เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 378 บรรพจารย์ถ่ายทอดวิชา
ตอนที่ 378 บรรพจารย์ถ่ายทอดวิชา
บนยอดเขาหมอกอำพรางของเขาเมฆา ภายในอารามเขาเมฆาธรรมดาๆ ข้างหน้าโต๊ะเก่าด้านในห้องครัวที่เรียบง่าย ตรงกันข้ามกับโต๊ะที่วางถ้วยจานไว้รกๆ นั้น จี้หยวนและฉินจื่อโจวพูดคุยกันถึงอนาคตของเขาเมฆาไปจนถึงหนทางมรรคดั้งเดิม
ภายใต้บรรยากาศพิเศษที่มีปราณวิญญาณล้อมรอบแสงดาวไม่ดับลงนี้ ไม่ทันไรก็ผ่านไปสองวันเต็มๆ แล้ว
ตอนนี้อุณหภูมิยังคงสูง ทว่าจานบนโต๊ะไม่มีความผิดปกติอะไรเลยสักนิด
ไม่ใช่วิธีที่เป็นระบบในการแยกแยะสิ่งต่างๆ จี้หยวนถึงได้นำของขวัญที่มอบให้ฉินจื่อโจวออกมา หยิบตำราหลายเล่มออกจากในแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ นอกจากตำราสองเล่มที่จี้หยวนเขียนเองแล้ว ในนั้นมีคัมภีร์นอกรีตที่หวงแหนจนถึงปัจจุบันและกลยุทธ์เจิดจรัสด้วย
ฉินจื่อโจวหยิบทุกเล่มขึ้นมาพลิกดู ดูจากสีหน้าเขาจี้หยวนรู้ว่าเขาต้องสนใจกลยุทธ์เจิดจรัสแน่ๆ แต่เรื่องนี้เขาคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นร่างเทพหยิน แม้ระดับการฝึกปราณจะยังตำมาก ทว่าแก่นแท้ยังคงอยู่ที่นั่น
ส่วนตำราสองเล่มของจี้หยวน ที่เขาบันทึกไว้คือวิชาและหนทางที่มีพื้นฐานบางอย่าง รวมถึงวิชาพรางตา วิชาเลือนจิต ไปจนถึงวิชาคุมลม อสนี ไฟ และเพลิง ทว่าทั้งหมดล้วนเป็นความเข้าใจของจี้หยวน ไม่นับว่าเป็นสินค้าริมถนนทั่วไปโดยสิ้นเชิง
“หากท่านฉินมีเวลาจะอ่านคัมภีร์นิกรีตและกลยุทธ์เจิดจรัสให้มากหน่อยก็ได้ สิ่งที่อยู่ในตำราสองเล่มนั้นมีการบันทึกและเพิ่มเติมของข้าคนแซ่จี้ ใช้มันทำความเข้าใจโลกของการฝึกปราณได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ส่วนตำราอีกสองเล่ม หลักๆ เก็บไว้ทดลองฝึกปราณกับนักพรตอารามเขาเมฆา สำหรับท่านฉินกลับเป็นแบบฝึก พัฒนามรรคเทพท่องโลกให้ก้าวหน้า จิตวิญญาณที่ได้รับการขัดเกลาต้องยิ่งไม่ธรรมดาแน่นอน”
ฉินจื่อโจวเก็บเล่มตำราไว้ในอกเสื้อ จากนั้นประสานมือให้จี้หยวนอีกครั้ง
“เช่นนั้นข้าคนแซ่ฉินขอรับไว้แล้ว!”
หลังจากจี้หยวนพยักหน้า ทั้งสองคนล้วนมองไปทางฉีเซวียนและฉีเหวินโดยไม่ได้นัดหมาย สองวันแล้ว นักพรตทั้งสองแห่งอารามเขาเมฆาควรตื่นขึ้นจากการฝึกปราณแรกเริ่มแล้ว
เป็นไปตามคาด ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็เป็นวันฟ้าใหม่แล้ว ตอนที่แสงแรกของวันส่องสว่างอารามเขาเมฆา ชิงซงและชิงยวนสองนักพรตลืมตาขึ้นด้วยตนเอง
เมื่อมองถ้วยชามบนโต๊ะแล้วมองไปรอบๆ นักพรตชิงซงเข้าใจบางอย่างแล้ว
“ฟ้าสว่างแล้ว!”
