เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 375 ทำนายอักษร
ตอนที่ 375 ทำนายอักษร
ปีศาจอย่างหนิวป้าเทียน แน่นอนว่าจี้หยวนย่อมสนใจ แต่เขารู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้ของเจ้าวัวเถื่อนไม่เลวจริงๆ แม้ว่าดูเหมือนไม่เอาถ่าน แต่สามารถฝึกจนมีความสามารถติดตัวเช่นนี้ ย่อมไม่ขาดพรสวรรค์กับความหมั่นเพียรแน่
สิ่งที่เรียกว่าเซียนนำทางเป็นแค่ความคิดของเจ้าวัว ความจริงเขาไม่ได้รู้สึกว่าถึงจุดคอขวดอะไร ทั้งไม่มีปมในใจด้วย สงบใจฝึกตนใช้ชีวิตอย่างสบายใจก็ดี มีเงินหน่อยค่อยไปเที่ยวถนนเริงรมย์ก็เบิกบาน ปีศาจเช่นนี้จี้หยวนไม่อาจพูดว่าเขาสามารถชี้แนะอะไรได้
ปีจอธาตุดินกลางฤดูร้อน งานชุมนุมเซียนพเนจรที่เขาเก้ายอดจวนเซียนแห่งทวีปนิรันดร์แดนเหนือจัด จี้หยวนต้องไปแน่ แต่ไปอย่างไรคือปัญหา
ไม่คุ้นทางคือเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือถ้าไปเพียงลำพัง บางทีอาจเก้กังหรือไม่เข้าใจบางสิ่ง วิธีการที่ปลอดภัยคือนั่งยานข้ามแดนเหมาะสมกว่า ทั้งไปพร้อมกับคนคุ้นเคยด้วย
เรื่องนี้จี้หยวนพิจารณามาดีแล้ว สามารถไปพร้อมกับคนของเขาล้อมหยกได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาล้อมหยกก็มีรากฐาน ไม่ใช่สำนักเล็กพรรคน้อยทั่วไป ไม่ถึงขั้นไปงานชุมนุมเซียนเหินไม่ได้
ทั้งจี้หยวนประมาณการว่ายังมีเวลาอีกหลายปี เขาล้อมหยกไม่มีทางออกเดินทางไปตอนนี้ ต่อให้ทวีปนิรันดร์แดนเหนือไกลแค่ไหน นั่งยานข้ามแดนสองสามเดือนย่อมไปถึง
ตอนนี้จี้หยวนต้องกลับไปต้าเจินก่อน ไปหานักพรตชิงซงบนเขาเมฆาแห่งรัฐปิง ลองให้เขาช่วยทำนายว่าตัวอักษรบนเทียบเจตกระบี่ไปอยู่ไหนสักหน่อย ทั้งถือโอกาสดูสถานการณ์ปัจจุบันของฉินจื่อโจวด้วย
…
เขาเมฆาแห่งรัฐปิงยังเป็นภูเขาเลื่องชื่อด้านทิวทัศน์ทะเลหมอกของอำเภอตงเยวี่ย แน่นอนว่ามีชื่อเสียงแค่บริเวณจังหวัดใกล้เคียง สถานที่อื่นมีภูเขาไม่น้อยกว่ารัฐปิง
รัฐปิงตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางต้าเจิน กอปรกับเป็นพื้นที่ราบใหญ่ แม้ว่าไม่หนาวเหมือนทางเหนือ แต่การเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิฉับไว ตอนนี้อากาศเข้าฤดูใบไม้ร่วง สถานที่อื่นคงร้อนอบอ้าวไม่ด้อยกว่ากลางฤดูร้อน แต่รัฐปิงเย็นสบายแล้ว ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูกาลซึ่งสบายที่สุดของรัฐปิง
เช้าตรู่วันนี้เขาเมฆายังหมอกลง ฉินจื่อโจวตื่นมารำหมัดเสริมสร้างร่างกายซึ่งตกทอดมาของอารามเขาเมฆากลางลาน
ตอนนี้ฉินจื่อโจวผมคิ้วขาวโพลนแต่รูปร่างเปลี่ยนไป แม้ว่าแตกต่างจากตอนมีชีวิตราวกับเป็นคนละคน แต่สุดท้ายก็ยังเป็นฉินจื่อโจวคนเดิม แม้ว่าปัจจุบันกายเทพหยางปราศจากโรคภัย แต่เขากลับสนใจหมัดเสริมสร้างร่างกายกระบวนนี้นัก ถึงขั้นรู้สึกว่ามีหนทางยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ภายใน
