เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 4 หรือเราข้ามมิติมา
ตอนที่ 4 หรือเราข้ามมิติมา
ตนยังมีทางรอด ยังมีชีวิตด้วย!
ต่อให้สิ่งที่พวกนายเห็นคือร่างไร้วิญญาณ ไม่ยิ่งสมควรแจ้งตำรวจหรือ
จี้หยวนยากเข้าใจว่าสมองของคนพวกนี้คิดอะไรอยู่ พวกเขาทำแบบนี้เท่ากับฆาตกรรมนะ!
เมื่อครู่มีบ้างคำพูดฟังดูแปลกๆ หรือสมองคนพวกนี้มีปัญหาอยู่บ้างจริงๆ
จี้หยวนเพิ่งรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้ล้อเล่น พวกเขาไม่สนใจตนจริงๆ หลังจากหนึ่งในนั้นนำผ้ามาห่มตนและวางผ้าหมาดบนหน้าผาก ทุกคนต่างยุ่งกับงานของตน
จางซื่อหลินสั่งทุกคนย้ายตำแหน่งกองไฟ วางใกล้รูปปั้นเทพภูเขายิ่งกว่าเดิม เช่นนี้ขอทานผู้ลมหายใจรวยรินนั่นก็จะอบอุ่นหน่อย
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ…
ท่ามกลางเสียงกระทบของหินเหล็กไฟมีประกายไฟพุ่งสาดไม่หยุด หลังจากนั้นไม่นานเชื้อไฟถูกจุดขึ้น
“ติดแล้วๆ เติมฟืน!”
“มาแล้วๆ”
“อย่าวางแน่นเกินไป!”
เติมฟืนละเอียดหน่อย คอยระวังเปลวไฟนิด ไม่นานเปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นมา
พวกพ่อค้าเร่ตั้งเตาวางกระทะเหล็กที่พกติดตัวมา ทั้งมีคนหยิบกระบอกไม้ไผ่รองน้ำฝนมาจากทางเข้าอารามซึ่งวางไว้ก่อนหน้านี้ นำน้ำฝนใสสะอาดเทลงหม้อต้มเดือด การกระทำทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังจากเสร็จงานทั้งหมด พวกพ่อค้าเร่ผ่อนคลายลงชั่วคราว ทุกคนนั่งพักผ่อนอยู่บนพื้น
โครม ครืน…
ตรงขอบฟ้าเสียงอสนีบาตดังกระหึ่ม มีสัญญาณว่าฝนจะตกหนักขึ้น
พวกพ่อค้าเร่ที่กำลังรอน้ำเดือดล้วนมองฝนห่าใหญ่นอกอารามเทพภูเขาอย่างเหม่อลอย
“ไม่รู้ว่าฝนครานี้จะหยุดก่อนฟ้ามืดหรือไม่”
มีคนถอนใจประโยคหนึ่งอย่างกังวล
“ดูท่าทางจะไม่หยุดในเวลาอันสั้น!”
ทั้งมีคนกล่าวตอบลอยๆ ถือโอกาสบิดเสื้อให้หมาด
“ฝนในฤดูหนาวนี้หนาวจริงๆ!”
“ใช่! วัวซูบม้าผอมยากผ่านแปดเดือนยี่!”
พวกเขาล้อมรอบกองไฟขนาดไม่ใหญ่เพื่อทำความอุ่น เสื้อผ้าชื้นแฉะใช้ไม้ยาวบางในอารามแขวนข้างๆ
ฝาหม้อขยับตามอุณหภูมิน้ำในหม้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ผ่านไปไม่นานค่อยเริ่มกระเทือนดังเคร้งคร้าง
“น้ำเดือดแล้ว!”
หลิวฉวนยิ้มกล่าวประโยคหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบกระบวยไม้ออกมาจากตะกร้าไผ่ พ่อค้าเร่คนอื่นพากันหยิบชามไม้หรือกระบอกไผ่ของตนออกมา
หลิวฉวนรับชามไม้กระบอกไผ่ของทุกคนมาโดยไม่อิดออด ใช้กระบวยไม้ตักน้ำต้มสุกแจกจ่ายคนอื่น
ชายหนุ่มอีกคนเปิดตะกร้าไผ่แล้วหยิบถุงผ้าใบหนึ่งออกมา ภายในคือของแห้งจำพวกแป้งหลากชนิด เขาหอบถุงแบ่งของกินให้ทุกคน
“เอ้า”
“หยิบเลย!”
