เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 381 ต่อจากนี้ต้องหนวกหูแล้ว
ตอนที่ 381 ต่อจากนี้ต้องหนวกหูแล้ว
‘ของมีค่า!’
ขอเพียงเป็นผู้ฝึกปราณธรรมดาคนหนึ่ง ปฏิกิริยาแรกเมื่อมองเห็นเหรียญทิพย์ก็คือใจเต้นแรง เจ้าที่อย่างหลี่น่งเซียนย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น
เหรียญในมือท่านจี้ผู้นี้หนากว่าเหรียญทั่วไปอยู่บ้าง พื้นผิวปิดด้วยทอง กักเก็บจิตวิญญาณไว้ข้างใน รอบเหรียญมีปราณเวียนวนอยู่รางๆ ยิ่งชักนำปราณวิญญาณใกล้เคียงมาปกคลุมตัวมันไว้ เหมือนกับชุบจิตวิญญาณไว้ด้วยชั้นหนึ่ง ความจริงแล้วกระแสแสงที่มองเห็นก็มาจากปราณวิญญาณชั้นนี้แหละ
เจ้าที่จินตนาการได้เลยว่าความอัศจรรย์ของตัวเหรียญยังซ่อนไว้อยู่ภายในไม่ปรากฏ
ต้องการ! ต้องการมาก!
“นี่ คือว่า…เอ่อ ท่านจี้ เหรียญในมือท่านมองอย่างไรก็เป็นของมีค่า ท่าแน่ใจหรือว่าจะใช้มันซื้อหมึก”
เดิมทีเจ้าที่อยากบอกว่าข้ารับของมีค่านี้ไว้ไม่ได้ ทว่าใจจริงคันยุบยิบ คำพูดมาถึงปากแล้วกลับกลายเป็นปฏิเสธจี้หยวนเสียอย่างนั้น
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงล้วนมีความปรารถนา บ้างเป็นความปรารถนาส่วนรวม บ้างเป็นความปรารถนาส่วนตน สำคัญที่วิสัยทัศน์และความความต้องการว่าตรงกันหรือไม่ ไม่มีแบ่งแยกสูงต่ำ หวงชิวเป็นเพียงเจ้าที่ของดินแดนเล็กๆ ของมีค่าที่พบเห็นได้แน่นอนว่ามีจำกัด วันนี้มีโอกาสนี้ไยจะปล่อยไปได้
จี้หยวนไม่ได้พูดอะไรในทันที เพียงยื่นเงินออกไปโดยตรง หลังจากเจ้าที่แบ่งรับแบ่งสู้ครู่หนึ่งแล้วก็รับเหรียญทิพย์ไว้ จากนั้นกำไว้ในมือคิดแล้วคิดอีก
“ข้าคนแซ่จี้หลอมมันขึ้นมาเอง นับว่าเป็นของมีค่าจริงๆ นั่นแหละ พูดให้หนักหน่อยจะคล้ายกับประเพณีในบางสถานที่ที่มีการขอให้พระอาจารย์ทำพิธีกรรมแล้วเผาเหรียญทิพย์ให้บรรพบุรุษ ความแตกต่างก็คือวิธีการทางจิตวิญญาณนั้นแตกต่างกันมาก”
“อ๋อๆ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!”
