เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 400 เด็กไม่รู้จักทักท้วง
ตอนที่ 400 เด็กไม่รู้จักทักท้วง
เพราะพลังแสงอาทิตย์ในตอนกลางวันรุนแรงเกินไป ดังนั้นเวลาในการลงมือปรับหยินหยางได้สะดวกอย่างแท้จริงคือตอนกลางคืน ทั้งยังต้องเป็นเวลาใกล้เคียงกับที่นักพรตชิงซงชำระล้างด้วย
ดังนั้นกว่าจะจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมสรรพก็ผ่านไปหลายวันแล้ว
คืนหนึ่งของเดือนสิบเอ็ด พู่กันในมือจี้หยวนผละออกจากบัญชาที่ลอยอยู่ ฝ่ายฉินจื่อโจวยังคงไม่หยุดท่าร่าง แสงดาวบนท้องฟ้าตกลงมาเหมือนฝนดังเดิม
มังกรเฒ่าข้างๆ ชักมือกลับและยืนอยู่ข้างกายจี้หยวน มองตัวอักษรกะพริบแสงท่ามกลางริ้วคลื่นจิตวิญญาณน้ำที่มีรัศมีประมาณสิบกว่าจั้ง มีแสงดาวมากมายรวมตัว สุกสกาวราวกับทางช้างเผือก เมื่อรวมกับการตกลงมาของแสงดาว ยิ่งเหมือนกันกำลังแผ่ขยายทางช้างเผือกจิตวิญญาณน้ำให้กว้างไกล แต่ความจริงแล้วขอบเขตกลางอากาศไม่ได้เพิ่มขึ้น นี่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจเท่านั้น
“ท่านจี้ ท่านว่านี่คือเขตอาคมธาตุน้ำรวมวิญญาณบังเกิดธาราที่ท่านได้มาจากข้าในตอนนั้น เพียงปรับแก้เล็กน้อย แต่ข้าว่าจุดที่ท่านปรับแก้ไม่น้อยเลยนะ!”
มังกรเฒ่ามองฉินจื่อโจวที่เหมือนกับพร่าเลือนท่ามกลางแสงดาว กระแสแสงจากดาวสุกสกาว ‘กลางทางช้างเผือก’ ทวีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอักษรบัญชาที่เดิมทีสว่างเจิดจ้าถูกกลบมิด จึงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
“ความจริงจุดที่ปรับแก้ไม่มากจริงๆ เขตอาคมธาตุน้ำรวมวิญญาณเดิมของผู้อาวุโสอิงแม้ดูเหมือนเรียบง่าย แต่มีโครงสร้างและความอัศจรรย์ครบครัน ข้าคนแซ่จี้เพียงยืมวิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน ลองขยายโลกท่ามกลางแม่น้ำวิญญาณ และเติมพลังดวงดาวเข้าไปเท่านั้นเอง น้ำคือแหล่งกำเนิดของชีวิต ใช้เป็นกระจกสะท้อนเงาได้เช่นกัน เหมาะสมที่สุดแล้ว”
จี้หยวนพูดชัดเจนเข้าใจง่าย มังกรเฒ่ายอมรับคำพูดนี้เช่นกัน แต่การเปลี่ยนแปลงความคิดและความมั่นใจที่มีต่อวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ นี่นับว่าสอดคล้องกับธงดาราอารามเขาเมฆาและตำราวิชาแล้ว ร่วมกันผันแปรปราณวิญญาณและแรงดึงดูดบริเวณนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ เลย
หนึ่งหรือสองปีไม่ชัดเจน สิบปีหลายสิบปีเปลี่ยนแปลงอาจไม่มาก แต่หลังจากร้อยปีหลายร้อยปีแล้ว เขาเมฆาทั้งลูกและสภาพแวดล้อมทางจิตวิญญาณโดยรอบจะแตกต่างกันมาก แต่เนื่องจากเสียงสะท้อนของดวงดาว หากไม่ใช่เพราะรับรู้ถึงความพิเศษหรือคนที่ฝึกฝนวิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน ก็ยากนักจะรับรู้ถึงความเหนือธรรมดา
“ฮ่าๆ แม้อ่อนโยนเชื่องช้า ทว่าเห็นผลยืนยาวยิ่งกว่า สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นหนทางเปลี่ยนแปลงฟ้าดินกลับถูกท่านจี้พูดออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้!”
