เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 390 ฟังมรรคเกิดมายา
ตอนที่ 390 ฟังมรรคเกิดมายา
หลังจากผู้ศรัทธากลุ่มหนึ่งทั้งในและนอกวัดต้าเหลียงทยอยจากไป เสียงจอแจทั้งวัดต้าเหลียงจางลงไปด้วยเช่นกัน ทำให้วัดต้าเหลียงเงียบสงบตั้งแต่ก่อนฟ้ามืดอย่างหาได้ยาก
ตอนนี้ภายในวัดเงียบเสียจนได้ยินเสียงนกร้อง นี่ทำให้เหล่าภิกษุในวัดต้าเหลียงถอนใจโล่งอก ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบเป็นพิเศษ ภิกษุที่แตกฉานในธรรมเหล่านั้นไม่ว่าอยู่ที่มุมไหนของวัดก็ได้ยินเสียงมรรคเลือนรางเป็นระลอก
แอ๊ด…ตึง!
ประตูไม้หนาหนักที่ประตูหลักวัดต้าเหลียงถูกปิดโดยภิกษุร่างกำยำ ท่ามกลางเสียงแอ๊ดนั้น สุดท้ายก็ปิดประตูลงได้แน่นสนิท จากนั้นภิกษุสองรูปข้างในยกท่อนไม้ลงกลอนประตูด้วย
ข้างนอกแขวนป้ายไม้หอมขนาดใหญ่แล้ว บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘วัดขอขอบคุณที่มาสักการะในวันนี้’
ไม่บอกเวลา ไม่ให้เหตุผล แต่ข้างๆ แขวนป้ายทองธรรมบัญชาที่มีวิชาอาคมเอาไว้ เป็นป้ายที่ฮ่องเต้องค์ก่อนของอาณาจักรถิงเหลียงพระราชทานให้นั่นเอง
ราวกับรอให้วัดต้าเหลียงปิดตาย ประตูหน้าและหลังของทั้งวัดปิดได้ไม่นานเท่าไหร่ ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ลานด้านหลังของวัดต้าเหลียง เสียงเสวนามรรคและภาพที่ไม่ธรรมดาเริ่มขึ้นที่ตรงนี้ แสงสลัวอันเกิดจากหมอกยืดขยายพ้นอาณาเขตลานกว้าง ถึงขนาดไปจนถึงลานด้านหน้า ครอบคลุมพื้นที่ประมาณหนึ่งในสองของวัดต้าเหลียง
ภายในอาณาเขตนี้ ยิ่งใกล้ตำแหน่งใจกลางการเสวนามรรค เสียงมรรคและภาพวิเศษที่รับรู้ได้ยิ่งมาก บททดสอบต่อผู้คนยิ่งมากเช่นเดียวกัน
ตอนนี้ท่ามกลางหมู่ภิกษุวัดต้าเหลียงมีเพียงภิกษุฮุ่ยถงที่พอจะฝืนอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลไหว ภิกษุระดับสูงของวัดต้าเหลียงรูปอื่นรวมถึงเจ้าอาวาสชราก่อนหน้านี้ต้านทานไม่ไหวแล้ว หากไม่ออกไปเองก็ถูกภิกษุที่ปิดหูแล้วเข้ามาหามออกไป
ส่วนข้างนอกอาณาเขต ภิกษุทั้งหมดหากไม่หยิบเบาะมาก็นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นเสียเลย ต่างคนต่างนั่งสมาธิอยู่ในระยะที่เหมาะสม และค่อยๆ ขยับห่างออกไปตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ศรัทธาข้างนอกแทบร่วมมือกัน แต่มีคนมาวัดต้าเหลียงมากมายเช่นนี้ทุกวัน ย่อมมีคนหัวขบถและอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง หากคิดว่าตนเองมีความสามารถอยู่บ้างก็จะบุ่มบ่ามได้ง่าย หรือไม่ก็ฝากฝังความหวังให้คนอื่นทำให้ตนเองพึงพอใจ
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามกว่า พระอาทิตย์คล้อยไปทางตะวันตก โดยรอบวัดต้าเหลียงถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางสีทองของอาทิตย์อัสดง เงาที่หน้าวัดถูกยืดออกจนยาวเหยียด วิสัยทัศน์มืดสลัวลงอย่างชัดเจนเช่นกัน
ตอนนี้มีชายตัวเบาหลายคนลอบเข้าใกล้ตลาดที่ไร้ผู้คนข้างนอกวัดจากที่ไกล ที่นี่แม้ไม่มีพ่อค้าและคนเดินตลาดแล้ว แต่ยังมีร้านค้าและแผงลอยตั้งอยู่ไม่น้อย
