เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 379 เสียงดังอึกทึก
ตอนที่ 379 เสียงดังอึกทึก
ในเมื่อเจ้าที่ผู้นี้เห็นจี้หยวนเป็นคนธรรมดาที่ผ่านมา จี้หยวนก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เดินเลียบริมแม่น้ำไปอย่างช้าๆ เหมือนกับคุณชายผู้สง่างามกำลังชื่นชมทิวทัศน์ ทว่าหางตายังคงสังเกตมองการเคลื่อนไหวของเจ้าที่ผู้นี้
เห็นเจ้าที่ผู้นี้เตี้ยค่อมกว่าคนชราทั่วไป แม้มีร่างของคน แต่แปดส่วนไม่ใช่เจ้าที่ซึ่งตายแล้วฝึกปราณกลายเป็นเทพผี
ภูตที่เกิดปัญญาในดินได้มักมีอยู่สองสามชนิด ส่วนใหญ่มีรูปร่างแบบนี้ ตามที่จี้หยวนรู้ ในบรรดาเจ้าที่อย่างน้อยมีบางส่วนที่ฝึกปราณแล้วกลายเป็นภูต
เจ้าที่ข้างหน้าจมอยู่ในโลกของตนเองตลอดเวลา ไม่รู้ว่าถูกผู้ฝึกปราณในระดับสูงติดตามอยู่
เดินเลียบริมแม่น้ำไป เห็นคราบหมึกไกลอยู่ในแม่น้ำ เจ้าที่ใช้ไม้เท้ายาวเขี่ยในน้ำครั้งหนึ่ง เกิดเป็นลำธารสายหนึ่ง จากนั้นวักน้ำขึ้นมาดูใกล้ๆ และลองดมดู ถึงขนาดเอาเข้าปากเพื่อชิมรสชาติด้วย
“ไม่ถูกต้อง ไม่มีสดชื่น หรือไม่ใช่ที่นี่ ข้าหาผิดที่อีกแล้วหรือ”
เจ้าที่เทน้ำในมือลงในแม่น้ำ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเลียบแม่น้ำต่อไป
ท่าทางนี้ชัดเจนว่ากำลังตามหาอะไรบางอย่าง จี้หยวนใคร่รู้อยู่บ้าง ถึงขั้นคิดว่าสิ่งที่กำลังตามหาอาจเหมือนกับตนเองหรือไม่ หากมีเป้าหมายเดียวกันจริง จี้หยวนก็ไม่รีบร้อนตามหาตัวอักษรเหล่านั้นเช่นกัน ต้องดูว่าเรื่องอะไรทำให้เจ้าที่ผู้นี้ต้องออกตามหา
แม้เจ้าที่ผู้นี้รูปร่างเตี้ย ทว่าเคลื่อนไหวไม่เชื่องช้าเลยจริงๆ อย่างไรเสียก็เป็นเทพเจ้าที่ซึ่งเชื่อมโยงกับปราณพิภพ ความเร็วเมื่อเหยียบย่างบนพื้นที่ซึ่งตนเองควบคุมดูแลย่อมเร็วมาก
บางครั้งอีกฝ่ายหายไปในดินดื้อๆ จากนั้นปรากฏกายมองทางซ้ายเสาะหาทางขวาอยู่ตรงที่ไกล หากไม่ใช่เพราะจี้หยวนก็เป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง คนธรรมดาต้องถูกสลัดหลุดแน่
ประมาณครึ่งเค่อหลังจากนั้น เจ้าที่เสาะหาโดยรอบเป็นวงกว้าง ตรวจตราสถานที่ต่างๆ ตามรายทาง สุดท้ายถึงโรงปฏิบัติการขนาดใหญ่ซึ่งสร้างอยู่ริมแม่น้ำ
ถึงตรงนี้แล้ว กลิ่นหมึกในอากาศเข้มข้น แม่น้ำที่อยู่ข้างๆ โรงปฏิบัติการอยู่ในสภาพกึ่งดำอยู่เรื่อย ชัดเจนว่านี่เป็นโรงผลิตน้ำหมึกแห่งหนึ่ง
แท่งหมึกเป็นของมีค่าขึ้นชื่อของอำโม่หยวนแห่งอาณาจักรถิงเหลียง จี้หยวนรู้ว่าแท่งหมึกของแท้ชิ้นหนึ่งขายได้ราคาสูงลิ่วที่ต้าเจิน ผู้มีความรู้และสง่างามล้วนอยากได้ไว้ในครอบครอง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะซื้อมันได้
หลักๆ เป็นเพราะแม้ต้าเจินและอาณาจักรถิงเหลียงมีอาณาเขตติดกัน แต่ก็กั้นไว้ด้วยเขาลานสารทยาวเหยียด เขาลานสารทไม่เพียงคดเตี้ยวสูงชันอันตราย ยิ่งเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยแมลงพิษสัตว์ร้ายไม่น้อย หนทางเดินลำบากเป็นอย่างยิ่ง ออกจากอาณาจักรจู่เยวี่ยแล้วเลี้ยวไปทางอาณาจักรถิงเหลียงปลอดภัยยิ่งกว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างต้าเจินและอาณาจักรถิงเหลียงถึงไม่เลว แต่การค้าระหว่างกันลำบากขนาดนี้ อีกทั้งแท่งหมึกสักแท่งหาได้ยาก มันจึงมีค่าควรเมืองเมื่ออยู่ที่ต้าเจิน แท่งหมึกคุณภาพดีหนึ่งชิ้นเทียบได้กับเงินแท้ที่มีน้ำหนักเท่ากัน และเป็นสินค้าหรูหราชิ้นหนึ่งสำหรับนักเขียนคนหนึ่ง
อย่างเช่นกระบอกใส่พู่กันทำจากไม้พยุงของจี้หยวนในตอนนั้น มันทำขึ้นโดยช่างฝีมือเก่าแก่ของอำเภอหนิงอัน ตอนนั้นมีค่าสองร้อยกว่าเหวิน กระบอกพู่กันเก่ายี่สิบปีแบบนี้ ตอนนี้วางขายในสถานที่อย่างอาณาจักรเทียนเป่าหรืออาณาจักรถิงเหลียงก็คงขายได้ในราคาสูงมากเช่นกัน
ความคิดนี้ผุดขึ้นในห้วงสมองของจี้หยวน เหตุผลหลักเพราะมองเห็นสถานที่ผลิตแท่งหมึก ในฐานะที่เป็นคนชอบสะบัดพู่กันจุ่มน้ำหมึก จึงมีความรู้สึกคันยุบยิบในใจอยู่บ้าง
‘ในเมื่อมาถึงอำเภอโม่หยวน หากเหมาะสมล่ะก็ อย่างไรก็ต้องนำแท่งหมึกสักสองสามชิ้นมาลองใช้หน่อย’
คล้ายกับภาพแขวนเหนือโต๊ะหนังสือของอำเภอหนิงอัน แท่งหมึกของอำเภอโม่หยวนล้วนเป็นสิ่งที่ทำขึ้นด้วยความตั้งใจ ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในบรรดาผลิตภัณฑ์ทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นด้วยจิตวิญญาณผู้ผลิต มีจิตวิญญาณอันแรงกล้าอยู่ในนั้น อย่างน้อยจี้หยวนก็มองเช่นนั้น
