เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 391 เสียงมรรคยับยั้งเสียงระฆัง
ตอนที่ 391 เสียงมรรคยับยั้งเสียงระฆัง
ภายใต้สภาพแวดล้อมของการเสวนามรรคในตอนนี้ ความจริงแล้วความเคลื่อนไหวทุกหย่อมหญ้าในอาณาเขตของวัดล้วนอยู่ในความรู้สึกของจี้หยวนและภิกษุชราฝออิ้น จึงรู้เรื่องที่วัดต้าเหลียงเชิญผู้ศรัทธากลับและสามคนมาเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน
วัดต้าเหลียงเชิญผู้ศรัทธากลับและปิดประตูวัด ทำให้ทั้งสองคนยิ่งผ่อนคลายลงมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางปรากฏสถานการณ์ภาพมายายืดขยายเป็นแน่
หลายปีมานี้จี้หยวนชินกับอภินิหารจากเขตแดนในกายตนเองแล้ว วิวัฒน์ฟ้าดินไม่เพียงเป็นไฟในเตาสีเขียวบริสุทธิ์ หากมีปฏิกิริยาตอบรับระหว่างการเสวนามรรค ก็จะปรากฏขึ้นเพื่อสนับสนุนข้อโต้แย้งโดยธรรมชาติ
กอปรกับมีปัจจัยของวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินที่อนุมานขึ้นเมื่ออยู่ที่อารามเขาเมฆาอยู่ด้วย แสงดาวบนท้องฟ้าเหมือนกับตอบรับ มีพลังจากดวงดาวตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่จี้หยวนไม่คาดคิดก็คือ ฟ้าดินภายในกายภิกษุชราฝออิ้นก็มีเขตแดนที่ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน ระหว่างเสวนามรรคเกิดภาพพิสดารไม่หยุดหย่อน มีดอกไม้ มีต้นไม้ มีอาทิตย์อัสดง และมีเสียงธรรม
นี่เหมือนกับคู่ต่อสู้บนกระดาษหมากรู้กลยุทธ์ของตนเองดี เป็นความรู้สึกที่จี้หยวนไม่เคยสัมผัสมาก่อนเวลาเสวนามรรคกับมังกรเฒ่า แม้จี้หยวนรู้ว่าภิกษุชราฝออิ้นไม่มีทางมีเขตแดนที่เหมือนกับฟ้าดินของจริง แต่นี่ก็น่าตื่นตะลึงมากแล้ว
ในวัดต้าเหลียงตอนนี้มีภิกษุชราไม่น้อยที่ไม่ต่างอะไรกับนักดับเพลิง ปิดกั้นทวารจุดลมปราณด้วยตนเอง ลดผลกระทบจากการเสวนามรรคให้เหลือน้อยที่สุด และพยายามมองข้ามภาพมายาทุกอย่าง เพื่อช่วยเหลือภิกษุรูปอื่นภายในอาณาเขตที่การเสวนามรรคส่งผลกระทบถึง
ภิกษุที่หมดสติอย่างสิ้นเชิงถูกส่งไปยังสถานที่รอบนอกซึ่งไม่ได้รับผลกระทบ เพราะกุฏิล้วนอยู่ที่ลานด้านใน ดังนั้นทำได้เพียงพาตัวออกมาที่อุโบสถที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเสวนามรรค
ส่วนภิกษุที่ได้รบผลกระทบค่อนข้างน้อย ทว่าซวดเซอยู่บ้างถูกจูงออกไปไกลหน่อย หรือไม่ก็ปลุกพวกเขาให้ออกไปด้วยตนเอง
ยอดฝีมือที่ตื่นตกใจจนเตลิดออกจากวัดไปสามคนนั้น จนกระทั่งผ่านตลาดข้างนอกวัดออกจากวัดต้าเหลียงไกลมากแล้วถึงถอนหายใจโล่งอกได้อย่างแท้จริง
ตอนนี้สามคนหอบหายใจเล็กน้อยพลางสบตากัน จากนั้นหันกลับไปมองทางวัดต้าเหลียง เพียงรู้สึกว่าออกจากขอบเขตของวัดต้าเหลียงแล้ว รอบข้างมืดลงไม่น้อย กระนั้นทางวัดต้าเหลียงเหมือนกับถูกปกคลุมด้วยแสงดาวคลุมเครือชั้นหนึ่ง