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้แล้วก็รีบหาเพิงที่อยู่รอบๆ นั่งยองลงใช้เพิงและโต๊ะเก้าอี้ข้างในแทนที่กำบังเพื่อซ่อนตัว
จากตรงนี้มองเห็นวัดต้าเหลียงอยู่ไกลๆ ดูเหมือนว่าด้านหน้าสิ่งก่อสร้างทั้งหมดมืดและเต็มไปด้วยเงา ทว่าแสงตะวันข้างหลังยังคงทอประกาย คล้ายแสงทองด้านบนนั้นแผ่ขยายไปหมื่นจั้งอย่างชัดเจน ให้ความรู้สึกน่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
ชายสวมชุดสีเทาคนหนึ่งยื่นหน้ามองออกไปพักใหญ่ จากสอบถามคนที่อยู่ข้างๆ
“ท่านพี่ ท่านบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับวัดต้าเหลียงกันแน่นะ”
“หากข้ารู้ ข้าจะยังมาทำอะไรอยู่ที่นี่เล่า”
คนที่พูดเป็นชายสวมชุดสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าซูบและไว้เคราหย่อมหนึ่ง
ข้างๆ ยังมีคนสวมชุดสีน้ำเงินพูดแทรกขึ้นมา
“เมื่อครู่นี้วัดต้าเหลียงปกติดีทุกอย่าง แต่จู่ๆ ก็มีภิกษุกลุ่มใหญ่ออกมาเชิญผู้ศรัทธาออกไป ยิ่งใช้ป้ายวัดประจำอาณาจักรที่ไม่เคยแตะต้องมาก่อนหลังจากได้รับพระราชทานเมื่อปีนั้น ชัดเจนว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนยิ่งนัก”
ชายไว้เคราครุ่นคิดเล็กน้อย ทันใดนั้นหน้าเปลี่ยนสี
“พี่ถาน องค์หญิงใหญ่เกิดเรื่องข้างในนั้นหรือไม่”
ทว่าชายชุดสีน้ำเงินส่ายหน้าทันที
“ไม่หรอก ก่อนหน้านี้ข้าถามพี่หกแล้ว พี่หกบอกว่าวันนี้องค์หญิงใหญ่ไปหาไต้ซือฮุ่ยถง ทว่าอีกฝ่ายยังคงต้องรับแขก ดังนั้นกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลชิวนานแล้ว เรื่องภายในวัดน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงใหญ่”
“อืม รอฟ้ามืดอีกหน่อยค่อยเข้าไปดูเถอะ!”
ทั้งสามคนเงียบเชียบอยู่ครู่เดียว เห็นดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงจนหายไป สีท้องฟ้ายามวิกาลเข้มข้นขึ้น
“ท่านพี่ พี่ใหญ่ถาน ข้าได้ยินมาว่าวัดต้าเหลียงมีภิกษุระดับสูงจริงๆ ภิกษุระดับสูงที่กำจัดขับไล่มารผีปีศาจได้ อีกทั้งมีไต้ซือฮุ่ยถงผู้นั้นอีก เล่ากันว่ามีมากกว่าห้าสิบรูปแล้ว ท่าทางเหมือนหนุ่มหล่อที่เพิ่งถึงวัยประดับกวานอย่างไรอย่างนั้น พวกเราเข้าไปเช่นนี้จะไม่มีปัญหาอะไรหรือ”
“ฮ่าๆ น้องหยางพูดถูกต้อง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป พี่หกบอกแล้วว่าภิกษุระดับสูงกำจัดขับไล่ผีปีศาจต้องใช้พุทธธรรม พุทธธรรมส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่ที่มีเลือดลมเต็มเปี่ยมอย่างพวกเราได้ไม่เท่าไหร่ แถมพวกเรามีวิชายุทธ์ติดตัว ด้วยวิชาตัวเบาของพวกเราสามคนแล้ว พวกเราจากไปก่อนที่เหล่าภิกษุจะรู้ตัวอย่างแน่นอน”
“อืม ข้าไม่มีความมั่นใจอย่างอื่น แต่มั่นใจต่อวิชาตัวเบาของตนเองมาก”
ในที่สุดท้องฟ้าก็มืดสนิท ทว่าสำหรับทั้งสามคนแล้ว คืนนี้นับว่างดงามต้องตา เพราะกลุ่มดาวบนท้องฟ้าทอแสงยิ่งกว่าวันที่ผ่านๆ มาเสียอีก
ภายใต้แสงดาวส่องสว่าง โดยรอบสว่างกว่าเวลาพลบค่ำอยู่บ้าง ตอนนี้พวกเขาไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว จะหวังให้มีเมฆหนาในคืนนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้
“พวกเราไปเถอะ จำไว้ว่าต้องย่องเบาที่สุด!”