คำพูดนี้จี้หยวนฟังแล้วรู้สึกคุ้นๆ แต่ก็ไม่เปิดเผยความจริงว่าผ่านไปสองวันแล้ว
“ข้าและอาจารย์นั่งหลับอยู่อย่างนี้ทั้งคืนเลยหรือ”
เห็นตนเองนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ทั้งคน อีดทั้งไม่เมื่อยเอว ฉีเหวินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ความอปลกใจนี้ไม่นานก็ถูกความรู้สึกตื่นเต้นที่แรงกล้ายิ่งกว่าเข้ามาแทนที่
แม้คนอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่ฉีเหวินในตอนนี้ยังคงรักษาความสดใสและไร้เดียงสาในตอนนั้นเอาไว้
“อาจารย์ ท่านจี้ ท่านปู่ฉิน ระหว่างฝึกปราณก่อนหน้านี้ข้าเห็นนิมิตประหลาด ข้ามองเห็นธารน้ำ น้ำตก และสระมรกตบนภูเขา ด้านบนสะท้อนท้องฟ้า แสงดาวระยิบระยับ มีดาวตกลงมา และมีลมจิตวิญญาณอยู่เจือจาง ความรู้สึกนั่นยอดเยี่ยมยิ่ง!”
ฉีเซวียนก็แบ่งปันความรู้สึกของตนเองเช่นกัน
“ข้าเห็นนิมิตประหลาดเหมือนกัน ข้ามองเห็นต้นไม้สีเขียวแผ่กระจายออกไปตามสายลม และดวงดาวบนท้องฟ้าก็ส่องแสงเจิดจ้า! ท่านจี้ ท่านบอกว่าข้าและฉีเหวินต่างก็มีพรสวรรค์ใช่หรือไม่”
จี้หยวนคิดก่อนตอบ
“พรสวรรค์ย่อมมีอยู่แล้ว แต่นิมิตประหลาดแบบนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกำหนดปราณเข้าสู่ร่างกายได้เป็นครั้งแรก ภาพฝันที่ผู้ฝึกปราณมากมายมองเห็น ครั้งหน้าจะมองไม่เห็นแล้ว มีเพียงฝึกปราณถึงระดับขั้นที่ต้องเปิดเตาโอสถบนสะพานทองถึงจะเปิดเขตแดนได้อีกครั้ง หากนำหลักการของการฝึกเซียนทั่วไปมาพูด ภาพฝันนี้มักจะพิเศษอัศจรรย์อยู่ฉากเดียว เช่นไฟลุกนหรือน้ำท่วมใหญ่ ทว่าอารามเขาเมฆามีวิธีการฝึกปราณพิเศษ เห็นฉากอัศจรรย์เป็นแสงดาวจึงปกติมาก”
“อ๋อ…”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
เมื่อได้ยินว่าทุกคนล้วนมีนิมิตแปลกยามฝึกปราณครั้งแรก ความตื่นเต้นของฉีเซวียนและฉีเหวินลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงตื้นตันมากอยู่ดี เขาเริ่มรู้สึกถึงการไหลเวียนของปราณวิญญาณภายในร่างกายได้อย่างละเอียด ปากถามจี้หยวนและฉินจื่อโจวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่หยุด
จนกระทั่งถึงยามสาม คำถามที่ฉีเซวียนและฉีเหวินนึกได้ล้วนได้รับการแถลงไขแล้ว อย่างอื่นกลับไม่ได้ต้องการคำตอบมากนัก ด้วยรู้ว่าจำเป็นต้องฝึกปราณอย่างช้าๆ
เกณฑ์ใหญ่ที่สุดสองประการในการฝึกปราณคือรับรู้ปราณวิญญาณเพื่อชักนำปราณเข้าสู่ร่างกาย และเปลี่ยนหยินหยางหลอมเตาโอสถกลางฟ้าดินย่อย
ตอนนั้นจี้หยวนก้าวข้ามได้อย่างรวดเร็วเพราะร่างกายเขาพิเศษมาก ไม่จำเป็นต้องพิเคราะห์ห้าธาตุด้วยความยากลำบากแสนสาหัส หากแต่ต้องการเห็นภาพและรักษาเขตแดนซึ่งเก็บเตาโอสถเอาไว้ อีกทั้งต้องเชื่อมโยงห้าธาตุเปลี่ยนเป็นหยินหยาง จากนั้นค่อยควบแน่นเป็นเตาโอสถ
