหางงอกเช่นนี้ด้วยหรือ ดีไม่ดีคงถูกฝัง!’
เจ้าวัวไม่รู้ว่าตนสงสัยเช่นนี้มากี่ครั้งแล้ว แม้ว่าตอนนี้หนาวเยือกในใจ แต่อานุภาพของเจ้าวัวกลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปราณปีศาจพวยพุ่งจนกลายเป็นมายาเพลิงปีศาจเช่นกัน ทัดเทียมกับปราณปีศาจของเจ้าภูเขาลู่
ปากเจ้าภูเขาลู่เอ่ยเช่นนี้ ความจริงในใจเดาว่าเมื่อครู่ปีศาจวัวตนนี้คงปกป้องเมืองลั่วชิ่ง แต่เรื่องแบบนี้ไม่อาจเดิมพัน ทั้งไม่อาจให้ปีศาจวัวตรงหน้ารู้ว่าตนเป็นห่วงชาวบ้านลั่วชิ่ง มิฉะนั้นอาจนำสิ่งนี้มาใช้ประโยชน์ ทำให้สถานการณ์พลิกผัน
‘ในเมื่อเจ้าวัวเถื่อนไม่รู้ความเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นต้องอัดก่อนค่อยว่ากัน อย่างมากแค่พยายามไม่ฆ่าเขา’
“โฮก…”
เจ้าภูเขาลู่แผดเสียงคำรามก่อนเหยียบลมลอยขึ้นฟ้า ปีศาจวัวตนนี้มีอภินิหารมากมายซึ่งชำนาญยามอยู่บนพื้นดิน ถ้าอย่างนั้นต้องต่อสู้กับเขาบนฟ้า
หนิวป้าเทียนชำนาญการรบมากเช่นกัน แน่นอนว่ามองความคิดของเจ้าภูเขาลู่ออก เขาไม่มีทางวู่วามลอยขึ้นฟ้า หากแต่ขยับเท้า พุ่งตัวไปทางคฤหาสน์เดิมฉับพลัน เงาร่างกลายเป็นแสงปีศาจพลางเตะหินยักษ์ต้นไม้บนพื้นขึ้นไปไม่หยุด เล็งไปทางปีศาจบนท้องฟ้า
วู้ม… ตูม…
วู้ม… วู้ม…
หินยักษ์กับต้นไม้ซึ่งขว้างไปเปี่ยมพลังปีศาจ แต่ความคล่องแคล่วบนฟ้าของเจ้าภูเขาลู่กลับไม่ด้อยกว่าตอนอยู่บนพื้น กอปรกับสายลมคลั่งยิ่งรุนแรง หินยักษ์ต้นไม้แค่ถูกหางโจมตีก็แตกละเอียดโดยง่าย
มีเศษหินกับต้นไม้ยักษ์กวาดผ่านฟ้าไปทางเมืองลั่วชิ่ง แต่ถูกเทพผีซึ่งตั้งท่ารับมือสำแดงวิชาต้านไว้
อานุภาพของปีศาจบนฟ้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เจ้าภูเขาลู่ลอยตามสายลมคลั่งอยู่ตรงขอบฟ้า ทยอยควบรวมเมฆปีศาจสีเหลืองดำชั้นหนึ่ง กลายเป็นภาพร่างปีศาจของเจ้าภูเขาลู่
“โฮก… โฮก… โฮก…”
ในชั้นเมฆถึงกับมีเสียงคำรามดุดันดังเป็นระลอก หนิวป้าเทียนฟังแล้วยิ่งรู้สึกว่าอยู่บนพื้นแล้วกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำ ไม่รู้ว่าปีศาจตนนี้จะสำแดงอภินิหารวิชาปีศาจอะไร เขาต้องการพุ่งตัวไปบนฟ้าเพื่อต่อยอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้อยู่หลายครั้ง แต่ยังโคจรพลังขว้างของไม่หยุด
สุดท้ายร่างปีศาจของเจ้าภูเขาลู่หายเข้าไปในเมฆปีศาจมหึมา มีเพียงเสียงคำรามยังดังลั่นราวอสนีบาต