“พี่จ้าว หมั่นโถวของโปรดท่าน”
“ขอบคุณ!”
ทุกครั้งที่ชายหนุ่มแบ่งของ บ้างตบแขนเขาบ้างกล่าวขอบคุณ ไม่นานก็มาถึงตรงหน้าจางซื่อหลิน
“พี่ซื่อหลิน! ยังมีหมั่นโถวกับขนมเปี๊ยะ ท่านเอาอะไร”
จางซื่อหลินเหลือบมองถุงผ้า
“เอาขนมเปี๊ยะให้ข้าแล้วกัน”
“ได้”
ชายหนุ่มหยิบขนมเปี๊ยะชิ้นหนึ่งส่งให้จางซื่อหลิน ฝ่ายหลังรับไปพลางพยักหน้า ต่อจากนั้นเขาเก็บถุงกลับเข้าตะกร้าไผ่ ตัวเองหยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งมานั่งตรงตำแหน่งเดิม
มีคนเป่าน้ำในชามไม้แล้ว เมื่อน้ำเดือดพอเย็นจึงเริ่มทานของแห้ง
ระหว่างนี้จี้หยวนได้ยินเสียงกรอบแกรบยามฟืนแตก ได้ยินเสียงฝาหม้อและฟองอากาศยามน้ำเดือด ได้ยินเสียงน้ำจากกระบวย ทั้งได้ยินเสียงพูดคุยของคนพวกนี้
ในใจคิดว่าแม่งคนจริงเกินไปแล้ว คนกลุ่มนี้ถึงกับพากันกิน ไม่สนความเป็นตายของเขาจี้หยวนจริงรึ!
“ซื่อหลิน ตอนอยู่เมืองสุ่ยเซียน ข้าได้ยินคนพูดว่าช่วงสองสามปีมานี้เขาโคเทพไม่ค่อยสงบนัก กลางคืนไม่มีใครค้างบนเขา ถ้าฝนยังตกอยู่ตลอด คืนนี้พวกเราไม่ต้องนอนกลางป่าหรือ”
ผู้พูดคือชายวัยกลางคนซึ่งกินขนมเปี๊ยะอยู่ นามว่าจินซุ่นฝู ใบหน้าเปี่ยมริ้วรอยร่องลึก
จางซื่อหลินมองม่านฝนด้านนอกเช่นกัน
“กลางคืนระวังหน่อยน่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกอย่าง…”
เขาหันไปมองตรงที่จี้หยวนนอนอยู่
“ขอทานคนนี้น่าจะอยู่ที่นี่นานแล้ว เขายังไม่เป็นไร พวกเราคนมากขนาดนี้กลัวอะไรเล่า ต่อให้มีเสือมาก็ไล่มันไปได้!”
ชายหนุ่มผู้แบ่งของแห้งฟังถึงตรงนี้ก็ตัวสั่นสำลักน้ำ
“แค่กๆๆ… แค่กๆๆๆ… โอ๊ย พี่ซื่อหลิน แค่ก ท่านอย่าขู่ข้าสิ! บนเขาโคเทพนี้มีเสือจริงหรือ”
“ฮ่าๆๆๆๆ…”
“เด็กคนนี้… ฮ่าๆๆ!”
“เสี่ยวตง เจ้าต้องฝึกความกล้าหน่อยแล้ว! ฮ่าๆๆ…”
คนที่อยู่ด้านข้างต่างหัวเราะขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ ชายหนุ่มคนนี้เพิ่งเข้าร่วมขบวนมาไม่ถึงสองเดือน แต่เป็นเด็กกระตือรือร้นขยันขันแข็ง กอปรกับทุกคนเป็นคนคุ้นเคยจากหมู่บ้านเดียวกันจึงดูแลเขาเป็นอย่างดี
จางซื่อหลินยิ้มพลางมองหวังตง
“เสี่ยวตง เขาโคเทพนี้เขามากป่าลึก คำนวณตามจริงแล้วมีรัศมีถึงสองร้อยลี้ มีเสือบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ทางที่พวกเราเลือกอยู่รอบนอก ยังถือว่าค่อนข้างปลอดภัย”
เป็นเขาโคเทพไม่ใช่เขาหัวโคจริงหรือ เสือ? เมืองสุ่ยเซียน?
จี้หยวนที่อยู่ด้านข้างยิ่งสงสัยขึ้นเรื่อยๆ ทำไมตนถึงจากเขาหัวโคมาเขาโคเทพ เสือคือเสือจริงหรือ ชื่อเมืองสุ่ยเซียนกลับเป็นเรื่องรอง ถึงอย่างไรประเทศจีนก็กว้างใหญ่ไม่อาจทราบโดยละเอียด
พวกพ่อค้าเร่ข้างกองไฟพูดพลางหัวเราะ จางซื่อหลินสังเกตเห็นว่าจินซุ่นฝูยังมุ่นคิ้ว จึงเข้าไปใกล้ เอ่ยถามเสียงเบาประโยคหนึ่ง
“พี่จิน เป็นอะไร เรื่องที่ได้ยินจากเมืองสุ่ยเซียนคืออะไรกันแน่”
จินซุ่นฝูจิบน้ำร้อนกลืนขนมเปี๊ยะในปากลงคอ มองซ้ายมองขวา ตอบจางซื่อหลินด้วยเสียงเบาเช่นกัน
“ซื่อหลิน ข้าได้ยินบางคนในเมืองสุ่ยเซียนพูดกัน เขาโคเทพนี้อาจมีปีศาจ…”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จางซื่อหลินฟังคำพูดนี้แล้วขนลุกชันขึ้นมา
“ตอนนั้นข้าฟังเป็นเรื่องตลก ทั้งไม่สนใจอะไร ปีก่อนพวกเราเพิ่งเดินผ่านเขาโคเทพสองรอบไม่เป็นไร แต่ตอนนี้กลับกลัวอย่างบอกไม่ถูกอยู่บ้าง ซื่อหลินเจ้าอย่าหัวเราะข้านะ…”
ประโยคเสริมของจินซุ่นฝู นอกจากอธิบายแล้วยังเหมือนปลอบใจตัวเอง
“อย่าทำตัวเองขวัญเสียเลย พักให้สบายเถอะ!”
จางซื่อหลินตบแขนจินซุ่นฝู พวกเขาออกมาข้างนอกจะมีกฎส่วนตัวเล็กๆ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ห้ามตบบ่าของคนอื่นเด็ดขาด
แต่ความจริงแล้วในอารามยังมีอีกคนขนลุกชัน นั่นก็คือจี้หยวนผู้เกือบนอนเป็นผัก
คำพูดของคนพวกนี้ไม่เหมือนล้อเล่น ทั้งไม่ใช่การแสดงแน่ พูดตามตรงว่าหากเป็นการแสดงละครจริง ตอนนี้จี้หยวนมีความมั่นใจว่าต้องได้ยินเสียงขยับของฉากและอุปกรณ์ถ่ายภาพ เขาแน่ใจว่าที่นี่นอกจากตนแล้วมีแค่สิบสองคนนั่น
มีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ดึงความคิดของจี้หยวนกลับมา
จางซื่อหลินยกชามไม้หนึ่งเดินมาอยู่ข้างขอทานด้านหลังรูปปั้นเทพนั่น แตะหน้าผากแล้วยังร้อนผ่าว ลมหายใจแผ่วรางๆ เขาตรวจสอบขอทานคนนี้โดยละเอียด แม้ว่าหน้าตาสกปรก แต่ไม่มีฝีหนองอะไร
จางซื่อหลินลังเลครู่หนึ่ง ยื่นมือยกศีรษะจี้หยวนขึ้นเล็กน้อย ขยับชามไม้แตะริมฝีปากแห้งของจี้หยวน
“พวกเราทำได้ไม่มาก ดื่มหน่อยเถอะ…”
น้ำร้อนอุณหภูมิเหมาะสมไหลออกตามมุมปากจี้หยวน แต่ก็ไหลเข้าโพรงปากไม่น้อย ลำคอช่วยส่งผ่านไปยังท้องทีละอึก
น้ำค้างหยาดหยดพาอวัยวะห้าชุ่มฉ่ำ เพียงชั่วขณะจี้หยวนรู้สึกสบายขึ้นมาก
จี้หยวนจำเสียงนี้ได้ว่าเป็น ‘พี่ซื่อหลิน’ ‘ซื่อหลิน’ ‘หัวหน้าจาง’ ที่คนพวกนั้นเรียก หรือกล่าวอีกนัยคือเขามีนามว่าจางซื่อหลิน
เห็นชัดว่าคนผู้นี้ไม่เหมือนคนบ้า คนอื่นก็เหมือนกัน การคาดเดาเด่นชัดหนึ่งเกิดขึ้นในใจ
หรือว่าเราข้ามมิติมาจริงๆ?