เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 392 กำเนิดวิชาอัศจรรย์
ตอนที่ 392 กำเนิดวิชาอัศจรรย์
เมื่อภิกษุชราฝออิ้นตีระฆังเสร็จแล้ว ตอนกลับถึงใต้ต้นไม้ที่เสวนามรรคกับจี้หยวน เห็นภิกษุระดับสูงของวัดต้าเหลียงที่มีพุทธธรรมอยู่บ้างรวมกลุ่มกันอีกครั้ง ส่วนจี้หยวนยืนมองต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ในลาน
ต้นไม้ต้นนี้สูงเกือบยี่สิบหมี่ เมื่ออยู่ท่ามกลางสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้สูงเท่าไหร่จึงดูโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
ภิกษุรอบๆ ไม่มีใครพูดจา เพียงทำความเคารพภิกษุชราฝออิ้น ฝ่ายจี้หยวนพลันถามขึ้นมา
“ต้นไม้ต้นนี้ใช่ต้นโพธิ์หรือไม่”
จี้หยวนคุ้นตาต้นไม้ต้นนี้อยู่บ้าง ต้นไม้สูงที่คล้ายกับต้นไทรอยู่บ้างต้นนี้ ไม่รู้ว่าใช่ต้นโพธิ์เช่นเมื่อชาติก่อนหรือไม่
“ต้นโพธิ์?”
ภิกษุชราฝออิ้นงุนงง จากนั้นมองต้นไม้ต้นนี้
“ต้นไม้นี้น่าจะมีชื่อว่าต้นมะเดื่อ ไหนเลยจะชื่อว่าต้นโพธิ์ได้”
จี้หยวนพลันตระหนักได้ว่าวัฒนธรรมที่นี่ไปจนถึงระดับความรู้หลายๆ อย่างใกล้เคียงกับชาติก่อน แต่ศาสนาพุทธที่นี่น่าจะไม่รู้เรื่องของพระศรีศากยมุนี
จี้หยวนพยักหน้า พูดว่า “ที่แท้เป็นต้นมะเดื่อ” จากนั้นก็ไม่พูดมากอีก
“ท่านจี้ โพธิ์หมายความว่าอย่างไร การออกเสียงค่อนข้างคุ้นเคยอยู่บ้าง”
จี้หยวนมองภิกษุชราฝออิ้น หวนรำลึกถึงข้อมูลบางอย่างจากชาติก่อนเล็กน้อย
“โพธิ์นับว่าเป็นการทับศัพท์จากภาษาถิ่นอันห่างไกล หมายถึงการตรัสรู้และปัญญา”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
ภิกษุชราฝออิ้นไม่ได้พูดอะไรมากอีก หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มขึ้น จากนั้นบอกลาจี้หยวนและเหล่าภิกษุวัดต้าเหลียง เพื่อกลับเกาะไอหมอกประจิมโดยตรง
…
ในคฤหาสน์บุปผาเบ่งบาน สาวใช้ที่เดินที่ออกไปซื้อของข้างนอกวิ่งจากลานด้านหน้าไปยังลานด้านหลังด้วยความตื่นเต้น
นางวิ่งไปพลาง ตะโกนเรียกด้วยความตื่นเต้นไปพลาง
“เรียกอะไร มีเรื่องอะไรดีใจปานนี้”
ด้านนอกเรือนที่จำลองตามอุโบสถตรงลานด้านหลัง นางกำนัลมองสาวใช้ที่วิ่งสั้นๆ เข้ามา มุ่นคิ้วตะคอกไปเสียงหนึ่ง ส่วนภายในเรือนด้านหลังนั้น องค์หญิงใหญ่ฉู่หรูเยียนเดินออกมาแล้วเช่นกัน
“มีเรื่องอะไร”
“องค์หญิงใหญ่ พรุ่งนี้วัดต้าเหลียงจะเปิดอีกครั้งแล้ว ได้ยินมาว่าหลายต่อหลายคนได้ยินเสียงระฆังวัดตอนเช้าตรู่ คนไม่น้อยที่ตลาดข้างนอกบอกว่าจะไปจุดธูปพรุ่งนี้เพคะ!”