สายลมคลั่งยิ่งทวีความรุนแรง คล้ายเจตนาม้วนฝุ่นทรายตลบคลุ้มบนพื้นขึ้นมา ถึงขั้นบดบังสายตาของใครก็ตาม กอปรกับผลจากปราณปีศาจรุนแรงกับลักษณ์ประหลาดแสงธรรมนานัปการ ตอนนี้เจ้าวัวเห็นสถานการณ์บนฟ้าไม่ชัดแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เจ้าวัวยิ่งประหม่า เขาวัวเหนือศีรษะวาบแสงเยียบเย็น พลังปีศาจในกายพลุ่งพล่านไม่หยุด พลังกายพรตปีศาจยกระดับถึงขีดสุด เพ่งสายตาเลือนรางไปบนท้องฟ้าอย่างจดจ่อยิ่ง
เพียงแต่พริบตาต่อมา
ปึง…
เจ้าวัวรู้สึกว่าแผ่นหลังซึ่งเดิมชาหาใดเปรียบถูกโจมตี ยามซวนเซร่างกายพลันไร้น้ำหนัก ทั้งมีกรงเล็บคมกริบตะปบสองแขนเต็มแรง ปากใหญ่มหึมากัดเข้าบ่าคอด้านหลัง
“โฮก…”
กร๊อบ…
ท่ามกลางความเจ็บปวดรุนแรง เจ้าวัวถูกนำตัวขึ้นไปบนฟ้า เมื่อครู่ไม่รู้สึกถึงปราณปีศาจ แต่พอเกิดเรื่องกลับเห็นชัด
“มอ… เจ้าแม่ง… เล่นสกปรก… เจ็บชะมัด เฮือก…”
เจ้าวัวพูดไม่เป็นภาษาแล้ว การต่อสู้ก่อนหน้านี้สิ่งที่คอยระวังที่สุดคือปากมหึมาของปีศาจตนนี้ คิดไม่ถึงว่ายังถูกกัด…
คมเขี้ยวของเจ้าภูเขาลู่น่ากลัวถึงขีดสุด บนนั้นยังมีแก่นพลังเลือนรางระลอกหนึ่งอบอวล คิดทำลายกายพรตปีศาจของหนิวป้าเทียนทีละน้อย
แม้ว่าหนิวป้าเทียนโหวกเหวกลั่นด้วยความตกใจ แต่ความจริงเจ้าภูเขาลู่กัดกายพรตปีศาจแล้วมีเพียงเสียงเสียดสี เสียงดังน่ากลัวแต่กลับไม่เห็นผล กลับกลายเป็นว่าตนรู้สึกเข็ดฟันแทน
แต่ตอนนี้เจ้าวัวถูกกำราบ สองแขนถูกตะปบสองเท้าห่างพื้น ทั้งตัวไม่อาจขยับ บาดแผลก่อนหน้านี้มีเลือดแดงสดหลั่งออกมาไม่หยุด บนพื้นเหมือนมีฝนโลหิตของปีศาจวัวตกลงมา คนธรรมดาอย่างเยี่ยนเฟยเห็นแล้วน่ากลัวผิดธรรมดา
“มอ…”
“พี่หนิว… พี่หนิว… เจ้าภูเขา คนที่ท่านต้องสังหารคือข้า! เยี่ยนเฟยรอรับความตายอยู่ตรงนี้ เจ้าภูเขา…”
เยี่ยนเฟยดิ้นรนลุกขึ้นมา กำหมัดดวงตาแดงก่ำตะโกนไปบนท้องฟ้า แม้ว่าเห็นเพียงท้องฟ้ามืดสลัวพายุโหมกระหน่ำ มองสถานการณ์บนฟ้าไม่ชัด แต่เสียงร้องเจ็บปวดของเจ้าวัวกับฝนโลหิตทั่วฟ้าทำให้เห็นชัดว่าสถานการณ์ยังน่ากลัว
“เจ้าภูเขา… เยี่ยนเฟยยอมรับความตาย ไม่เกี่ยวกับพี่หนิว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่หนิว เยี่ยนเฟยยอมรับความตาย…!”
ต่อให้ใช้ปราณดั้งเดิมกระตุ้นเสียง เสียงนี้ยังถูกกลบอยู่กลางพายุ แต่เยี่ยนเฟยรู้ว่าเจ้าภูเขาลู่ต้องได้ยินแน่
“พอแล้ว! หยุด!”