ตัวอย่างเช่นนักพรตชิงซง เจ้าอารามเขาเมฆารอดมาถึงตอนนี้ ขาดวิชาหมัดเสริมสร้างร่างกายไม่ได้จริงๆ
ตอนนี้ฟ้าเพิ่งมีแสงสลัว นักพรตชิงซงยังหลับสนิท ฉีเหวินกลับเปิดประตูออกมาด้วยปวดปัสสาวะ เมื่อเห็นฉินจื่อโจวกำลังรำหมัด เขากล่าวประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้
“ท่านปู่ฉินขยันขันแข็งจริง”
“หึๆ อรุณสวัสดิ์นักพรตน้อยชิงยวน”
ฉินจื่อโจวกล่าวตอบ การเคลื่อนไหวของมือกลับไม่หยุด
เมื่อเป็นผู้ใหญ่อารามเขาเมฆาค่อยมอบฉายามรรค ชิงยวนคือฉายามรรคปัจจุบันของฉีเหวิน ส่วนฉินจื่อโจวยังคงเป็นฉินจื่อโจวตามเดิม ถึงอย่างไรต่อให้มอบความกล้ากับนักพรตชิงซงร้อยเท่า เขาก็ไม่กล้ารับผู้เฒ่าฉินเป็นศิษย์ ดังนั้นแค่ฝากนามกับอารามเขาเมฆา
พูดตามตรงว่าเรื่องนี้ทำให้ฉีเหวินเป่าปากโล่งอก ถึงอย่างไรหากอาจารย์ของตนยอมรับผู้อาวุโสคนนี้เป็นศิษย์จริง หากยึดตามหลักการว่าผู้มาก่อนคือศิษย์พี่ เขาไม่ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์น้องฉินหรือ
เมื่อฉีเหวินรีบวิ่งไปห้องน้ำ ฉินจื่อโจวซึ่งเดิมยังรำหมัดพลันเปลี่ยนสีหน้า เก็บกระบวนท่าหมัดก่อนพุ่งตัวเหินทะยาน พลังดาราบนตัวชักนำปราณวิญญาณเหาะเหินขึ้นไป
รอฉีเหวินเสร็จธุระกลับมา เมื่อพบว่าฉินจื่อโจวไม่อยู่ในลานแล้ว เขาประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้กลับห้องหลับต่อหรือไปทำอะไร
ตอนนี้บนยอดเขาหมอกอำพราง ฉินจื่อโจวโรยตัวลงบนยอดเขา ดูคนชุดขาวซึ่งกำลังยืนมองทะเลหมอกบนก้อนหิน เมื่อแน่ใจว่าไร้ข้อผิดพลาดเขารีบประสานมือคารวะ
“คารวะท่านจี้!”
จี้หยวนดึงสติกลับมา หันหลังมาคารวะตอบ
“ท่านฉิน คุ้นเคยกับอารามเขาเมฆาหรือยัง”
“ฮ่าๆ มีหรือจะไม่คุ้นเคย ชาติก่อนยุ่งตลอดชีวิต ตอนนี้ใช้ชีวิตผ่อนคลาย ฝึกปราณเก็บพลังดารา สบายนัก”
จี้หยวนยิ้มแล้ว
“ข้าคนแซ่จี้คิดว่าท่านจะวางมือไม่ได้ ลงเขาไปรักษาโรคช่วยคนบ่อยเกินไป”
แน่นอนว่าการรักษาโรคช่วยคนเป็นเรื่องดี จี้หยวนไม่มีทางคัดค้าน แต่ฉินจื่อโจวมีหวังว่าจะเป็นเทพท่องโลกในอนาคต แน่นอนว่าการฝึกปราณย่อมสำคัญกว่าบ้าง การรักษาโรคช่วยหนึ่งถึงร้อยคน การฝึกปราณอนาคตย่อมช่วยคนนับไม่ถ้วน เมื่อเห็นฉินจื่อโจวเป็นเช่นนี้เขายิ่งวางใจลงเล็กน้อย
“ข้าคนแซ่ฉินเข้าใจหลักการ แน่นอนว่าไม่มีทางทำให้ความเหนื่อยยากของท่านกับจ้าวมังกรสูญเปล่า อารามเขาเมฆาไม่ขาดคนป่วย แค่อาการป่วยซ้ำซากเท่านั้น”
ฉินจื่อโจวพูดเหมือนมีเค้าเรื่องจริง ทำให้จี้หยวนอึ้งงันเล็กน้อย หรือว่าชื่อเสียงของฉินจื่อโจวแพร่หลายไปถึงเชิงเขา ทำให้มีคนขึ้นเขามาดูอาการ
“คนป่วยอาการซ้ำซาก?”