ของแบบนี้เมื่ออยู่ในมือจี้หยวนล้วนรับรู้ถึงคุณค่าของมันได้ ถึงขั้นยามใช้งานดึงความอัศจรรย์พิเศษออกมาได้ส่วนหนึ่งด้วย
เสียงข้างโรงผลิตแท่งหมึกดังขึ้นต่อเนื่อง กำลังผลิตแท่งหมึกกันอย่างชัดเจน เจ้าที่มาถึงแล้วลดความเร็วลงบ้าง
ทั้งโรงผลิตมีเรือนเล็กใหญ่ประมาณสิบกว่าหลัง ไปจนถึงพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ข้างหน้าและข้างหลัง ผู้ผลิตหมึกกำลังขนวัตถุดิบ เปลี่ยนเครื่องมือ และยุ่งอยู่กับการเข้าและออกจากโรงผลิต
เจ้าที่ไม่ได้ไปยังสถานที่ซึ่งมีคนมากมาย แต่วนรอบโรงผลิตอยู่หลายรอบ ครั้นถึงเรือนที่มีขนาดใหญ่มากหลังหนึ่งแล้ว เขาจ้องมองหน้าประตูอย่างละเอียดอยู่นาน
“ฮ่าๆ เห็นทีวันนี้มีความคืบหน้าบ้างแล้ว”
เขายื่นมือไปสัมผัสจุดรวมสายตา ลูบคราบหมึกบนประตูเล็กน้อยก่อนชักมือกลับมาดมดู บนใบหน้าของเจ้าที่เผยรอยยิ้มเล็กน้อย
ตอนนี้จี้หยวนเข้าใกล้อีกฝ่ายแล้ว ทว่ายังคงมองอยู่ไกลๆ เท่านั้น
จากการฟังที่เหนือธรรมดา จี้หยวนรู้ว่าเรือนหลังใหญ่ที่เจ้าที่หยุดฝีเท้าอยู่ ความจริงแล้วข้างในไม่มีคนงานทำงานอยู่ มีเรือนขนาดใหญ่หลายหลังที่ไม่มีคนอยู่ข้างในเช่นกัน
หลังคาเรือนหนาเป็นพิเศษ ข้างนอกมีม่านฟางหนาๆ มากมายและชั้นแผ่นไม้ แม้แต่บนประตูหน้ายังแขวนผ้าห่มไหมผืนเก่าเอาไว้ด้วย เพียงมองก็มอบความรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างยิ่งให้แล้ว
เจ้าที่มองซ้ายมองขวาตามความเคยชิน ก่อนจะเคาะไม้เท้าลงกับพื้นสองครั้ง ร่างกายกลายเป็นควันดำกลุ่มหนึ่งดำดินไป แม้จะเป็นแบบนั้น แต่จี้หยวนกลับคิดว่าเขาไม่มีทางจากไป ทว่าเข้าไปในเรือนแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จี้หยวนก้าวเท้าไปถึงรอบนอกของโรงผลิตเช่นกัน เงี่ยหูฟังอยู่ข้างนอกเรือนหลังนั้น ไม่ได้เข้าไปในทันที ขณะเดียวกันก็เปิดตาทิพย์เต็มที่
ยังไม่ทันได้ยินอะไร มีคนงานสองคนแบกกล่องไม้คลุมผ้าสีดำเดินมาทางนั้น กลิ่นหมึกหอมโชยมาจากในกล่อง เป็นแท่งหมึกที่เพิ่งผลิตเสร็จอย่างเห็นได้ชัด คุณภาพไม่ต่ำต้อยเสียด้วย
“เจ้าไปเปิดประตู ข้าจะยกไว้”
“ได้!”
คนงานคนหนึ่งวิ่งไปเปิดผ่าห่มไหมที่หน้าประตูออก เมื่อยกกลอนประตูออกแล้วจึงผลักประตูหนาหนักให้เปิดออกพร้อมเสียงดังเอี๊ยด
พอประตูเปิดออก กลิ่นหมึกเข้มข้นโชยออกมาจากในเรือน
“ไปๆ รีบไปตาก วางไว้บนชั้นวาง”
นอกจากแสงสว่างเล็กน้อยที่หน้าประตู ภายในเรือนมีหน้าต่างกระดาษเล็กๆ สองบานที่มีแสงส่องเข้ามา มืดมาก สองคนแทบต้องคลำผนังรีบเดินไปยังส่วนลึกของเรือน
ทำแท่งหมึกเสร็จแล้วต้องตากให้แห้ง มีการควบคุมอุณหภูมิเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไม่อาจตากแสงอาทิตย์ได้โดยตรง นอกจากใช้วัสดุดีแล้ว ทุกขั้นตอนล้วนต้องการความพิถีพิถัน นี่ทำให้แท่งหมึกที่สิ่งที่ยากจะได้มาครอบครอง
“เอ๋? เหตุใดขาดไปมากมายขนาดนี้”
“นั่นสิ! เขตตากหมึกของเรือนนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าตากแท่งหมึกไว้อย่างน้อยสองร้อยกว่าแท่งหรือ เหตุใดรู้สึกว่าขาดไปครึ่งหนึ่งเลยเล่า หรือว่ามีคนตระกูลตงมารับไปขายแล้ว”
คนหนึ่งสงสัยและแปลกใจอยู่บ้าง หากทำหายไปนับว่าเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ ตระกูลตงต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน
“ขะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตะ แต่หมึกทางนี้ยังตากไม่แห้งดีเลย แม้จะแห้งแล้วก็ยังต้องมีการตัดแต่ง ล้าง และเติมด้วยทองคำนะ!”
“แย่แล้ว ได้ยินมาว่าช่วงนี้ในอำเภอมีโจรเข้าโรงผลิตหมึกไม่น้อยเลย โจรต่างก็ขโมยแท่งหมึกคุณภาพสูงไป เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเราจะโดยขโมยเหมือนกัน”
“เอ๋? นี่! เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนข้าเพิ่งมาที่นี่ ตอนนั้นยังมีเยอะอยู่เลย ที่โรงผลิตหมึกคนอยู่เยอะขนาดนี้ ไม่เห็นมีใครเข้ามาเลยนะ อีกอย่างในโรงผลิตก็มียอดฝีมือยุทธภพประจำการอยู่ไม่ใช่หรือ…”
“เรื่องนี้พวกเราจัดการอะไรไม่ได้ รีบไปรายงานตระกูลตงดีกว่า!”
“ไปๆๆ…”
ช่างทำหมึกสองคนรีบออกจากเรือนไปด้วยความกระวนกระวายใจ วิ่งไปยังเรือนที่อยู่ข้างหน้าสุดของโรงผลิตหมึก ตอนที่พวกเขาจากไป เงาร่างของเจ้าที่ปรากฏขึ้นจากเงากลางแผ่นไม้ในเรือนแล้ว
เจ้าที่จับไม้เท้า ร่างเตี้ยค่อมนั้นเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองไปรอบๆ
“หึๆ! หัวขโมยต้องอยู่ที่นี่แน่ ผู้ที่ขโมยแท่งหยกไปทั้งแบบนี้ได้ต้องเป็นภูตอย่างแน่นอน ยังไม่รีบเผยโฉมหน้าให้ข้าเจ้าที่เห็นอีก หากสารภาพแต่โดยดีอย่างละเอีย ข้าเจ้าที่จะลงโทษเจ้าเบาๆ สักครั้ง!”
เจ้าที่ร้องเรียกเสียงหนึ่งแล้วไม่เห็นความเคลื่อนไหว พลันแค่นหัวเราะ ใช้ไม้เท้าเคาะพื้นเบาๆ ครั้งหนึ่ง
ตึก…
เสียงดังทั่วเรือน จากนั้นสิ่งที่ตามเสียงมายังมีแสงสีเหลืองระเรื่อสายหนึ่ง
ทันใดนั้นแม้แต่ที่จี้หยวนที่อยู่นอกเรือนก็รู้สึกได้ว่าทั้งเรือนหนาหนักขึ้นไม่น้อย ในตาทิพย์ของเขานั้น เรือนนี้ปกคลุมไปด้วยดินชั้นหนึ่ง แข็งเหมือนกันพื้นดินอย่างไรอย่างนั้น
เสียงถามของเจ้าที่ดังสะท้อนในเรือน แต่ไม่มีเสียงอื่นใดดังมา ตอนนี้แม้เจ้าที่ไม่รับรู้ถึงลมปราณผิดแปลกอะไร ทว่าจากคำพูดของช่างทำหมึกสองคนนั้นก็ตัดสินได้แล้วว่าที่นี่เกิดปัญหา
“หัวขโมย ขืนยังไม่ออกมาอีก ข้าเจ้าที่จะเผาเรือนหลังนี้ทิ้งเสีย ดูสิว่าพวกเจ้าจะต้านทานไฟร้อนแผดเผาร่างกายได้หรือไม่!”
คำพูดนี้ได้ผลแล้ว เสียงกึกกักพลันดังมาจากมุมหนึ่งของเรือน แทรกไว้ด้วยเสียงแหลมเล็กก่นด่าเจ้าที่
“ตาเฒ่าผู้นี้ หากเจ้ากล้าทำเช่นนั้น นายใหญ่ของพวกข้ารู้เข้าต้องตีเจ้าจนวิญญาณแตกสลายแน่นอน!”
“ใช่ ตาเฒ่าน่าตายผู้นี้ เป็นแค่เจ้าที่ตัวเล็กๆ พวกข้า พวกข้าไม่กลัวเจ้าหรอก!”
“ใช่ ไม่กลัว!”
“ไม่กลัวๆ!”
“ใช่ๆ ไม่กลัว!”
“รีบปล่อยพวกข้าออกไป”
“ปล่อยพวกข้าออกไป แล้วพวกข้าจะไม่รายงานให้นายใหญ่รู้!”
“แต่นายใหญ่อยู่ที่ไหนเล่า”
“นายใหญ่ไปทางเหนือแล้ว!”
“ไม่ใช่ ไปทางตะวันตก!”
“ไม่ใช่ ไปทางเหนือ!”
ภายในเรือนวุ่นวายเสียงดังจอแจเละเทะเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งแล้ว…
เจ้าที่มีสีหน้าแปลกใจ ด้วยเขาคิดว่ามีภูตเพียงหนึ่งหรืออย่างมากสองตน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นกลุ่มใหญ่เช่นนี้
“เฮอะ! ข้าไม่รู้ว่านายใหญ่ของพวกเจ้าเป็นใคร และไม่รู้ว่าพวกเจ้ากลัวข้าจริงหรือไม่ แต่ดูแล้วพวกเจ้ากลัวไฟ หากยังไม่ยอมแพ้อีก ข้าจะจุดไฟเผาพวกเจ้าเสีย!”
เจ้าที่แค่นหัวเราะแล้วใช้ไม้เท้าเคาะพึ้นสองครั้งดังตึกๆ ทันใดนั้นภายในเรือนสั่นไหว เหมือนกับเกิดแผ่นดินไหวระลอกหนึ่ง แท่งหมึกที่ตากไว้บนชั้นร่วงกราวลงกับพื้น จากนั้นก็หายไปท่ามกลางแผ่นไม้
เจ้าที่แน่ใจมากว่าเรือนหลังนี้ไม่ได้มีค่ามาก สิ่งที่มีค่าคือแท่งหมึกเหล่านี้ ขอเพียงแท่งหมึกยังอยู่ เผาเรือนไปแล้วเจ้าของโรงผลิตหมึกก็ไม่ได้รับความเสียหายมากเท่าไหร่
“ขืนยังไม่ออกมาอีก ข้าจะลงมือแล้ว”
เปลวไฟกลุ่มหนึ่งปรากฏบนไม้เท้าของเจ้าที่ ทำให้เสียงจอแจภายในเรือนเงียบลงทันตะวัน จากนั้นยิ่งส่งเสียงดังกันกว่าเดิม เสียงว่าเสียงร้องเสียงทะเลาะกันดังไปถึงสวรรค์ อึกทึกยิ่งกว่าตลาดสดเสียอีก
………………………………..