เสียงของจี้หยวนดังก้องฟ้า กลบมรสุมและเสียงปีศาจทั้งอย่างนั้น
พริบตายามสิ้นเสียง ไม่ว่าหนิวป้าเทียนหรือเจ้าภูเขาลู่ ล้วนรู้สึกว่ากายใจพลันตกสู่สภาพค้างแข็ง เวลายังไหลเคลื่อน แต่ห้วงอากาศกลับถูกผนึก
ปีศาจสองตนฟังออกว่าเสียงนี้คือใคร หนิวป้าเทียนมีความหวังและรู้สึกยินดีเด่นชัด เจ้าภูเขาลู่ได้ยินเสียงจี้หยวนแล้ว ยิ่งไม่กล้าดิ้นรนขัดขืนอภินิหารของอาจารย์
ไม่ว่าหนิวป้าเทียนหรือเจ้าภูเขาลู่ มรรควิถีของปีศาจสองตนนี้ไม่ตื้นเขิน ต่อให้เป็นจี้หยวนในปัจจุบัน ใช้วิชาผนึกร่างทั่วไปคงไม่มีผลกับพวกเขามากนัก ครั้งนี้ถือว่าใช้ปราณโลกาสวรรค์ไปไม่น้อย กระทั่งต้องยืนบนพื้นเพื่อป้องกันตนมึนงง
ช่วยไม่ได้ หวังให้พวกเขาอภัยกันคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าสู้กันต่อย่อมเกิดเรื่องโดยง่าย
สถานการณ์เข่นฆ่าจนตาแดงก่ำเช่นนี้ จี้หยวนไม่มั่นใจว่าเขาตะโกนคราเดียวแล้วจะหยุดทันที ได้แต่ใช้วิชาผนึกร่าง ไม่อาจใช้กระบี่เซียนฟันหรือใช้เพลิงสมาธิเผา ปรามคนโดยไม่ทำร้ายยากกว่าฆ่าคนมากนัก
แต่จี้หยวนรู้ดีว่าปีศาจสองตนนี้ไม่มีทางต่อต้านวิธีการของเขามากเกินไป เจ้าภูเขาลู่ไม่มีทางขัดขืนอาจารย์อย่างเขา ส่วนหนิวป้าเทียนต่อให้คิดขัดขืนก็ไม่มีแรงกำลัง
ตอนนี้การใช้พลังมหาศาลกับปราณโลกาสวรรค์ ไม่ได้ทำให้จี้หยวนรู้สึกตาลายนัก แค่รู้สึกว่าพลังมาเร็วไปเร็วอยู่บ้าง
ปีศาจยักษ์สองตนซึ่งห้ำหั่นกันถูกผนึกอย่างประหลาดพร้อมเสียง ‘หยุด’ เมื่อไม่มีพลังปีศาจของเจ้าภูเขาลู่คอยค้ำจุน พายุสงบลงช้าๆ เหลือเพียงเศษฝุ่นกับหินละเอียดบนฟ้าราวฝนตก
ความสงบของพายุและการสลายของปราณปีศาจ ทำให้การมองเห็นเพิ่มขึ้นทีละน้อย ในสายตาเยี่ยนเฟยกับเทพผีอย่างเทพหลักเมืองลั่วชิ่ง ปีศาจสองตนบนฟ้าคลายสภาพหยุดนิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ก่อนตกลงมาช้าๆ
ต่อให้ร่วงลงพื้นอย่างแผ่วเบา แต่ยังคงสภาพแน่นิ่งไม่ไหวติง
คุณชายชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายสองปีศาจ สีหน้าเคร่งขรึมถึงขั้นมองพวกเขาอย่างโมโหเล็กน้อย
“วันนี้พอแค่นี้ ห้ามลงมืออีก พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”
เมื่อกล่าวประโยคนี้อย่างแผ่วเบาจบ จี้หยวนขับเคลื่อนจิตรับรู้ ถอนวิชาผนึกร่างซึ่งใช้พลังมหาศาลครั้งนี้
พริบตาต่อมาเจ้าภูเขาลู่และหนิวป้าเทียนต่างรู้สึกว่าร่างกายฟื้นคืนการรับรู้และการเคลื่อนไหวกลับมาใหม่อีกครั้ง ฝ่ายแรกตื่นตระหนกอยู่บ้าง ฝ่ายหลังกลับรู้สึกปลอดภัยอย่างเด่นชัด