ได้ยินคำถามของจี้หยวน ฉินจื่อโจวยิ้มเล็กน้อย
“อืม เก็บโอสถสมุนไพรมาทำยาทา โรคที่รักษามากสุดคืออาการบาดเจ็บฟกช้ำ”
อ้อ จี้หยวนเข้าใจแล้ว เขายิ้มอย่างอดไม่ได้
“ดูท่าว่าท่านฉินอยู่ที่นี่แล้วไม่เลวจริงๆ รู้จักล้อเล่นแล้ว”
ฉินจื่อโจวในภาพจำเมื่อก่อนเป็นคนไม่มีรอยยิ้ม อย่างน้อยจากการพบกันอย่างจำกัดสองสามครั้งเขาไม่ใช่คนชอบยิ้ม ตอนนี้กลับล้อเล่นเป็นบ้างแล้ว
“นักพรตชิงซงกับฉีเหวินตื่นหรือยัง”
“ยังไม่ตื่น แต่ใกล้แล้ว อีกครึ่งชั่วยามกระมัง”
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย
“ได้ ถ้าอย่างนั้นรอพวกเขาตื่นแล้วข้าค่อยลงไป ตอนนี้ชื่นชมทะเลหมอกบนเขาเมฆากับท่านฉินก่อนแล้วกัน”
สายลมเย็นโชยอ่อนพัดแขนเสื้อหลังจี้หยวนจนโบกไหว ฉินจื่อโจวเดินเข้าใกล้สองสามก้าว ร่วมพิจารณาทะเลหมอก
คนหนึ่งท่าทางผ่อนคลายพร่าเลือนดั่งเซียน คนหนึ่งเครายาวคิ้วขาวคล้ายเซียนชรา ถ้ามีคนทั่วไปขึ้นเขามาเห็นภาพนี้ ไม่แน่ว่าอาจรู้สึกยำเกรงจนร้องเสียงดังว่าท่านเซียน
“ท่านฉินน่าจะไม่เคยเห็นมหาสมุทรกระมัง”
“อืม ไม่เคยเห็น”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจจี้หยวนนึกถึงเสียงร้องพิเศษกับแสงแดงตรงขอบฟ้าบนทะเลก่อนหน้านี้
“มีโอกาสท่องภูผาธาราจตุสมุทร ฟ้าดินกว้างใหญ่ เหนือความคิดคนทั่วไป หากท่านฉินสำเร็จเป็นเทพท่องโลกจริง…”
จี้หยวนเงยหน้ามองท้องฟ้า แม้ว่าตอนนี้ไม่เห็นดวงดาวแล้ว แต่เพียงถูกแสงแดดบดบัง ความจริงยังคงอยู่ตรงนั้น
“หากมีวันนั้นจริง ข้าคนแซ่จี้รบกวนท่านฉินช่วยดูว่ามีเขตแดนฟ้าดินหรือไม่ ลองท่องไปดูนอกฟ้าดาราได้”
ฉินจื่อโจวเงยหน้ามองฟ้าตามจิตใต้สำนึก
“หากมีวันนั้นจริง ข้าคนแซ่ฉินย่อมทำตาม… ท่านจี้ ที่นั่นมีอะไรหรือ”
ท่านจี้ไม่มีทางกล่าวเช่นนี้โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แม้ว่าฉินจื่อโจวเคยเจอผู้ฝึกปราณไม่มาก แต่มุมมองยกระดับตั้งแต่เริ่ม ถึงอย่างไรการเจอเทพหลักเมืองถือเป็นเรื่องรอง เขายังเคยเจอสองเทพแม่น้ำกับเจินหลง พลังปราณท่านจี้ต้องสูงมากแน่ ทำให้ท่านจี้กล่าวเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าต้องมีความนัย
แต่จี้หยวนไม่ได้ตอบอะไร
“ข้าคนแซ่จี้เองก็ไม่ทราบ!”