องค์หญิงใหญ่มีใบหน้ายินดี
“จริงหรือ”
“จริงแท้แน่นอนเพคะ ข้าได้ยินข่าวแล้วจึงค้นหาทั่วตลาด พบภิกษุวัดต้าเหลียงที่ออกมาซื้อของหลายรูป ได้ยินพวกเขายืนยันจากปา พรุ่งนี้วัดต้าเหลียงจะเปิดประตูต้อนรับผู้ศรัทธาเข้าไปจุดธูปอีกครั้ง!”
แปะ…
ฉู่หรูเยียนปรบมืออย่างแรงครั้งหนึ่ง
“ดียิ่งนัก! เตรียมรถเดี๋ยวนี้ พวกข้าจะไปวัดต้าเหลียงกันเลย!”
“ทว่าองค์หญิงใหญ่ วัดต้าเหลียงจะเปิดพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือเพคะ”
องค์หญิงใหญ่ยิ้มพลางโบกมือให้สาวใช้
“นั่นสำหรับคนทั่วไป วัดต้าเหลียงเปิดได้พรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เพียงแต่ต้องเตรียมการต้อนรับผู้ศรัทธาอีกครั้งเท่านั้น วันนี้พวกเราไปต้องไม่มีปัญหาแน่! รีบสั่งคนไปเตรียมรถเถอะ”
สาวใช้ยิ้ม รีบกล่าวว่า “เพคะ” ด้วยรับคำสั่งเรียบร้อย
“องค์หญิง ไปเช่นนี้ไม่รีบร้อนไปหน่อยหรือเพคะ”
“ไม่เป็นไร หากไม่สะดวกจริงๆ อย่างมากพวกเราก็แค่กลับมาเท่านั้น อีกทั้งฝ่าบาทสนใจเรื่องของวัดต้าเหลียงเป็นอย่างยิ่ง ส่งสาส์นถามเรื่องของวัดต้าเหลียงตั้งนานแล้ว ให้ข้าติดตามข่าวให้มากหน่อย นับว่าข้าเป็นกังวลแทนฝ่าบาทแล้วกัน!”
เรื่องที่เห็นในวัดต้าเหลียงเมื่อครั้งก่อน ฉู่หรูเยียนและนางกำนัลไม่ได้แพร่งพราย แต่จู่ๆ ฮ่องเต้ซึ่งเป็นน้องชายของนางสนอกสนใจวัดต้าเหลียงเป็นอย่างยิ่ง สั่งม้าเร็วส่งสารถึงนางโดยเฉพาะเพื่อสอบถามสถานการณ์ของวัดต้าเหลียง นางจึงถือโอกาสเล่าความรู้สึก ‘ทุกคนเมามาย มีแต่ข้าตื่นเต็มตา’ ในครั้งนั้น
จาดนั้นฮ่องเต้ยิ่งสนใจแล้ว ขอให้พี่สาวตนเองสนใจวัดต้าเหลียงมากหน่อย
สาวใช้ทำได้เพียงยิ้ม เหตุผลนี้ขององค์หญิงดูน่าฟังทีเดียว
ความจริงตอนเตรียมรถม้าใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ ไม่เพียงทำความสะอาดรถม้ารอบหนึ่ง ตั้งแต่พลขับจนถึงข้ารับใช้ ตั้งแต่ผลไม้และขนมที่นำไปด้วยตนเองจนถึงข้าวของอย่างธูปหอมก็เตรียมไว้พร้อมสรรพ ถึงขนาดเตรียมสุราดีอีกสองกาด้วย
ทว่าใช่ว่าเตรียมรถม้าเสร็จแล้วจะออกเดินทางได้ทันที เพราะองค์หญิงใหญ่ฉู่หรูเยียนจำเป็นต้องแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นอย่างดี โดยเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ
เมื่อองค์หญิงใหญ่ประทินโฉมและปักปิ่นไข่มุกที่เหมาะสมตรงหน้ากระจกแล้ว สาวใช้สองคนที่คอยช่วยเหลือนางข้างๆ ถอยออกไป ฝ่ายแรกหันไปถามนางกำนัลว่า
“เป็นอย่างไร สวยหรือไม่”
“สวยๆๆ พวกเรารีบไปกันเถอะเพคะ!”