ทว่าฉีเซวียนและฉีเหวินแม้มีวิชาวิวัฒน์ฟ้าดิน สุดท้ายความพิเศษมีขีดจำกัด ความยากของการกำหนดปราณเข้าสู่ร่างกายในขั้นแรกอยู่ที่การคัดกรอง ขั้นสองที่สองคือขัดเกลาอย่างช้าๆ
พรสวรรค์ของเว่ยหยวนเซิงไม่นับว่าอ่อนด้อย ทำเช่นเดิมต่อไปสองสามปีก็หลอมเตาโอสถตั้งสะพานทอง เปิดจุดตันเถียนฝึกวิชาได้แล้ว หลังจากทุกอย่างมั่นคงแล้วถึงค่อยลงเขาพบมารดาตนเอง ฉีเซวียนและฉีเหวินมีพื้นฐานความคิดต่อลัทธิเต๋ามานานหลายปีขนาดนี้อาจเร็วกว่าเล็กน้อย แต่ก็มีขีดจำกัดอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน
เมื่อความตื่นเต้นของฉีเซวียนและฉีเหวินผ่านพ้นไป จี้หยวนถึงลุกขึ้นยืนบอกลา
ได้ยินว่าจี้หยวนจะไป ฉีเซวียนพลันร้อนใจขึ้นมา
“ท่านจี้ ท่านจะไปแล้วหรือ เพิ่งมาได้วันเดียวเอง ข้ายังไม่ได้ต้อนรับท่านอย่างดีเลย อยู่สักหนึ่งหรือสองปีเหมือนครั้งก่อนเถอะนะ ท่าน ท่านมีบุญคุณถ่ายทอดวิชา…ข้า ข้าขอเรียกท่านว่า…”
พูดถึงการถ่ายทอดวิชาบนอารามเขาเมฆา สุดท้ายแล้วจี้หยวนครองผลงานส่วนใหญ่ ฉินจื่อโจวเพียงช่วยอยู่ข้างๆ
ฉีเซวียนหมดคำพูดอยู่บ้าง จี้หยวนกลับยกมือขึ้นห้ามเชา
“มีใจก็พอแล้ว เมื่อข้าปรับแก้วิชาอัศจรรย์เรียบร้อยแล้วจะกลับมาอีก ตอนนี้ยังต้องไปตามหาตัวอักษรเหล่านั้นก่อน ส่วนเรื่องที่ข้าถ่ายทอดวิชาให้อารามเขาล้อมหยกแม้เป็นความจริง แต่ถ่ายทอดวิชาให้แล้วใช่ว่าต้องยอมรับว่าเป็นอาจารย์ นับถือข้าเป็นสหายทั่วไป ไม่จำเป็นต้องยกย่องเช่นนั้น”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้แล้วก็ยิ้มมองฉีเหวิน
“อีกอย่างศิษย์ซึ่งเป็นนักพรต ต่อให้ข้าคนแซ่จี้ต้องการรับ อย่างเจ้าหรือจะเหมาะสม พวกเราทำตัวเหมือนเดิมกันเถอะ! ส่วนคำถามเรื่องการฝึกปราณ ท่านฉินก็ยังอยู่ที่นี่นะ”
นักพรตชิงซงเกาศีรษะ สุดท้ายทำได้เพียงยิ้มเห็นด้วย
“ทำตัวเหมือนเดิม ทำตัวเหมือนเดิม!”
นักพรตทั้งสองแห่งอารามเขาเมฆามีข้อดีตรงนี้ ง่ายๆ สบายๆ จี้หยวนพูดรอบเดียวก็เข้าใจแล้ว ไม่วุ่นวายกับคำถามนี้อีก
ฉีเซวียนและฉีเหวินพร้อมด้วยฉินจื่อโจวส่งจี้หยวนไปถึงนอกกำแพงลานของอารามเต๋า หลังจากกล่าวรวบรวมคำพูดเป็นพันหมื่นเหลือเพียง ‘รักษาตัวด้วย’ แล้ว จี้หยวนถึงเหยียบเมฆจากไป มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตนเองคำนวณไว้ก่อนหน้านี้
เงาร่างของจี้หยวนเพิ่งหายไปจากขอบฟ้า ฉินจื่อโจวก็พบว่าฉีเซวียนรีบกลับเข้าไปในอารามเต๋า อีกทั้งส่งเสียงออกมาด้วย
“ฉีเหวิน รีบนำม้วนตำราที่ข้าเก็บไว้ออกมา!”
“เอ๋? ได้ๆ ข้าจะไปหาเดี๋ยวนี้!”