แสงอรุณยิ่งเจิดจ้า ทะเลหมอกยิ่งสลาย ไม่นานสองศิษย์อาจารย์แห่งอารามเขาเมฆาตื่นแล้ว จี้หยวนกับฉินจื่อโจวลงมาจากยอดเขา ไม่ได้รีบเข้าไปทักทายฉีเซวียนกับฉีเหวินในอารามเต๋า หากแต่ซ่อนตัวกลางอากาศมองลงมานอกอาราม
จริงดังคาด ผ่านไปไม่นานเตียวน้อยสองตัวมาถึงนอกอารามเขาเมฆาเงียบๆ ไต่กองฟืนติดห้องครัวภายนอกเรือน ปีนกำแพงอารามเขาเมฆา จากนั้นค่อยวิ่งเลียบกำแพงเรือนมาถึงจุดอับด้านหลังโถงใหญ่ก่อนกระโดดเข้าอาราม
ไม่นานยามนักพรตชิงซงกับฉีเหวินรำหมัดอยู่กลางลานอารามเต๋าพร้อมกัน พังพอนน้อยสองตัวจะหลบอยู่ด้านหลังโถงโหญ่คอยแอบมอง
ฉินจื่อโจวยิ้มพลางชี้ไปตรงนั้น ก่อนกล่าวกับจี้หยวน
“มาทุกวัน ล้วนเป็นเวลานี้ บางครั้งยังแอบนำของขวัญมาวางตรงห้องครัวด้วย”
“หืม? ของขวัญอะไรหรือ”
จี้หยวนสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา
“ฮ่าๆ ข้าขอนึกก่อน อืม บางครั้งเป็นงูถูกกัดตาย บางครั้งเป็นปลาน้อยปูน้อยในลำธาร ทั้งมีหนูภูเขากับกบถูกกัดตาย พวกหนอนแมลงยิ่งไม่น้อย น้อยครั้งจะมีผลไม้เล็กๆ…”
“ฮ่าๆๆๆๆ… ของขวัญดีๆ!”
จี้หยวนสามารถพูดอะไรได้ นอกจากรู้สึกขบขัน ยังรู้สึกว่าน่ารักอยู่บ้าง แน่นอนว่าฉีเหวินที่รับ ‘ของขวัญ’ คงไม่ดีใจนัก ถึงอย่างไรการเก็บกวาดห้องครัวย่อมเป็นหน้าที่ของเขา
รอเมื่อสองนักพรตรำหมัดเสร็จ จี้หยวนกับฉินจื่อโจวค่อยเคาะประตูเดินมาจากนอกเรือน แน่นอนว่าสองนักพรตที่เห็นจี้หยวนย่อมดีใจอย่างยิ่ง จัดงานต้อนรับด้วยอาหารกลางวันมากมาย
แต่เมื่อรู้ว่าจี้หยวนมาเพื่อให้เขาทำนายชะตา งานหาซื้อวัตถุดิบอะไรล้วนตกอยู่กับฉีเหวิน ส่วนนักพรตชิงซงจดจ่อสมาธิกับการทำนายชะตา
หน้าโถงใหญ่ของอารามเขาเมฆามีม้านั่งสองสามตัววางกระจายกันอยู่ พวกฉีเซวียน จี้หยวน ฉินจื่อโจวนั่งอยู่ด้วยกัน ม้วนกระดาษเก่าซีดจางพาดอยู่บนเข่านักพรตชิงซง
“ทะ… ท่านจี้ กระดาษแผ่นหนึ่ง ทำนายชะตาได้อย่างไร”
การรับรู้ของนักพรตชิงซงสู้ผู้ฝึกเซียนไม่ได้ ไม่อาจสัมผัสกลิ่นอายจากการจับกระดาษ จี้หยวนครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยเอ่ย
“ท่านถือว่ากระดาษแผ่นนี้เป็น ‘บ้านเรือน’ ลองทำนายสถานการณ์ของ ‘ผู้อาศัย’”
“บ้านเรือน?”
ฉีเซวียนมองกระดาษอย่างอึ้งงัน ถือโอกาสขยับกระดาษเล็กน้อย
“สิ่งที่อยู่บนกระดาษเป็นภาพวาดหรือตัวอักษร”
“ไม่ผิด เป็นตัวอักษร ถือว่าอักษรเป็นผู้อาศัยกระดาษเป็นถิ่นฐาน ปีเกิดคือเมื่อหลายสิบปีก่อน ถือเป็นวันเกิดแปดอักษรของผู้อาศัย รายละเอียดคือ…”
จี้หยวนบอกเวลายามจั่วหลีแต่งเทียบเจตกระบี่ ทั้งเสริมด้วย ‘เวลาผู้อาศัยออกจากเรือน’
นักพรตชิงซงฟังแล้วอึ้งงันเล็กน้อย แต่การแสดงออกทางสีหน้ากลับตื่นเต้นขึ้นมาช้าๆ เรื่องแบบนี้หากเป็นคนอื่นเขาคงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นบ้า แต่ท่านจี้เป็นคนพูด ถ้าอย่างนั้นย่อมเป็นเรื่องจริงแน่
………………………………..