“เมื่อกี้นี้…พวกเจ้าก็มองเห็นกระมัง”
“อืม ยากจะลืมลงได้”
“ข้าก็เหมือนกัน เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
ตอนนี้ในใจพวกเขาสามคนยังคงมีเสียงแปลกและดังก้องสะท้อนอยู่รางๆ ไม่จางหายไป
“ไป กลับไปรายงานท่านอ๋องหก”
กำแพงเมืองจังหวัดถงชิวห่างจากวัดต้าเหลียงเพียงผืนป่ากั้น รวมถึงหมู่บ้านและทุ่งนาจำนวนหนึ่ง ระยะทางประมาณไม่ถึงสิบลี้ ชาวบ้านทั่วไปเดินเท้าครึ่งชั่วยามจากตัวเมืองก็ถึงประตูวัดต้าเหลียงแล้ว ทว่าสามคนนี้มีวิชาตัวเบาระดับสุดยอด ไม่นานเท่าไหร่ก็ถึงกำแพงเมืองจังหวัดถงชิวแล้ว ก่อนจะตีลังกาไปยังกำแพงเมืองที่จัดไฟไว้ทางตะวันตก
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อกว่า ภายในโถงรับแขกของจวน ชายร่างอวบอ้วนอายุประมาณห้าสิบกว่าปีคนหนึ่งฟังสามคนรายงานอย่างคร่าวๆ สีหน้าเขาตื่นตะลึงอยู่บ้างอย่างชัดเจน ถือจอกชาหนึ่งไว้ในมือไม่ขยับเสียเนิ่นนาน
“พวกเจ้าหมายความว่าภายในวัดต้าเหลียงนั้น ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งมองเห็นภาพมายามากมาย ได้ยินเสียงที่แปลกทว่าน่ากลัวต่างๆ นานาอย่างนั้นหรือ”
ชายตระกูลถานขมวดคิ้ว กล่าวแก้ไขว่า
“เรียนท่านอ๋องหก เสียงนั้นไม่ได้น่ากลัว แต่ว่าแปลกเป็นอย่างยิ่ง พวกข้าใช้ปราณแท้ปิดหูแล้วกลับไม่ได้ผล ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเวียนศีรษะ ภาพมายาตรงหน้าก็ยิ่งมากขึ้น”
“ถูกต้องท่านอ๋องหก ภาพมายาที่ข้ามองเห็นก่อนหน้านี้เป็นดอกบัวทองเบ่งบานกลางสระน้ำ ที่น่าแปลกคือแม้คนอย่างข้าไม่ได้เกลียดดอกบัว แต่ก็ไม่ถึงกับมองเห็นดอกบัวทองแล้วอยากไปเด็ดมา ทว่าตอนนั้นข้ากลับพุ่งลงสระน้ำ เหมือนกับว่าหากไม่ได้ดอกบัวทองเหล่านั้นมาแล้วจะต้องตายแน่ๆ จากนั้นก็กระโดดลงน้ำไปทันที”
“ใช่ ข้ากับพี่ใหญ่ถานคิดว่าท่านพี่ตกน้ำแล้วจะได้สติเต็มที่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะอิดออดอยู่ในน้ำไม่ยอมขึ้นมา ปากพร่ำบอกว่าต้องการดอกบัวทองนั่น”
ชายที่ถูกเรียกว่าอ๋องหกยกจอกชาขึ้น เป่าใบชาที่ลอยอยู่ด้านบนก่อนดื่มน้ำชาแก้กระหาย แววตาจับจ้องตะเกียงที่อยู่ข้างกาย
“มีเรื่องพรรค์นี้ด้วย…สมแล้วที่วัดต้าเหลียงเป็นวัดประจำอาณาจักรที่ได้รับพระราชทานป้ายทองจากฮ่องเต้ วัดต้าเหลียงปิดวัดในครั้งนี้เหมือนเป็นพลังจากเทพหรือเซียนเลยจริงๆ…”
พูดกับตนเองถึงตรงนี้แล้ว บุรุษผู้นั้นหันไปมองสามคนที่คอยท่าอยู่ข้างๆ
“ลำบากพวกเจ้าแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ เรื่องหลังจากนี้พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว”
“ขอรับ!”
สามคนตอบเป็นเสียงเดียวกันก่อนรีบร้อนจากไป ความจริงความรู้สึกเวียนศีรษะยังคงอยู่ ตอนนี้พวกเขาจำเป็นต้องหลับให้เต็มตาสักตื่นอย่างเร่งด่วน
เมื่อทั้งสามคนไปแล้ว ชายที่ถูกเรียกว่าอ๋องหกกลับไปที่ห้องหนังสือทันที องค์หญิงที่นอนอยู่บนเตียงยื่นศีรษะออกมา มองขื่อเรือนและเพดานอย่างเหม่อลอย
“ฮุ่ยถงกำลังทำอะไรอยู่นะ…ภายในวัดต้าเหลียงเกิดอะไรขึ้นกันนะ…”
…
วัดต้าเหลียงนับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังในจังหวัดถงชิวอย่างแน่นอน ไม่เพียงชาวบ้านภายในและภายนอกกำแพงเมืองจังหวัดถงชิวชอบมากราบไหว้ขอพรที่วัดต้าเหลียง แม้คนต่างถิ่นมาถึงอาณาเขตของจังหวัดถงชิว วัดต้าเหลียงก็เป็นสถานที่ที่ต้องไป
ทว่าวันหนึ่งของต้นเดือนสิบ หลังจากที่จู่ๆ วัดต้าเหลียงปิดวัด ห้าวัน สิบวัน ยี่สิบวันก็แล้ว ประตูหลักวัดต้าเหลียงก็ไม่ได้เปิดอีก
มีภิกษุในวัดต้าเหลียงออกไปซื้อผัดสดและผลไม้ข้างนอก คนภายนอกถึงรู้ว่าภิกษุภายในวัดต้าเหลียงล้วนอยู่ดีมีสุข
วัดต้าเหลียงไม่เปิด ข่าวลือเรื่องมรรคต่างๆ นานาจากชาวบ้านแพร่กระจายออกไป วิพากษ์วิจารณ์จนเกิดหนังสือขึ้นหลายเล่ม
บ้างบอกว่าวัดต้าเหลียงกำลังต้อนรับราชนิกูล บ้างบอกว่าเจ้าอาวาสวัดต้าเหลียงมรณภาพ และมีบ้างที่บอกว่าอาจะเป็นเพราะหลายปีมานี้วัดต้าเหลียงต้อนรับผู้ศรัทธาถี่เกินไป เหล่าภิกษุต้องการเวลาพักสักครู่
เพราะถึงแม้ภิกษุวัดต้าเหลียงออกมาซื้อของข้างนอก แต่ก็ไม่ได้พูดเรื่องภายในวัดกับใครเลย อย่างมากตอนมีคนถามว่าเจ้าอาวาสยังแข็งแรงดีหรือไม่ ก็ยังคงตอบด้วยความจำใจว่าสบายดี
ภายในวัดต้าเหลียงไม่มีภิกษุที่สามารถอยู่ภายในขอบเขตเสียงเสวนามรคได้นาน ถึงเป็นฮุ่ยถงก็ออกจากขอบเขตนั้นนานแล้ว พวกเจ้าอาวาสก็ไปนั่งสมาธิในอุโบสถรอบนอกแล้วเช่นกัน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะได้ยินอีกหลังจากตื่นนอน ไม่มีการฝึกปราณขัดเกลาจิตใจ ฝืนตั้งใจฟังหลังจากนั้นอาจไม่ได้ยินอะไร แถมที่เคยฟังก่อนหน้านี้ก็ลืมสิ้น เสียมากกว่าได้ ยิ่งนานไปยิ่งลึกซึ้ง หากจะใช้คำพูดมาอธิบายคงเป็น ‘ไม่ใช่สิ่งที่คนจะฟังได้เลย’
เวลาล่วงเลยไปเดือนกว่า การเสวนามรรคของภิกษุชราฝออิ้นและจี้หยวนในครั้งนี้จบลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์อย่างยิ่งยวด และจำต้องวิเคราะห์สิ่งที่ได้รับตอนนี้อย่างดี เพื่อเปลี่ยนเป็นตัวช่วยการฝึกปราณหรือฝึกจิตใจ
เสียงของทั้งสองคนหยุดแล้ว แต่ความรู้สึกขมุกขมัวเหมือนมีหมอกหนาปกคลุมทั่วทั้งวัดต้าเหลียงกลับไม่ได้จางไป ถึงใช้สายตาของจี้หยวนและภิกษุชราฝออิ้นมองดู ท่ามกลางหมอกนี้ยังคงเกิดภาพมายา มีภิกษุเดินธุดงค์ มีมังกรบินว่อน และมีภาพงดงามอย่างดาวตกส่องแสงต้องตา ดอกไม้บานสะพรั่ง
ภิกษุชราฝออิ้นและจี้หยวนล้วนยืนขึ้นบนเบาะ คนหนึ่งพนมมือ คนหนึ่งประสานมือโค้งตัว
“ได้เสวนามรรคกับท่านจี้ ถือว่ามีประโยชน์ต่อการฝึกปราณไปอีกร้อยปี!”