สองศิษย์อาจารย์ตามกันเข้าไปในอาราม คนหนึ่งเตรียมพู่กันน้ำหมึกและสิ่งต่างๆ ส่วนอีกคนหนึ่งไปค้นหาม้วนตำราจากตู้เก็บของ
ฉินจื่อโจวมองดูอยู่ในอาราม ไม่แน่ใจว่าศิษย์และอาจารย์สองคนนี้ต้องการทำอะไร หรือฉีเซวียนต้องการทำอะไร แต่เขาไม่ถามออกไปเช่นกัน อย่างไรเสียคนอยู่ที่นี่รู้กันก็เพียงพอแล้ว
สุดท้ายฉีเซวียนจัดวางโต๊ะเตรียมพู่กันและน้ำหมึกอยู่ในตำหนักของอารามเต๋า สามวันเต็มๆ ไม่มีน้ำเข้าปากสักหยด ไม่มีอาหารตกถึงท้องสักนิด ต่อให้เป็นเวลากลางคืนก็โบกพู่กันใต้แสงเทียน สามวันผ่านมาซูบผอมลงไปเยอะ อีกทั้งมีขอบตาดำเป็นหมีสยงเมา (หมีแพนด้า) ด้วย แต่สิ่งที่ต้องทำกลับสำเร็จได้ในก้าวเดียว
ครึ่งคืนหลังของวันที่สาม หลังจากอ่านม้วนกระดาษบนโต๊ะในตำหนักใหญ่ของอารามเขาเมฆา นักพรตชิงซงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
“ฮ่าๆๆๆๆๆ…สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะวาดออกมาได้ วาดออกมาได้แล้วจริงๆ!”
สีหน้าของฉีเซวียนในเวลานี้ผ่องใส ฉีเหวินและฉินจื่อโจวที่ได้ยินเสียงก็รีบมาถึงแล้ว นอกจากฉีเซวียนซึ่งถือพู่กันอย่างตื่นเต้น ก็มองเห็นภาพสองภาพบนโต๊ะด้วย
นี่เป็นภาพเหมือนในท่ายืนสองภาพ ภาพหนึ่งคือฉินจื่อโจวคิ้วขาวเคราขาว กำลังลูบเคราพร้อมใบหน้าอ่อนโยน อีกภาพหนึ่งคือจี้หยวนในชุดคลุมยาวแขนกว้าง ดวงตาสีขาวราบเรียบกำลังยืนเอามือไพล่หลัง
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยลองดูแล้ว หากอยากนึกถึงใบหน้าท่านจี้ มักจะมีรายละเอียดบางอย่างที่เลือนรางชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลงพู่กันวาดภาพดลย ในที่สุดวันนี้ก็ได้วาดแล้ว!”
“โอ้ อาจารย์สุดยอดยิ่ง วาดได้เหมือนมาก เหมือนกับท่านปู่ฉินและท่านจี้เดินออกมาจากภาพวาดเลย ท่านฉินท่านรีบมาดูเถอะ!”
ฉีเหวินปรบมือพลางเอ่ยชมอยู่ข้างๆ มองทั้งฝั่งซ้ายและขวาตื่นเต้นทั้งนั้น
ฉินจื่อโจวมองตนเองและจี้หยวนที่อีกฝ่ายพูดถึง จากนั้นลูบเคราเอ่ยชมบ้าง
“คิดไม่ถึงเลยว่าทักษะการวาดภาพของนักพรตชิงซงจะยอดเยี่ยมขนาดนี้!”
“ฮ่าๆ ชมเกินไปแล้วๆ ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ให้ข้าวาดอีกครั้งก็ทำไม่ได้แล้ว! จริงสิ ยังขาดอีกจุดหนึ่ง!”
ฉีเซวียนพูดจบแล้วกลั้นหายใจ เขียนตัวอักษรฉินและจี้บนภาพวาดทั้งสองภาพอย่างบรรจง จากนั้นถึงวางพู่กันลงอย่างแท้จริง
“ท่านฉิน ท่านกับท่านจี้เป็นบรรพจารย์ถ่ายทอดวิชาของอารามเขาเมฆาแล้ว ชื่อนี้ข้ากับฉีเหวินไม่เรียกก็ได้ แต่คนรุ่นหลังของอารามเขาเมฆากลับไม่อาจลืมได้!”
“ฮ่าๆ ตามแต่ใจเจ้าเถอะ เรื่องนี้ท่านจี้เข้ามาก้าวก่ายไม่ได้อยู่แล้ว”
ฉินจื่อโจวก็เป็นคนง่ายๆ สบายๆ เช่นกัน เห็นใบหน้าจริงจังของนักพรตชิงซงแล้วไม่ต่อต้านเช่นกัน อย่างไรเสียก็เขาก็อย่างไรก็ได้ อีกอย่างเมื่อถึงเวลาฝึกเทพท่องโลกที่เหมาะสมแล้ว เดิมทีจะได้รับการเคารพบูชาจากอารามเขาเมฆาและที่อื่นๆ มากมาย ส่วนทางจี้หยวน ฉินจื่อโจวไปยุ่งไม่ได้
ท้องฟ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของอารามเขาเมฆา จี้หยวนที่เหยียบเมฆเดินทางอย่างรวดเร็วรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง นับนิ้วคำนวณแล้วมองไปทางอารามเขาเมฆา
“วาดได้ยอดเยี่ยมมาก ทว่าตัวอักษรขี้เหร่ไปหน่อย…”
กล่าวชมเช่นนี้แล้ว จี้หยวนนับว่าเห็นด้วยกับการกระทำของนักพรตชิงซง ส่วนตัวอักษรที่เขาเขียนนั้น แม้ห่างชั้นกับจี้หยวนอยามาก แต่ก็นับว่าเรียบร้อยดีแล้ว
…
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักจู่เยวี่ยเชื่อมต่อกับอาณาจักรถิงเหลียง แต่เพราะมีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับต้าเจินมานานปี เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นศัตรูกับทั้งสองฝ่าย ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้น นโยบายของอาณาจักรจู่เยวี่ยที่มีกับกับอาณาจักรถิงเหลียงจึงละมุนละม่อมเป็นอย่างยิ่งเสมอ
ตอนจี้หยวนบินเข้าใกล้ท้องฟ้าตรงนี้ เขาหยิบม้วนกระดาษเทียบเจตกระบี่แล้วนับนิ้วคำนวณ จากนั้นบินตรงไปตลอดทาง
หลังผ่านเขตแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรจู่เยวี่ยได้ไม่นาน ก็จะเป็นอำเภอโม่หยวนซึ่งผลิตน้ำหมึกอันมีชื่อเสียงของอาณาจักรถิงเหลียง เมื่อถึงตรงนี้จี้หยวนลดความเร็วลง ยิ่งเข้าสู่อำเภอโม่หยวนแล้วครู่หนึ่งก็ร่อนลงจากก้อนเมฆ
รอบข้างมีภูเขาที่ค่อนข้างอันตรายเยอะมาก แต่เทียบกับภูเขามีชื่อมากมายที่จี้หยวนเคยเห็นก่อนหน้านี้ ชัดเจนว่าที่นี่เขียวอชุ่มไม่พอ บนภูเขาสูงแห้งแล้งมีต้นสนพื้นเมืองจำนวนมาก ในขณะที่พื้นที่ตอนล่างมักมีต้นถงจื่อและต้นรัก ทั้งสามต้นนี้ยังเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับน้ำหมึกอีกด้วย
เดินสำรวจไม่กี่รอบ จี้หยวนทั้งไม่เดินไปยังอำเภอโม่หยวน และไม่เข้าไปในหมู่บ้านใด ทว่าเดินไปยังทิศทางหนึ่งอย่างมีเป้าหมาย กลิ่นหมึกรางๆ โชยมากับอากาศ บ่งบอกว่าข้างหน้าน่าจะมาโรงผลิตน้ำหมึกอยู่
เดินไปได้พักหนึ่ง ตอนถึงริมแม่น้ำสายเล็ก ท่ามกลางสายตาเลือนรางตรงหน้าพลันปรากฏชายชราที่จี้หยวนมองเห็นได้อย่างชัดเจนคนหนึ่ง เขากำลังใช้ไม้เท้าเดินมองๆ ดมๆ อยู่ริมแม่น้ำ แม้กระทั่งใช้ไม้เท้ายันร่างกายเพื่อมองทิวทัศน์อันไกลโพ้น
ชายชราผู้นั้นมองเห็นจี้หยวนแล้ว ทว่ากวาดสายตาผ่านไปราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่ ยังคงต่างคนต่างอยู่ หลังจากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินเลียบสายน้ำไป
จี้หยวนเกิดความคิดหนึ่ง
‘นี่คือเจ้าที่หรือ กำลังทำอะไรอยู่’