นางกำนัลกล่าวอย่างขอไปที ความจริงนางมองไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่านอกจากปิ่นไข่มุกและเครื่องประดับแล้ว การประทินโฉมขององค์หญิงก่อนหน้านี้กับตอนนี้แตกต่างกันที่ตรงไหน
รถม้าทั้งหมดสองคันออกจากคฤหาสน์ จากนั้นห้อตะบึงไปทางประตูเมืองฝั่งตะวันตก ด้านข้างทหารม้าซ้อนท้ายนางกำนัลติดตามอยู่ไม่น้อย
ประมาณหนึ่งเค่อกว่า รถม้าถึงตลาดที่ยังคงว่างเปล่าข้างนอกวัดต้าเหลียงแล้ว ก่อนจะถึงด้านนอกประตูใหญ่หนาหนักของวัดต้าเหลียง
ป้ายไม้ปิดวัดแผ่นนั้นและป้ายทองพระราชทานถูกปลดออกแล้ว มีภิกษุกำลังจับไม้กวาดทำความสะอาดลานกว้างที่หน้าประตูลานอยู่ ทำความสะอาดจำพวกใบไม้ร่วงที่ถูกลมพัดมา อย่างไรเสียหลายสถานที่นี้ก็ไม่ได้ทำความสะอาดมาเกือบเดือนกว่าแล้ว
เมื่อเห็นรถม้าเข้ามาใกล้ และเมื่อเห็นรถม้าที่คุ้นตาคันนั้น มีภิกษุวิ่งกลับไปรายงานในวัดทันที ทันทีที่รถม้าเพิ่งหยุด ภิกษุฮุ่ยถงก็ออกมาต้อนรับแล้ว
“สาธุพระวิทยาราช อาตมาฮุ่ยถงขอต้อนรับองค์หญิงใหญ่!”
ภิกษุฮุ่ยถงพนมมือพลางโค้งกายให้รถม้าเล็กน้อย องค์หญิงใหญ่เปิดประตูระม้าและยิ้มร่าให้ฮุ่ยถงทันที
“ไต้ซือฮุ่ยถง วันนี้ข้าเข้าวัดได้กระมัง”
ภิกษุฮุ่ยถงพูดตามตรง
“ย่อมได้ แม้วัดของอาตมาจะต้อนรับผู้ศรัทธาอีกครั้งพรุ่งนี้ แต่ความจริงวันนี้ในวัดนอกจากต้องทำความสะอาดสักหน่อย ก็ไม่มีตรงไหนต้องจัดการเป็นพิเศษแล้ว”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ สาวใช้ลงมาจากรถม้าข้างหลัง หยิบบันไดมาที่หน้ารถม้าขององค์หญิงใหญ่ ฉู่หรูเยียนจึงค่อยลงมาจากรถม้า
“พวกเจ้านำรถม้าไปที่ลานด้านหลัง วันนี้ข้าจะเดินเข้าไปกับไต้ซือฮุ่ยถง”
ข้ารับใช้คำสั่งแล้วพากันแยกย้ายไป ที่เหลืออยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่มีเพียงนางกำนัล จากนั้นฮุ่ยถงผายมืออยู่ที่หน้าประตูวัด
“เชิญองค์หญิงใหญ่”
“เชิญไต้ซือฮุ่ยถง”
ฮุ่ยถงเดินนำครึ่งก้าว สองคนตามอยู่ด้านหลัง เดินเข้าสู่วัดต้าเหลียงทีละก้าว ครั้นกวาดสายตามองไปรอบๆ มีภิกษุกำลังทำความสะอาดอยู่ไม่น้อยเลย ตอนผ่านตำหนักใหญ่บางแห่งยังเห็นภิกษุหอบเบาะและข้าวของอย่างอื่นออกมา และจำนวนก็ไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากเดินเล่นรอบลานกว้างและตำหนักใหญ่ที่ผู้ศรัทธาทั่วไปชอบมามากที่สุดกับภิกษุฮุ่ยถงแล้ว จากนั้นทั้งสองคนเข้าไปในลานด้านใน
“จริงสิ ไต้ซือฮุ่ยถง ท่านจี้และภิกษุชรารูปนั้นไปแล้วหรือ”
ฮุ่ยถงกล่าวสาธุก่อน
“สาธุพระวิทยาราช! พระเถระตีระฆังแล้วจากไป ส่วนท่านจี้ยังไม่จากไป กำลังเขียนหนังสือในบริเวณต้องห้ามของลานด้านใน!”