“อืม!”
สามคนออกจากที่ซ่อนตัว เขย่งเท้าสองสามครั้งก่อนกระโจนตัว เพียงเท่านั้นก็ถึงรอบนอกกำแพงวัดต้าเหลียงแล้ว ทว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่ประตูหลัก กลับอยู่ที่มุมกำแพงด้านข้าง
เห็นป้ายไม้หอมที่วัดต้าเหลียงแขวนไว้ข้างนอกอยู่ไกลๆ ป้ายทองพระราชทานด้านข้างนับว่าน่ามองภายใต้แสงดาว ด้วยป้ายไม้เลี่ยมด้วยสีทอง
“ภิกษุวัดต้าเหลียงไม่กลัวป้ายทองพระราชทานถูกขโมยหรือไร”
“ใครจะไปสนใจเล่า!”
พึมพำเสียงเบาอยู่สองคำ พวกเขาเลียบกำแพงอ้อมไปยังด้านหนึ่งของลานวัด สงบจิตตั้งใจแล้วก็ยังไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ จากข้างใน ดังนั้นหลังจากพยักหน้าให้สัญญาณกันแล้ว พวกเขาก็ข้ามกำแพงไปพร้อมๆ กัน
เหมือนกับนกนางแอ่นที่เบาหวิวสามตัว เมื่อข้ามกำแพงไปแล้วใช้ปลายเท้าแตะพื้น วิชาตัวเบาทำงานร่วมกับกำลังภายใน แทบจะไม่ส่งเสียงใดเลยแม้สักกระผีก
ตรงนี้เป็นลานเล็กที่อยู่ข้างนอกตำหนักพระวิทยาราชนู่มู่ ทั้งสามคนมองไปยังที่ว่างทั้งผืน นอกจากโคมยาวกลางตำหนักที่ส่องสว่างอยู่แล้ว กุฏิหรืออุโบสถอื่นไม่มีแสงไฟเลย
วัดต้าเหลียงในคืนนี้เงียบเชียบเป็นอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งเสียงสวดมนต์ ไร้ซึ่งเสียงระฆังกังวาน
ทว่าทั้งสามคนมีวิชายุทธ์ยอดเยี่ยม อีกทั้งใจกล้า ไม่มีความรู้สึกกลัวแต่อย่างใด อีกอย่างที่นี่คือวัดต้าเหลียง ไม่มีทางมีตัวตนของมารคงอยู่อย่างแน่นอน
วัดต้าเหลียงมีคนมาเยือนมากมาย เพื่อแบ่งจำนวนผู้ศรัทธา ลานต่างๆ ล้วนมีกำแพงล้อมไว้ ทำเช่นนี้แล้วจะลดความรู้สึกแออัดลงไปได้ แม้หลงทางได้ง่ายกว่า แต่ทั่วไปแล้วมีภิกษุคอยท่าอยู่ทุกที่ ช่วยชี้ทางคลายกังวลให้ผู้คนทุกเมื่อ
ทว่าสำหรับทั้งสามคนแล้ว ตอนนี้ไม่มีภิกษุชี้ทางเป็นแน่ เดินผ่านลานหลายลานแล้วก็ยังไม่เจอภิกษุเลยสักรูป
“แปลก ภิกษุวัดต้าเหลียงไปอยู่ที่ไหนกัน”
ชายสกุลหยางที่อ่อนเยาว์กว่าใครก้าวผ่านซุ้มประตูหนึ่ง ทว่าถูกพี่ชายตนเองรั้งไว้ จากนั้นชี้ไปยังมุมหนึ่งข้างหน้า
ทั้งสามคนมองไปทางนั้นอย่างระมัดระวัง เห็นภิกษุสิบกว่ารูปปูเบาะนั่งเรียงรายที่กำแพงทางนั้น บ้างก็อยู่ในท่วงท่าสงบนิ่ง บ้างก็พิงกำแพงเหมือนกับหลับไปแล้ว
“เอาอย่างไรดี”
“ไม่ต้องไปรบกวนพวกเขา พวกเราอ้อมไปอีกทางหนึ่งเถอะ”
พวกเขาเปลี่ยนทิศทาง อยากเดินลึกเข้าไปในวัดอีก หลังจากอ้อมจุดหนึ่งไปแล้ว ทางนั้นยังคงมีภิกษุนั่งสมาธิจึงเปลี่ยนทิศทางอีกหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งพบภิกษุหนึ่งหรือสองรูป หลายครั้งพบภิกษุสิบกว่ารูป ส่วนใหญ่นั่งพิงกำแพงอยู่รอบนอก
หลังจากนั้นนานทีเดียว พวกเขาสามคนพิงกำแพงจุดหนึ่งทางตะวันตก ข้างหน้ามีภิกษุสองรูปนอนอยู่บนพื้น
“พวกเขาเหมือนกับล้อมกันเป็นวงกลม แต่ไม่เห็นภิกษุชราเลยสักรูป ล้อมข้างในไว้แบบนี้แปลกมาก!”