เจ้าที่จับเหรียญทิพย์ไว้ยิ่งมองยิ่งชอบ จับแล้วยิ่งรู้สึกถึงท่วงทำนองวิญญาณบนนั้นได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เขาเองเคยได้ยินคำว่าเหรียญทิพย์อยู่บ้าง ถึงขนาดเคยเห็นมาก่อนด้วย แต่ของเหล่านั้นจะเทียบได้กับของมีค่าในมือเขาได้อย่างไร
เหรียญทิพย์ในมือนี้ จิตวิญญาณลึกล้ำหนาหนักชัดเจนหาใดเปรียบ ไม่มีความรู้สึกใดปะปนอีก เมื่อรวมกับความสามารถที่ใช้งานได้ตามใจชอบของเหรียญทิพย์ นั่นเป็นของดีที่ทำอะไรก็ใช้งานได้ทั้งสิ้น
การใช้วิชาหลอมวัตถุล้วนเป็นตัวช่วย เมื่อเจอเรื่องร้ายแรงถึงชีวิตนำมาใช้รับมือกับสถานการณ์ได้ด้วย
ท่วงทำนองวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในนั้นให้ความรู้สึกสดใหม่ ขอพูดอย่างไม่เกินจริง นี่เกรงจะเป็นมรรคที่ลึกล้ำยากหยั่งคาด เพียงแค่ชายตามองไม่นาน เจ้าที่ก็รู้สึกได้ว่าหากการฝึกปราณของเขาผิดพลาดจนเกิดเค้าลางของการถูกครอบงำ ต้องพึ่งพาเหรียญทิพย์นี้ดึงกลับมาได้แน่
เจ้าที่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมรรควิถีของจี้หยวนสูงส่งแค่ไหน แต่ดูจากเบาะแสทั้งหมดที่ได้ยินและได้เห็นจนถึงวันนี้ เขาเดาว่าสูงส่งมากจนเกินจะจินตนาการได้
“นี่มากเกินไปแล้ว มากเกินไปแล้ว…ข้าน้อย ข้า ข้าต้องช่วยท่านจี้หาหมึกดีได้อย่างแน่นอน!”
คืนกลับไปต้องเสียดายแน่ๆ อีกทั้งเจ้าที่รู้สึกว่าไม่อาจนำสิ่งของใดออกมาเทียบกับเหรียญทิพย์นี้ได้เลย ทำได้เพียงพูดเช่นนี้แล้ว
จี้หยวนพยักหน้าแล้วยิ้ม
“เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าที่แล้ว จริงสิ ข้าจะไม่ไปอำเภอโม่หยวนแล้ว พำนักอยู่ที่ศาลเจ้าที่ของท่านชั่วคราวดีกว่า ท่านมีข่าวคราวอะไรจะได้มาหาข้าได้สะดวก ไม่ทราบว่าเจ้าที่คิดเห็นอย่างไร”
ด้านหนึ่งเพราะรอเจ้าที่หาหมึกได้ ด้านหนึ่งถือโอกาสสืบค้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวอักษรเหล่านั้นกันแน่
เจ้าที่พยักหน้าหงึกหงัก
“ย่อมได้ๆ ท่านจี้ยินดีพำนักถือว่าเป็นเกียรติกับศาลอันต่ำต้อยของข้า ข้าเข้าฝันผู้ดูแลศาลให้เขาเตรียมห้องพักแขกแล้ว ท่านจี้เชิญตามข้ามา!”
พูดจบแล้วเจ้าที่กระโดดลงจากก้อนหิน ผายมือเชื้อเชิญ
“อืม!”
จี้หยวนมองเทียบเจตกระบี่
“ไปด้วยกันเถอะ นำแท่งหมึกเหล่านั้นมาด้วย เอาอย่างนี้ พวกเจ้านำของเหล่านี้ไป ไม่ต้องเหลืออะไรไว้”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสียงบนเทียบเจตกระบี่พลันดังโหวกเหวก
“ฮ่าๆๆ ขอบคุณนายใหญ่!”
“ขอบคุณนายใหญ่!”
“ของข้าๆ ชิ้นใหญ่ที่สุดนั้นของข้า!”
“หลีกไปๆ ชิ้นใหญ่ที่สุดเป็นของข้าต่างหาก”
“นี่อย่ามาแย่งข้า!”
“ปล่อยเสียๆ!”
…
จี้หยวนมองพวกมันวิวาทกันแล้วส่ายหน้า ถกแขนเสื้อขึ้นเก็บภูตตัวอักษรที่ยังคงทะเลาะกันอยู่และแท่งหมึก รวมถึงเทียบเจตกระบี่เข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นก้มหน้ามองกระเรียนกระดาษที่ก้มหน้ามองภาพนี้จากในอกเสื้ออย่างละเอียด
“เจ้าห้ามเลียนแบบพวกมันเด็ดขาด!”