“บริเวณต้องห้าม?”
ฉู่หรูเยียนมองภิกษุฮุ่ยถงอย่างใคร่รู้
“มีสถานที่ใดในวัดต้าเหลียงที่ข้าไม่เคยไปบ้าง ไยถึงมีบริเวณต้องห้ามโผล่ออกมาได้”
ฮุ่ยถงเองก็ไม่ปิดบัง
“ทูลองค์หญิงใหญ่ เดิมทีวัดต้าเหลียงไม่มีบริเวณต้องห้ามอะไร ทว่าหลังจากปิดวัดครั้งนี้ ลานเล็กที่ลานด้านในกลายเป็นบริเวณต้องห้ามของวัดไปแล้ว แต่ไม่ใช่บริเวณต้องห้ามโดยสิ้นเชิง แต่เรียกอีกอย่างว่าสถานที่บริสุทธิ์ ซึ่งหมายถึงสงบเงียบไร้มลทิน!”
“อ๋อ! เช่นนั้นข้าไปดูได้ใช่หรือไม่”
ฮุ่ยถงรู้ว่าองค์หญิงใหญ่ต้องถามเช่นนี้ จึงยิ้มว่า
“หากเวลาอื่นองค์หญิงใหญ่อยากไป อาตมาจะพาไปด้วยตนเอง ทว่าตอนนี้ไม่ได้ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ไปรบกวนท่านจี้ในเวลานี้”
“โอ้ ไต้ซือเข้มงวดนัก แม้แต่องค์หญิงใหญ่ก็ไม่ได้ ท่านหมายความว่าหากฝ่าบาทเสด็จมาก็ต้องถูกขวางไว้เช่นกันกระมัง”
นางกำนัลกล่าวกึ่งล้อเล่นกึ่งเอาจริง ทว่าฮุ่ยถงหันไปตอบนางอย่างจริงจัง
“นางกำนัลลู่พูดถูกต้อง ตอนนี้แม้แต่ฝ่าบาทเสด็จมาเองก็ไม่อาจเข้าไปยังบริเวณต้องห้ามได้”
นี่ทำให้นางกำนัลและองค์หญิงใหญ่ล้วนพูดไม่ได้ ฝ่ายแรกเดิมทีอยากเติมว่า ‘วัดต้าเหลียงช่างกล้านัก’ แต่เหมือนกับมองทะลุความคิดของนาง ภิกษุฮุ่ยถงรีบอธิบายต่อ
“ทั้งสองท่านเคยเห็นพระเถระใช้วิชา เห็นทีรู้เช่นกันว่าท่านจี้ไม่ใช่คนธรรมดา อย่าว่าแต่คนข้างนอกวัดเลย แม้แต่ภิกษุสักรูปในวัดของอาตมาก็เข้าไปในบริเวณต้องห้ามไม่ได้ในตอนนี้ มนุษย์อย่างพวกเราจะรบกวนวิสุทธิชนได้อย่างไร!”
องค์หญิงใหญ่มองท่าทางจริงจังของฮุ่ยถง ถามออกไปตามสัญชาตญาณ
“คนธรรมดาไม่ได้ เช่นนั้นไต้ซือก็ไม่ได้เหมือนกันหรือ”
ฉู่หรูเยียนรักและนับถือภิกษุฮุ่ยถง ก่อนหน้านี้รู้เช่นกันว่าภิกษุฮุ่ยถงมีพุทธธรรมแท้ และครั้งนี้ทำให้นางมีความเข้าใจใหม่ต่อพุทธธรรมแท้ ไม่ใช่บทสวดมนต์ที่ขอพรและช่วยขจัดภัยร้ายแบบที่คิดไว้อีกต่อไป
“ฮ่าๆ คนล้วนพูดกันว่าฮุ่ยถงแห่งวัดต้าเหลียงเป็นภิกษุระดับสูงแห่งยุค คำพูดนี้เกินจริงเกินไป สำหรับผู้สูงส่งอย่างพระเถระและท่านจี้แล้ว อาตมาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น! ไปเถอะ หากองค์หญิงใหญ่อยากดู อาตมาจะพยายามพาท่านเดินเล่นรอบเล่นบริเวณต้องห้ามดู!”