“ใช่ พวกเราเข้าไปจากตรงนี้เถอะ!”
ปรึกษากันเพียงไม่นาน สามคนไม่หยุเฝีเท้า เหาะข้ามกำแพงที่ภิกษุหมดสติไปอย่างกับนกนางแอ่นสามตัว อีกทั้งกระโดดไกลสี่ห้าจั้งเข้าไปที่ลานด้านหลัง
มองดูรอบๆ แล้วไม่มีความผิดปกติ สามคนจึงเดินหน้าต่อไป ทว่าขณะเดินอยู่นั้นบุรุษที่อายุน้อยที่สุดเริ่มสะบัดศีรษะอยู่บ่อยครั้ง
“เจ้าเป็นอะไรไป”
“ท่านพี่ เหมือนกับมีเสียงท่องกลอนดังอยู่ข้างหูตลอดเลย เดี๋ยวสั้นเดี๋ยวยาว ฟังแล้วเวียนศีรษะมาก”
“มีเสียงท่องกลอนที่ไหน อย่ามาพูดมั่ว ตั้งสติหน่อย!”
เดินไปได้อีกพักหนึ่ง คราวนี้ชายสกุลหยางที่ไว้เคราเล็กๆ เห็นความผิดปกติแล้ว พวกเขาผ่านสระน้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่ง กลับพบว่าดอกบัวกลางสระน้ำกำลังผุดออกจากผิวน้ำ จากนั้นเบ่งบานเป็นดอกบัวทองหลายดอกในทันที ยิ่งได้กลิ่นหอมสายหนึ่งด้วย
“ดอกบัวทอง?”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยความประหลาดใจ จากนั้นใช้วิชาตัวเบาเหาะไป คิดเด็ดดอกบัวทองออกจากใบบัวสักดอกหนึ่ง…
ตูม…
น้ำกระเด็นทำเอาสระน้ำปั่นป่วน ในสระน้ำไหนเลยจะมีดอกบัว ไหนเลยจะมีดอกบัวทองเบ่งบาน
“ชู่…น้องหยางเจ้าทำอะไร”
“ดอกบัวทอง มีดอกบัวทองบานอยู่!”
“ไหนเลยจะมีดอกบัวทองอะไร เจ้าถูกปีศาจครอบงำหรือ รีบลากพี่ชายเจ้าออกมา!”