เสียงสงบนิ่งของภิกษุชรามีความปีติยินดีที่ปิดบังไว้ไม่มิด จี้หยวนเองก็ตอบรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นกัน
“ไต้ซือชมเกินไปแล้ว ได้เสวนามรรคกับไต้ซือครั้งนี้ จี้หยวนได้รับประโยชน์มากกว่าร้อยปีเสียอีก!”
สองคนต่างก็เยินยอกันและกัน ทว่าทั้งคู่พูดความจริง ถึงขั้นที่ว่าจี้หยวนและภิกษุชราฝออิ้นมีความรู้สึกเดียวกัน หากฝ่ายแรกเสวนามรรคกับเซียน หรือฝ่ายหลังเสวนามรรคกับพระวิทยาราชรูปอื่น ก็อาจจะไม่ได้รับประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมและลึกซึ้งเช่นการเสวนามรรคในครั้งนี้
ทุกวันนี้พูดได้แค่ว่าเวลา สถานที่ และผู้คนเอื้อเฟื้อ และการรวมกันของทั้งสามอย่างนี้เป็นโชคชะตาที่เผชิญได้แต่ไม่อาจไขว่คว้าได้
ตอนนี้เป็นช่วงอรุณรุ่ง ดวงอาทิตย์โผล่ออกมามุมหนึ่ง ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเพิ่งมีแสงสีทองรางๆ
ภิกษุชรามองไปทางหอระฆังของวัด จากนั้นมองไอหมอกที่อยู่รอบข้าง สุดท้ายถึงกล่าวกับจี้หยวนว่า
“สิ่งที่ท่านและอาตมาทิ้งไว้ไม่ยอมจางไป ระฆังยามเช้าของวัดต้าเหลียงในวันนี้ ท่านอยากเป็นคนตีหรือไม่”
จี้หยวนยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ไต้ซือตีเองดีกว่า ถึงอย่างไรหลังจากนี้วัดต้าเหลียงก็นับเป็นหนึ่งในลานธรรมขนาดย่อมของท่านแล้ว”
“ฮ่าๆๆ จากนี้อาจไม่ย่อมก็ได้!”
ภิกษุชราฝออิ้นเดินอย่างช้าๆ ฝ่ายจี้หยวนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ไม่จากไปไหน หลังจากนั้นเสียงระฆังก้องกังวานของวัดต้าเหลียงก็ดังขึ้น
เสียงระฆังดังไปไกลมาก นอกจากดังไปทั่วทั้งวัดต้าเหลียงแล้ว ยิ่งดังออกไปนอกวัด ดังออกไปถึงหมู่บ้านแสนไกล ถึงขนาดได้ยินรางๆ ถึงกำแพงเมืองจังหวัดถงชิว
เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ไอหมอกที่ปรากฏแสงประหลาดท่ามกลางความขมุกขมัวในวัดก็ค่อยๆ จางลงไปในที่สุด แต่จี้หยวนคิดว่าไอหมอกไม่ได้หายไปอย่างแท้จริง หากวันใดสภาพอากาศเป็นใจทำให้เกิดหมอกที่วัดต้าเหลียง ไม่แน่ว่าอาจเกิดอภินิหารใดขึ้นอีกก็เป็นได้
แม้เป็นเพียงความคิดในใจจี้หยวนในชั่วขณะหนึ่ง แต่ความรู้สึกเพียงพริบตาเดียวนี้ก็แม่นยำเหลือเกิน
ภิกษุหลายรูปของวัดต้าเหลียงได้สติกันหมดแล้ว ตระหนักได้ว่าการเสวนามรรคของผู้สูงส่งมรรคเซียนและมรรคพุทธจบลงแล้ว
ชาวบ้านรอบๆ และคนในจังหวัดถงชิวส่วนใหญ่ยังไม่ตื่นนอน แต่ก็มีคนได้ยินเสียงระฆังดังก้องแล้วตื่นขึ้นทันที อีกทั้งเงี่ยหูฟังเสียงด้วย
ทว่าเวลานี้คนส่วนใหญ่ไม่แน่ใจว่าเสียงระฆังดังมาจากที่ไหน ถึงขนาดไม่รู้ว่าตนเองหูแว่วหรือไม่ จนกระทั่งฟ้าสว่างแล้วสนทนากับผู้อื่นถึงรู้ว่ามีคนได้ยินเสียงเช่นเดียวกัน
หลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่นัก วัดต้าเหลียงส่งข่าวว่าต้อนรับผู้ศรัทธาอีกครั้งออกไป ผู้คนอดเชื่อมโยงเสียงระฆังเข้ากับวัดต้าเหลียงไม่ได้ รวมถึงเรื่องเกิดหมอกหนาและแสงสีรุ้งอัศจรรย์ชั้นหนึ่งด้วย