สามคนเดินอย่างช้าๆ ก้าวเข้าไปในลานด้านใน เดินอยู่ครู่หนึ่งแล้วฮุ่ยถงหยุดฝีเท้า ยื่นมือชี้ต้นไม้เขียวชอุ่มกลางลานด้านในไกลออกไปแล้วกล่าว
“ลานเล็กใต้ต้นไม้ทางนั้นก็คือบริเวณต้องห้ามของวัด พวกอาตมาทำได้เพียงหยุดดูตรงนี้เท่านั้น”
องค์หญิงใหญ่เขย่งเท้าโดยจิตใต้สำนึก ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ประตูทางเข้าสู่บริเวณต้องห้ามโดยสิ้นเชิง แต่ยังคงคั่นด้วยขอบเขตสองแห่งนอกกำแพงลาน แม้แต่ซุ้มประตูบริเวณต้องห้ามนั้นก็ไม่มีให้เห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนเฝ้าเลย
ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นในตอนนี้มีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ บนโต๊ะมีสี่สิ่งในห้องหนังสือครบครัน ฝ่ายจี้หยวนนั่งก้มหน้าเขียนหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้เพียงลำพัง เพื่ออนุมานวิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน
หลังจากการเสวนามรรคก่อนหน้านี้ จี้หยวนมีความคิดไหลลื่น ปัญหาซับซ้อนทั้งหมดที่รู้เพียงทิศทางในอดีตได้รับการแก้ไขแล้ว
และจี้หยวนก็พิจารณาเพิ่มมาตรการป้องกันอันตรายบางอย่างด้วย ทุกครั้งอนุมานออกมาได้ส่วนใหญ่แล้ว สาระสำคัญของการใช้งานจะเขียนไว้ด้วยบัญชาพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่อยู่นอกเหนือการสืบทอดหรือมีเจตนาแอบแฝงได้รับวิชานี้
ยิ่งเขียนตัวอักษรมากเท่าไหร่ ภาพมายารอบข้างที่เดิมทีถูกเสียงระฆังทำลายไปเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวจางหาย ทว่าครั้งนี้ไม่ได้ปรากฏในวัดต้าเหลียงเป็นวงกว้าง เพียงปรากฏรอบกายจี้หยวนเท่านั้น
ครั้นพู่กันจรดกระดาษเหมือนมีเทพติดตาม ภาพมายาแหวกว่ายอยู่บนหน้ากระดาษ บางครั้งพู่กันขนหมาป่าของจี้หยวนสัมผัสภาพมายาตรงๆ และเขียนลงบนกระดาษพร้อมกับน้ำหมึกติดปลายพู่กัน
ทว่าใช้เวลาหนึ่งวัน จี้หยวนเขียนตัวอักษรขนาดเล็กบนกระดาษทั้งหมดสามพันตัวเต็มๆ ไม่เพียงใช้ตำราบันทึกสวรรค์และวิชาสื่อจิต นอกจากนี้ยังเลียนแบบจิตวิญญาณแห่งการเขียนที่ได้เรียนรู้จากตัวอักษรเหล่านั้นในช่วงเวลานี้ด้วย เมื่อประกอบกับนิมิตโดยรอบที่วนเวียนเป็นครั้งคราวและมีจิตวิญญาณอยู่ในนั้น ทุกตัวอักษรในตำรามีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง
นี่ไม่เพียงเป็นวิชาที่สืบทอดกันในอารามเขาเมฆา ยิ่งเป็นพื้นฐานการฝึกปราณของจี้หยวนเองด้วย
เขียนตัวอักษรสุดท้ายเสร็จแล้ว ครึ่งบนของวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินก็คือวิวัฒน์ฟ้าดินส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดถือกำเนิดขึ้น
ครืน…
ท้องฟ้าพลันระเบิดเสียงกระหึ่ม ภายในเวลาสั้นๆ ท้องฟ้าเหนือวัดต้าเหลียงมีเมฆดำรวมกลุ่มกันแล้ว
หวิว…หวิว…หวิว…
ครืน…
ลมคลั่งพัดม้วนใบไม้ร่วงลอยขึ้น สิ่งต่างๆ รอบตัวเปลี่ยนแปลง หลังจากสายตาส่องแสงสว่างจ้า ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดลงฉับพลัน…