เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 372 ตัวอักษรวิ่งหนีได้ด้วย
ตอนที่ 372 ตัวอักษรวิ่งหนีได้ด้วย
ตอนนี้หนิวป้าเทียนวางใจแล้ว แม้ว่าปีศาจตนนี้ร้ายกาจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านจี้ย่อมสร้างคลื่นกระทบอะไรไม่ได้แน่
ในใจเจ้าภูเขาลู่นอกจากตื่นตระหนกแล้ว ขณะเดียวกันยังเข้าใจว่าอาจารย์ของตนไม่อยากเห็นปีศาจวัวเกิดเรื่องแน่ ทั้งเข้าใจชั่วพริบตาว่าก่อนหน้านี้ปีศาจวัวคงยั้งมือเพราะเมืองลั่วชิ่ง
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้หยวน ร่างปีศาจของเจ้าภูเขาลู่หดเล็กลง รีบกลายร่างเป็นคน จากนั้นค่อยก้มหน้าโค้งคารวะ
“ไม่กล้าฝ่าฝืนเจตจำนงของท่าน!”
หนิวป้าเทียนนั่งหอบอยู่บนพื้น มองเจ้าภูเขาลู่ซึ่งเปลี่ยนเป็นคนตัวเล็กอยู่ข้างเท้า กล่าวกับจี้หยวนด้วยเสียงทึบหนัก
“ท่านจี้ ท่านต้องมานานแล้วแน่ ท่านออกมาเร็วหน่อยคงจบเรื่องแล้ว ทำเอาข้าคนแซ่หนิวทนทุกข์…”
หนิวป้าเทียนบ่นก่อนเก็บกายพรตปีศาจ กลับสู่ร่างคนอีกครั้ง แค่เสื้อผ้าต่างจากเจ้าภูเขาลู่ยามกลับคืนสู่ร่างคน หนิวป้าเทียนเหลือเพียงเศษผ้าติดตัว
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเขาคงปล่อยตัวตามสบาย แต่ต่อหน้าท่านจี้ย่อมต้องสำรวมบ้าง เขาใช้มือบดบังส่วนสำคัญไว้
เมื่อครู่เห็นชัดว่าเลือดไหลมากขนาดนั้น บาดแผลควรใหญ่มากถึงจะถูก แต่ความจริงดูเหมือนบาดแผลสาหัสที่สุดของหนิวป้าเทียนคือรอยกรงเล็บหลายสายบนแขนตอนแรก ส่วนตำแหน่งอื่นบนตัวอย่างแผ่นหลังหรือบ่ากลับมีกล้ามเนื้อมากจนผสานรอยเลือดไว้ บาดแผลจึงไม่ใหญ่นัก
สถานการณ์นี้ทำให้จี้หยวนอึ้งงันเล็กน้อย อาการบาดเจ็บเบากว่าที่เขาคิดอยู่บ้าง เมื่อได้ยินคำบ่นของหนิวป้าเทียน เขาส่ายศีรษะพลางกล่าว
“จริงอยู่ว่าข้าคนแซ่จี้มานานแล้ว แต่อย่าพูดว่าข้าไม่ยอมขวาง ขอเพียงปากเจ้ายอมหยุดชั่วขณะ การวางมวยนี้คงไม่สู้กันจนเป็นแบบนี้ ถึงขั้นว่าไม่ต้องต่อสู้กัน ทำให้เจ้าหลาบจำบ้างก็ดี”
หนิวป้าเทียนเบิกตากว้าง มองจี้หยวนก่อนหันมองเจ้าภูเขาลู่ที่อยู่ด้านข้างซึ่งยังก้มหน้าค้อมตัว รักษาท่าทางคารวะ ทั้งไม่กล้าหอบหายใจ
“เขาน่ะหรือ ถ้าข้าคนแซ่หนิวไม่เผยอานุภาพกำราบ เขาไม่พุ่งขย้ำทันทีหรือ”
เจ้าภูเขาลู่ไม่กล้าหยัดร่างหรือหันหน้า แต่เมื่อฟังคำพูดนี้เขาเหล่มองหนิวป้าเทียน สูดหายใจลึกแต่ยังไม่เอ่ยปาก
หนิวป้าเทียนเห็นเจ้าภูเขาลู่เป็นเช่นนี้ ปากพึมพำประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้
“แม้แต่หอบหายใจยังไม่กล้า สุดท้ายกำปั้นแข็งกว่าย่อมเป็นลูกพี่”
เจ้าภูเขาลู่ถอนสายตาซึ่งเหล่มองกลับมาไม่สนเขาอีก
ตอนนี้เยี่ยนเฟยพุ่งโฉบมาแต่ไกล ไม่นานก็เข้าใกล้ก่อนหยุดชะงัก ประสานมือคารวะจี้หยวนแล้วเดินไปข้างกายหนิวป้าเทียนเพื่อดูว่าบาดแผลเขาเป็นอย่างไรทันที จากนั้นค่อยถอดชุดคลุมบนตัวให้เขา
“พี่หนิว ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“ข้ามีหรือจะเป็นอะไร ข้าคนแซ่หนิวหนังเหนียว อย่าเห็นว่าเลือดสาดมากขนาดนี้ แต่ร่างจริงของข้าสูงถึงสามจั้งเชียว ไม่แพ้เรือประดับลำหนึ่ง ทั้งไม่ใช่เลือดพิสุทธิ์ดั้งเดิม เลือดธรรมดาไม่นานย่อมฟื้นคืนกลับมา อ๊ะ น้องชายประคองข้าหน่อย ลุกไม่ขึ้น…”
เดิมเจ้าวัวคิดลุกขึ้นอย่างสง่างาม แต่กลับเข่าอ่อนอย่างจนปัญญา
เยี่ยนเฟยได้ยินแล้วรีบยื่นมือประคอง เรื่องแรกที่เจ้าวัวทำหลังจากลุกขึ้นมาคือใช้เสื้อผ้าของเยี่ยนเฟยผูกเป็นกางเกงชั้นในพันครึ่งท่อนล่าง
จี้หยวนถอนหายใจ สายตามองไปทางเจ้าภูเขาลู่ซึ่งรักษาท่าทางค้อมตัวตลอด
“ทำไมไม่พูด”
“ท่านกล่าวตำหนิ ไม่กล้าแก้ตัว!”
“เงยหน้าพูด”
เจ้าภูเขาลู่ได้ยินดังนี้ค่อยกล้ายืนตัวตรงมองจี้หยวน
“เมื่อครู่ตอนกัดหนิวป้าเทียนคิดลงมือฆ่าหรือ”
จี้หยวนเจตนากล่าวถามเช่นนี้ ความจริงจากการรับรู้ผ่านตาทิพย์ของเขา ก่อนหน้านี้ปีศาจสองตนต่อสู้กันรุนแรงจริงๆ แต่ครึ่งแรกผลัดกันตอบโต้ อย่างมากแค่สู้จนเหน็ดเหนื่อยหรือร้อนรุ่ม
แต่การโจมตีสุดท้ายของเจ้าภูเขาลู่ ทำให้จี้หยวนรู้สึกว่าเขาเดือดดาลแล้ว ตอนแรกเขามองวิธีการของปีศาจสองตน ถึงอย่างไรการปะทะของปีศาจซึ่งต่างมีอภินิหารไม่ธรรมดากับพลังปราณไม่ตื้นเขินเช่นนี้ถือว่าหายาก ทั้งทำให้เจ้าวัวเถื่อนเสียเปรียบและหลาบจำบ้าง
ปัจจุบันต่อสู้กันถึงขั้นนี้ ผู้ควรได้รับบทเรียนก็ได้รับบทเรียนแล้ว ผู้ควรเข้าใจว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าก็เปิดประสบการณ์แล้ว จี้หยวนนั่งไม่ติดอีก ปรากฏตัวขวางทันที
“เรียนท่านจี้ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น วัวเถื่อนตัวนี้อภินิหารไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้แม้ว่าข้าทยอยทำร้ายเขา แต่ความจริงไม่ได้ทำลายแก่นแท้เขา ทั้งไม่อาจทำให้เขายอมแพ้ ข้าพยายามทุกวิถีทางแต่ทำลายกายพรตปีศาจเขาไม่ได้ จำต้องใช้กลลวง คิดลองใช้เขี้ยวทำลายกายพรตเขา!”
เจ้าภูเขาลู่พูดอย่างนอบน้อม มีระเบียบชัดเจน พูดจบแล้วกล่าวเสริมประโยคหนึ่ง
“ก่อนหน้านี้เขาใช้เขาวัวขวิดข้า แต่เปลี่ยนการเคลื่อนไหวยามอยู่นอกเมืองลั่วชิ่ง ข้าเห็นอยู่ในสายตา หากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้พูดว่าตนเป็นปีศาจซึ่งกินคนแล้วไม่ใส่ใจ ข้าคงไม่มีทางลงมือ!”
คำพูดก่อนหน้าเจ้าวัวฟังแล้วยังนั่งติด แต่เมื่อได้ยินคำพูดหลัง เจ้าวัวบันดาลโทสะทันที
“แม่งพูดจาเหลวไหล ข้าคนแซ่หนิวเคยกินคนโดยไม่สนใจเมื่อไหร่ ใครพูดถือเป็นไอ้ขี้แพ้… เอ่อ…”
เจ้าวัวพลันหยุดด่าเหมือนรั้งม้าริมหน้าผา ตอนนี้เขานึกขึ้นมาได้ว่าจุดเปลี่ยนท่าทางของเจ้าภูเขาลู่ก่อนหน้านี้เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“เอ่อ ดูเหมือนข้าคนแซ่หนิว… เคยพูดแบบนั้นจริง…”
“หึ!”
เจ้าภูเขาลู่แค่นเสียงคราหนึ่ง แต่รู้ตัวว่าทำผิดจึงไม่พูดอะไรมาก สายตากวาดมองเยี่ยนเฟย
แม้ว่าเจ้าวัวเถื่อนตัวนี้ปากไม่มีหูรูด แต่กลับไม่ใช่ปีศาจเลวร้าย ก่อนหน้านี้เยี่ยนเฟยกับเจ้าวัวถูกเจ้าภูเขาลู่เหมารวมว่าเป็นพวกสมคบกันทำชั่ว ตอนนี้กลับเกิดความรู้สึกแตกต่าง ทำให้เจ้าภูเขาลู่ประเมินเขาสูงขึ้นไม่น้อย
ตอนนี้จี้หยวนมองเยี่ยนเฟยพลางเอ่ยถาม
“เหตุใดไม่นำเทียบเจตกระบี่ออกมา”
เจตนาเดิมที่จี้หยวนมอบเทียบเจตกระบี่ไว้ไม่ใช่เพื่อปล่อยให้เยี่ยนเฟยแก้ตัว แต่ด้วยสถานการณ์เมื่อครู่หากนำออกมา ต่อหน้าเจ้าภูเขาลู่ย่อมมีผล คิดไม่ถึงว่าเยี่ยนเฟยกลับอึ้งงันจนตอนท้ายแล้วยังไม่เอ่ยถึง
คำถามนี้ทำให้เยี่ยนเฟยอึ้งงัน ทั้งดึงดูดความสนใจหนิวป้าเทียนกับเจ้าภูเขาลู่ไปทางเยี่ยนเฟย เจ้าภูเขาลู่ยิ่งแปลกใจ
‘เทียบเจตกระบี่อยู่ในมือเขาหรือ’
จากมุมมองของเจ้าภูเขาลู่ วาสนาของตนกับอาจารย์เริ่มต้นจากอารามเทพภูเขา แต่นั่นยังไม่อาจเรียกว่าเป็นวาสนาระหว่างศิษย์กับอาจารย์ ประสบผลสำเร็จเช่นตอนนี้ได้ ด้วยผลงานของเทียบเจตกระบี่ทั้งสิ้น
เยี่ยนเฟยเอ่ยตอบโดยไม่อธิบาย หลังจากกล่าวว่า ‘ท่านจี้โปรดรอสักครู่’ เขารีบกลับไปยังคฤหาสน์เล็กก่อนหน้านี้ ค้นหาตรงซากปรักหักพังแถวห้องนอนตนครู่หนึ่ง กระทั่งพบม้วนกระดาษภายในตู้ทรุดถล่ม จากนั้นค่อยรีบกลับไป
จี้หยวนมองเทพผีซึ่งไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเหนือกำแพงเมืองลั่วชิ่ง หลังจากประสานมือเล็กน้อย เขาพาเจ้าภูเขาลู่กับหนิวป้าเทียนเดินไปทางคฤหาสน์เล็ก ระหว่างทางเจอเยี่ยนเฟยซึ่งรีบวิ่งมาพอดี
“ท่านจี้โปรดดู!”
เยี่ยนเฟยหยุดเท้า คลายม้วนกระดาษต่อหน้าจี้หยวนช้าๆ
“หืม!?”
จี้หยวนตกตะลึงเล็กน้อย เจ้าภูเขาลู่ขมวดคิ้วเช่นกัน มีแค่หนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟยซึ่งเดิมทราบเรื่องค่อนข้างนิ่งเฉย
กระดาษแผ่นนี้เคยเป็นเทียบเจตกระบี่ แต่มีเพียงกระดาษซีดจางเล็กน้อย ตัวอักษรกลับไม่มี เหลือแค่ความว่างเปล่า
จี้หยวนยื่นมือรับเทียบอักษรมา พิจารณาโดยละเอียดครู่หนึ่ง แน่ใจว่าไม่ใช่ตำราบันทึกสวรรค์ อีกอย่างตำราบันทึกสวรรค์เขาควรมองเห็นถึงจะถูก
“ตัวอักษรเล่า”
เยี่ยนเฟยกล่าวอย่างนอบน้อม
“เรียนท่านจี้ ตอนนั้นท่านถ่ายทอดเจตเทพบนม้วนอักษร เยี่ยนเฟยนำมาศึกษาสองสามครั้ง หลังจากนั้นราวครึ่งปีข้าคนแซ่เยี่ยนหลับฝัน ฝันเห็นตัวอักษรบนเทียบอักษรลอยออกจากม้วนอักษรเอง วันต่อมาหลังจากตื่นขึ้น ผลคือเทียบอักษรไม่มีตัวอักษรแล้ว แม้แต่พี่หนิวยังหาเหตุผลไม่ได้ ภายหลังจึงผนึกเทียบอักษรเก็บไว้ตลอด…”
เมื่อเล่าการเปลี่ยนแปลงของเทียบเจตกระบี่จบ เยี่ยนเฟยกล่าวอธิบายเล็กน้อย
“ตัวอักษรบนเทียบหลบหนี เจตเทพหายไป สถานการณ์เร่งด่วนเมื่อครู่ข้าคนแซ่เยี่ยนจึงหาเทียบอักษรออกมาก่อนคฤหาสน์ถูกทำลายไม่ทัน ต่อให้นำออกมาก็เป็นกระดาษเก่าธรรมดาม้วนหนึ่ง เจ้าภูเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านมอบให้…”
เพื่อป้องกันการมาเยือนของปีศาจเสือ แน่นอนว่าเจ้าวัวนึกถึงของที่ท่านจี้เหลือไว้ ทั้งเคยบอกเยี่ยนเฟย ภายหลังตัวอักษรหายไป เจ้าวัวจึงตัดใจจากความคิดนี้ ครั้งนี้ต่อให้พูดไปก็เปล่าประโยชน์
เยี่ยนเฟยเล่าเรื่องพวกนี้จบ เขาค่อยมอบม้วนอักษรให้จี้หยวนด้วยสองมือ
เดิมจี้หยวนคิดว่าแค่ตัวอักษร ‘เทียบเจตกระบี่’ คงพอทำให้เจ้าภูเขาลู่วางมือ แต่เมื่อนึกดูเยี่ยนเฟยไม่รู้ว่าเจ้าภูเขาลู่เป็นคนมอบเทียบเจตกระบี่ให้ ได้แต่กลืนคำพูดติดปากกลับไป จดจ่อกับม้วนกระดาษในมือ
จี้หยวนมองกระดาษซีดจางในมือ ตอนมีตัวอักษรสีกระดาษยังไม่เข้มขนาดนี้ ปัจจุบันกลับเปี่ยมความรู้สึกว่าเป็นกระดาษเก่าซึ่งเก็บไว้นานปี คิดว่าเกี่ยวข้องกับการที่ตัวอักษรหายไปอยู่บ้าง
“ตำราบันทึกสวรรค์ถือว่าอัศจรรย์พอแล้ว คิดไม่ถึงว่าตัวอักษรวิ่งหนีได้ด้วย”
ตอนนี้จี้หยวนแค่ฟัง ‘ความฝัน’ ของเยี่ยนเฟย แม้รู้ว่าเยี่ยนเฟยไม่มีทางหลอกตน แต่ยังไม่เชื่อว่าตัวอักษรวิ่งหนีเองได้ ตอนนี้เขาถือม้วนกระดาษพลางนับนิ้วทำนายเล็กน้อย ถึงขั้นรู้สึกถึงการเชื่อมโยงห่างไกล แต่กลับคลุมเครือเลือนราง
‘หากนักพรตชิงซงอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจทำนายอะไรได้’
พูดถึงความสามารถด้านการทำนาย แม้ว่านักพรตชิงซงไม่อาจเทียบกับผู้ฝึกปราณชั้นสูงมากมาย แต่การทำนายเรื่องภายในขอบเขตความสามารบางอย่างกลับละเอียดอ่อนมาก
มาถึงขั้นนี้เจ้าภูเขาลู่มีหรือจะมองอะไรไม่ออก ประสานมือไปทางเยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียน
“ที่แท้ท่านจี้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ล่วงเกินแล้ว!”
หนิวป้าเทียนแค่นเสียงพลางเพิ่งคิดเอ่ยวาจา แต่จี้หยวนเอ่ยปากก่อน
“ไม่เชิงนัก เรื่องเยี่ยนเฟยเจ้าภูเขาลู่ตัดสินเถอะ หากทำตัวถูกมีเหตุผลย่อมไม่ต้องให้ข้าช่วย หากกระทำผิดประพฤติตัวแย่เหตุใดต้องช่วยเล่า เจ้าภูเขาคิดว่าอย่างไร”
“ท่านกล่าวถูกต้องยิ่ง!”
หนิวป้าเทียนบุ้ยปากเล็กน้อย สุดท้ายยังไม่เอะอะโวยวาย ถึงอย่างไรเขาก็รู้ว่าคุยกันรู้เรื่องแล้ว กอปรกับท่านจี้อยู่ที่นี่ วันนี้เยี่ยนเฟยคงไม่ตายแล้ว
เซียนคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง ปากบอกว่า ‘ข้าไม่มีอิทธิพลกับเจ้า’ ไม่ส่งผลกระทบจริงหรือ แน่นอนว่าไม่มีทาง
เจ้าภูเขาลู่มองเจ้าวัว ก่อนเอ่ยถามกะทันหัน
“กายพรตปีศาจของเจ้าร้ายกาจอยู่บ้างจริงๆ แม้แต่เมื่อครู่ยังไม่พังทลาย…”
ตอนนี้แรงเจ้าวัวฟื้นคืนกลับมามากแล้ว เขาแสยะยิ้มเล็กน้อย
“หึๆ ยังห่างไกลอยู่มาก! เฮือก… ไม่ถูกสิ การต่อสู้เมื่อครู่…”
มุมปากจี้หยวน.ยกขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดเจ้าภูเขาลู่ก็ยิ้มแล้ว
“ได้สติแล้วหรือ หึๆ พูดถึงการปะทะมรรควิถีอย่างเดียว ข้าคนแซ่ลู่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่ข้าคนแซ่ลู่ถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูกแล้วมีอภินิหารพรสวรรค์อย่างหนึ่ง ข้าตั้งชื่อว่า ‘สยบจิต’ คำนวณดูแล้วเหมือนพลังอานุภาพของพวกมังกรอยู่บ้าง แต่พิเศษกว่า ตอนเจ้าสู้กับข้าถือว่าติดกับแล้ว สิ้นเปลืองพลังมากมายไปผิดทิศทาง รู้สึกลนลานและหวาดกลัวใช่หรือไม่”
“เจ้าแม่ง…!”
เจ้าวัวกรุ่นโกรธอยู่บ้าง แต่กลับไม่อาจลงมือต่อยคนได้อีก