สองคนลากชายหนุ่มไว้เคราขึ้นจากสระน้ำที่ไม่ใหญ่มาก ขณะเดียวกับตบหน้าให้อีกฝ่ายได้สติ จากนั้นเดินไปข้างหน้าต่อ ระหว่างทางเห็นภิกษุไม่ได้สติอีอหลายคน แต่แม้พวกเขาหมดสติไปแล้ว กลับยังคงมีใบหน้าสงบพร้อมรอยยิ้ม
ถึงตรงนี้แล้วไม่ใช่ใครบางคนเกิดภาพหลอน แสงสีรุ้งเลือนรางหลายสายแหวกว่ายไปรอบๆ แสงดาวบนท้องฟ้าระยิบระยับ เหมือนกับฝนสีเงินตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
ในหูมีเสียงสนทนาที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย บางครั้งเหมือนกับฟ้าร้อง บางครั้งเหมือนกับเสียงน้ำพุเสนาะหู บางครั้งเหมือนกับภิกษุชราสวดมนต์ และบางครั้งเหมือนกับนักปราชญ์เล่นพิณบนภูเขาพร้อมน้ำไหลริน
สามคนหยุดฝีเท้าแล้ว ทั้งการมองเห็นและการได้ยินจมสู่ความสั่นสะท้านที่รุนแรง
มีอยู่หลายครั้งที่มองเห็นภาพมายาของสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่แหวกว่ายอยู่กลางอากาศ ตกลงมาจากฟ้าแล้วเฉียดข้างกายไป อีกทั้งเห็นกระเรียนเซียนร่ายรำก่อนกลายร่างเป็นเซียนพร้อมเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาแทบส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ ทว่าใช้ความสงบนิ่งที่ยังพอมีควบคุมตนเองเอาไว้
“เซียน พุทธ วิญญาณ ปีศาจ มาร…สิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกล้วนมีจิตใจใฝ่มรรค”
“คำพูดนี้ของท่านผิดไปหน่อย เซียน พุทธ วิญญาณ ปีศาจ และบางสิ่งบางอย่างไม่ว่า ทว่ามารกลับไม่น่าเป็นเช่นนั้น!”
“ที่ไต้ซือพูดก็มีเหตุผลเช่นกัน เช่นนั้นข้าคนแซ่จี้จะปรับแก้สักหน่อย มารส่วนหนึ่งมีใจใฝ่มรรค เช่นเดียวกับมารที่หมกมุ่นในความชั่วร้าย ผู้มีจิตใจไม่มั่นคงย่อมไม่อาจประสบความสำเร็จได้”
“ถูกต้อง! ถ้าคนไม่มีความคิดเรื่องชีวิต ก็ไม่สามารถให้กำเนิดมารได้ ถ้าคนมีความคิดสุดโต่ง ย่อมก่อกำเนิดมารด้วย แสวงหาทองคำเงินตรา แสวงหาอำนาจบารมี ความต้องการเป็นอมตะยิ่งเข้มข้น…”
เสียงนี้ดังมา ความคิดของยอดฝีมือวิชายุทธ์ที่หลงเข้ามายิ่งสับสนวุ่นวาย คล้ายกับความปรารถนาบางอย่างในใจถูกปลุกขึ้น ทว่ามีคนข้างๆ คอยเตือนสติให้อยู่กับร่องกับรอย
“อ๊าก…ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”
ชายหนุ่มสกุลหยางเหวี่ยงหมัดไปทั่วอย่างอดไม่อยู่ ทำเอาพี่ชายและสหายของตนเองที่กำลังซวดเซต้องถอยไปหลายก้าว ทว่าสองคนกลับยังคงไม่ได้สติเต็มที่ กลับเดินวนเวียนไปมาอยู่รอบๆ เหมือนกับเมาสุรา เดี๋ยวก็ดีใจมาก เดี๋ยวก็อยากร้องไห้
“นะโนพระวิทยาราช! โยมสามคนไม่ควรมาที่นี่!”
ภิกษุชรารูปหนึ่งปรากฏตัวที่ลาน ลงมือหยุดทั้งสามคนไว้ทันที จากนั้นกดจุดบนตัวอีกฝ่าย กระตุ้นจุดลมปราณก่อนเติมปราณวิญญาณเข้าไปเล็กน้อย
“ไต้ซือ…”
ชายหนุ่มสกุลถานมองภิกษุชราตรงหน้าอย่างงุนงง
“โยมทั้งสาม นี่เป็นเหตุผลที่วัดต้าเหลียงของอาตมาปิดประตูเชิญผู้ศรัทธาออกไป พวกโยมก็รีบไปเถอะ!”
“ได้ๆๆ! พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
“ใช่ๆ พวกข้าจะไปทันที!”
“ขออภัยๆ พวกข้าจะไปแล้ว!”
สามคนเห็นภิกษุรูปนี้ไม่ได้ตำหนิพวกเขาแล้ว พลันรีบเหาะออกไปราวกับได้รับนิรโทษกรรม ใช้วิชาตัวเบาจนถึงขีดสุด พาตนเองออกจากขอบเขตของความเวียนศีรษะก่อนหน้านี้ จากนั้นจากวัดต้าเหลียงไปไกลโดยไม่หันกลับไปมอง