เจ้าที่ซึ่งอยู่ข้างๆ ทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เมื่อจี้หยวนเก็บของเรียบร้อยถึงนำหน้าไป พาจี้หยวนเร่งฝีเท้าไปยังศาลเจ้าที่ของตนเอง
ระหว่างทางเขานำเหรียญทิพย์มาจับเล่นอยู่เรื่อยๆ หลังจากพบว่าดีดครั้งหนึ่งแล้วมีเสียงดังต่อเนื่องไม่ขาดสายก็ดีดเล่นอย่างต่อเรื่อง ราวกับเด็กที่ได้รับของเล่นเป็นอย่างยิ่ง
จี้หยวนสังเกตเห็นเช่นกัน บางทีเหรียญทิพย์ของตนเองอาจได้รับการต้อนรับยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้ก็เป็นได้
…
อำเภอโม่หยวนมีชื่อเสียงในด้านการผลิตหมึก หลายหมู่บ้านในอำเภอจะแตกต่างกันไปตามที่ตั้ง หมึกที่ผลิตได้ก็แตกต่างกันเช่นกัน พื้นที่ของหลี่น่งเซียนผลิตหมึกควันสนเป็นหลัก เสริมด้วยหมึกชนิดอื่นๆ
อำเภอโม่หยวนนับว่าเป็นอำเภอร่ำรวยไม่กี่อำเภอของอาณาจักรถิงเหลียง ตระกูลใหญ่ในอำเภอส่วนใหญ่มีเงินทองเพราะผลิตหมึก อีกทั้งกราบไหว้บูชาศาลเทพอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นศาลเจ้าที่ของหลี่น่งเซียงไม่ใช่ศาลผุพังขนาดเล็กแบบที่จี้หยวนจินตนาการไว้ แต่เป็นศาลที่กว้างขวางมีลานกว้างแห่งหนึ่ง
ในนั้นมีห้องหับอยู่ไม่น้อย รวมถึงโถงสักการะที่เก็บรายการบุญเอาไว้ พูดตามตรงก็เพื่อจัดอันดับว่าใครบริจาคเงินให้ศาลมากกว่ากัน โดยเงินนี้ไม่ได้ถึงมือเจ้าที่ ล้วนเข้าสู่คลังของผู้ดูแลศาลทั้งสิ้น
วันนี้ผู้ดูแลศาลกำลังงีบอยู่กลางเรือนของศาลเจ้าที่ ส่วนธุระของศาลย่อมมีคนงานสองคนจัดการอยู่
เดิมทีเพียงพักผ่อน แต่ผู้ดูแลศาลหลับสนิทโดยไม่รู้ตัว
ก๊อกๆๆ…ก๊อก…
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปลุกผู้ดูแลศาลตื่นแล้ว
“ใครกัน ข้าเพิ่งหลับตาลงได้ครู่เดียวเอง!”
ก๊อกๆๆ…
ไม่มีคนตอบความ เสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่ ผู้ดูแลศาลลุกขึ้นจากเตียงด้วยความรำคาญใจอยู่บ้าง จากนั้นเดินไปเปิดประตู
“ใคร”
พริบตาที่เปิดประตูออก ตรงหน้าสายตาเขาไม่มีใครโดยสิ้นเชิง แต่ตอนที่เขากำลังคิดว่ามีใครแกล้งหรือไม่ หางตาพลันเหลือบมองด้านล่าง
เมื่อก้มหน้าลง เขามองเห็นชายชราผู้สูงเกือบครึ่งหนึ่งของเขายืนถือไม้เท้าอยู่ที่ประตู
“เทพเจ้าที่!?”
ผู้ดูแลศาลโพล่งเรียกออกมา แม้เขาอยู่ที่ศาลเจ้าที่ได้เงินไม่น้อย ทว่ากราบไหว้เจ้าที่ทุกวัน ถึงสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงรูปปั้นดิน กระนั้นเห็นตัวเป็นๆ เพียงปลาบเดียวก็จำได้แล้ว
ว่ากันว่าเจ้าที่มากมายมีรูปร่างเตี้ยมาก ที่แท้เป็นความจริง!
“อืม นับว่าเจ้าตาดีทีเดียว!”
เจ้าที่ตอบรับเสียงหนึ่งแล้วไม่กล่าวมากความ เปิดประเด็นตามตรง
“วันนี้จะมีแขกผู้มีเกียรติคนหนึ่งมาเยือน เขาแซ่จี้ เป็นคุณชายสวมเสื้อสีขาวสง่างาม ทว่าไม่รู้ชื่อของเขา เรียกเขาว่าท่านจี้ก็ใช้ได้แล้ว เจ้ารีบเก็บกวาดทำความเรือนพักแขกสงบๆ เรือนหนึ่ง ท่านจี้อาจพักอยู่สักพัก จำไว้ว่าต้องทั้งสงบและสะอาด เร็วหน่อย!”
“ขอรับๆ ข้าจะจัดการเดี่ยวนี้!”
หลังจากผู้ดูแลศาลประสานมือรับคำสั่ง เขาพบว่าเจ้าที่หายไปไม่เห็นแล้ว
“ไอ้หยา…”
ทันใดนั้นผู้ดูแลศาลตื่นขึ้นบนเก้าอี้เอนทำจากไม้ไผ่ บนใบหน้ายังคงมีเหงื่อหลงเหลืออยู่ เขามองภายในเรือนและประตูเรือน กลับไม่พบความเคลื่อนไหวใด
“ฝันหรือนี่ ไม่ถูกต้อง ฝันนี้สมจริงเกินไปแล้ว!”
เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ ผู้ดูแลศาลวัยกลางคนไว้เคราสั้นผู้นี้รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ ม้วนผ้าห่มบนเตียงตนเองขึ้นโดยไม่คิดสักนิด จากนั้นหยิบผ้าห่มผืนใหม่จากในกล่องออกมาเปลี่ยน แล้วเริ่มทำความสะอาดเรือนหลังนี้
ไม่ว่าจะพูดถึงความสงบหรือความสะอาด เรือนของเขานับว่าเหมาะสมที่สุดในศาลแห่งนี้
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าปฏิกิริยาของผู้ดูแลศาลถูกต้องแล้ว อีกทั้งทันเวลาเป็นอย่างยิ่ง
ประมาณหนึ่งเค่อให้หลัง มีคนงานรีบร้อนวิ่งที่เรือนของผู้ดูแลศาล เห็นเขากำลังทำความสะอาดอยู่จึงเคาะประตูอย่างระมัดระวัง
“มีเรื่องอะไร”
“ลุงจ้าว มีคุณชายเสื้อขาวแซ่จี้คนหนึ่งมาพบท่านที่ศาลเจ้าที่ บอกว่าท่านรู้จักเขา”
ผู้ดูแลศาลชะงัก เมื่อตั้งสติได้พลันรีบตอบ
“ใช่ๆ ข้ารู้จักๆ รีบเชิญเขาเข้ามา ไม่สิ ไปเชิญเขากับข้า!”
แม้ผู้มาเยือนนอบน้อมมีมารยาท แต่ผู้ดูแลศาลเครียดเกร็งอย่างเห็นได้ชัด
เรื่องที่ทำได้ล้วนทำไว้ครบพร้อม เขาพาแขกมาพักยังเรือนหลังนี้ อีกทั้งบอกว่าเตรียมอาหารสามมื้อให้แต่ละวันให้เรียบร้อย ยิ่งไม่มีทางมารบกวน
เห็นอีกฝ่ายไม่มีจุดไหนไม่พอใจ นี่นับว่าทำให้ผู้ดูแลศาลสบายใจได้แล้ว จากนั้นความตื่นเต้นที่แทบควบคุมไว้ไม่อยู่เข้ามาแทนที่ ผู้มาเยือนเป็นแขกผู้มีเกียรติซึ่งเจ้าที่มาเข้าฝันไหว้วาน หรือว่าจะเป็นเทพเซียนท่านหนึ่ง
จี้หยวนกลับไม่ยี่หระ พักอย่างสงบอยู่ที่ศาล
ศาลเจ้าที่แห่งนี้น่าประทับใจว่าที่เขาจินตนาการไว้ไม่น้อย เรือนหลังนี้ถึงขั้นอาจดีกว่าห้องพักชั้นบนของโรงเตี๊ยมเสียอีก เรื่องที่เดิมคิดว่าปูเสื่อก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ ตอนนี้กลับรู้สึกว่าได้รับความเพลิดเพลินแล้ว
เมื่อผู้ดูแลศาลไปแล้ว จี้หยวนปิดประตูก่อนนั่งลงกางเทียบเจตกระบี่ไว้บนโต๊ะ
กระเรียนกระดาษในอกเสื้อรีบเบียดร่างออกจากถุงผ้าไหม จากนั้นกางปีกบินมาถึงข้างเทียบอักษร แม้แต่กระบี่เครือเขียวที่เย็นชาก็ปรากฏกายลอยอยู่ข้างหน้าโต๊ะแล้ว
แต่ตอนนี้เทียบเจตกระบี่เงียบกริบเป็นอย่างยิ่ง ตัวอักษรบนนั้นไม่ส่งเสียงแม้สักแอะ เหมือนกับรู้สึกว่าตอนนี้ต้องเตรียมพร้อม รับรู้ความกังวลจากบนเทียบอักษรได้เลยทีเดียว
“เริ่มมีความรู้สึกและความคิดของตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่”
จี้หยวนเอ่ยปากเสียงเรียบ เพื่อไม่ให้ที่นี่กลายเป็นตลาดสด เขาใช้นิ้วมือชี้ตัวอักษร ‘กระบี่’ บนเทียบอักษรทันที
ตัวอักษรกระบี่ลอยไปอยู่มุมหนึ่งของกระดาษ ราวกับลอบมองจี้หยวนครั้งหนึ่ง จากนั้นลอยออกจากกระดาษไป
“เรียนนายใหญ่ พวกข้ามีความรู้สึกเข้าใจอะไรๆ อยู่บ้างประมาณสิบปีก่อน ต่อมาฟังท่านกล่าวมรรคอยู่หลายรอบ ยิ่งอยู่ข้างกายท่านเนิ่นนานเท่าไหร่ก็ยิ่ง…ตื่นรู้! แต่พวกข้าทำได้แค่ฟังและคิด ไม่อาจขยับหรือพูดได้!”
จี้หยวนพยักหน้า มิน่าเล่าเจ้าตัวน้อยเหล่านี้ถึงรู้จักความสามารพิเศษบางอย่างของเขา
“อยู่บนเทียบเจตกระบี่อย่างว่าง่ายไม่ดีหรือ เทียบอักษรนี้อย่างไรก็เป็นบ้านของพวกเจ้า ออกมาแล้วมีแต่ความไม่สะดวก เหตุใดต้องไปเล่า”
คำพูดนี้ไม่พูดออกมายังจะดีเสียกว่า เมื่อถามออกมาแล้ว บนเทียบเจตกระบี่พลันวุ่นวายขึ้นมา
“พวกข้าก็อยากอยู่บนเทียบอักษรนะ!”
“ใช่ แต่ตอนนั้นไม่มีพลังเลย เทียบอักษรหนักเกินไปพวกข้ายกไม่ไหว!”
“อืม มีเทียบอักษรพวกข้าขยับไม่ได้ บินก็ไม่ขึ้นด้วย!”
“ใช่ ต่อมาตามหาอยู่นานมาก หลบลมหลีกฝน จนกระทั่งได้กินหมึกดีถึงมีพลังดูดซับปราณวิญญาณด้วยตนเองบ้าง…”
“นายใหญ่พวกข้าทรมานนัก!”
“นายใหญ่ท่านอย่าโกรธเลย อย่าตำหนิพวกข้าเลย!”
“ตอนนั้นนายใหญ่มอบเทียบอักษรให้คนแซ่เยี่ยน…”
“พวกข้าล้วนรู้สึกว่าท่านไม่ต้องการพวกข้าแล้ว!”
“พวกข้าต้องมาตามหาท่าน!”
“ใช่ สิ่งแรกที่ทำหลังจากขยับได้ก็คือต้องตามหานายใหญ่!”
“ใช่ๆ พวกข้ารู้ว่าท่านจะขึ้นเหนือ!”
“ไม่ใช่ ไปทางตะวันตก!”
“ผิดแล้ว ไปทางเหนือ!”
“ไปทางตะวันตก!”
“โอ้ยเจ้าผิดแล้ว…”
“โอ้ยเจ้าต่างหากที่ผิด!”
…
“ไม่ต้องเถียงกันๆ…”
จี้หยวนหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก เมื่อภายในเรือนสงบลงแล้วยังคงรู้สึกได้ถึงเสียงหึ่งๆ ที่ข้างหู
“เฮ้อ! หลังจากนี้ต้องหนวกหูแล้ว…”
กระเรียนกระดาษตีปีกบินไปทั้งซ้ายและขวาของเทียบเจตกระบี่ แสดงความรู้สึกที่ชัดเจนออกมาแล้ว