มังกรเฒ่าชื่นชมเสียงหนึ่ง มองฉินจื่อโจวออกจากบริเวณแม่น้ำจิตวิญญาณและเดินมาทีละก้าว
“ผู้อาวุโสอิงอย่าเพิ่งรีบพูดเช่นนี้เลย ก็แค่เขตอาคมธาตุน้ำรวมวิญญาณดั้งเดิม หากดำเนินต่อไปร้อยปีหลายร้อยปี เพียงพอที่จะปรากกฏแม่น้ำจิตวิญญาณสายยาว นั่นไม่เท่ากับเป็นแดนอริยะหรือ”
มังกรเฒ่าแย้ง
“แดนอริยะจิตวิญญาณพรรค์นี้ไม่นับว่ามีน้อยบนโลก มีหลายสิ่งเทียบเคียงกันได้ แต่แม่น้ำดวงดาวมีอยู่ไม่มาก ไม่แน่ว่าในอนาคตที่นี่สมบูรณ์แล้วจะมีอยู่เส้นเดียว”
“ท่านดูสิ ยังไม่ใช่เพราะหายากอีกหรือ!”
“เอาล่ะๆ ทั้งสองท่านอย่าตีฝีปากกันเพราะเรื่องนี้เลย เป็นวิธีปรับท้องฟ้าแก้พื้นดินทั้งนั้น!”
ฉินจื่อโจวรีบไกล่เกลี่ย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แม่น้ำจิตวิญญาณผืนนั้นค่อยๆ จางไป กลายเป็นหมอกเบาบางยามราตรีซึ่งหายไปในบรรยากาศ จากนี้จะเกิดหมอกเป็นครั้งคราว อย่างไรเสียสิ่งที่เขาเมฆามีมากที่สุดก็คือเมฆและหมอก ใครเล่าจะสนใจขนาดนั้น
นักพรตชิงซงและนักพรตชิงยวนสองศิษย์อาจารย์ยังคงคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับอารามเขาเมฆาดี ต่อไปจะมีแดนสุขาวดีถ้ำสวรรค์อะไรได้หรือไม่ และรู้ว่าผู้อาวุโสสามคนวางแผนอะไรไว้แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงสวรรค์ข้างนอก แค่แดนสุขาวดีแดนอริยะ ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่เหมือนกันทั้งนั้น จวนเซียนสำนักเซียนมากมายพยายามสืบทอดวิชากันรุ่นสู่รุ่นถึงมีวันนี้ แม้สภาพแวดล้อมของการฝึกปราณเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความพยายามนั้น ทว่าอธิบายบางสิ่งบางอย่างได้แล้ว
พูดสิ่งเหล่านี้จบแล้ว เรื่องของอารามเขาเมฆาในครั้งนี้ถึงนับว่าจบลงเสียที
ตอนกลับอารามเขาเมฆา เพราะเป็นช่วงดึกสงัด ฉีเซวียนและฉีเหวินกำลังหลับสนิท สามคนไม่ได้ปลุกพวกเขา ฉินจื่อโจวฝึกอยู่ปราณในอารามต่อ จี้หยวนและมังกรเฒ่ากลับขอตัวจากไป ฉินจื่อโจวยืนอยู่ที่ตำหนักใหญ่ของอารามเต๋าพร้อมกับประสานมือน้อมส่งพวกเขาเหยียบเมฆเหาะไป
ไม่นานเท่าไหร่นัก กลางท้องฟ้าสูงนอกเขาเมฆา จี้หยวนและมังกรเฒ่าหยุดพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว ฝ่ายหลังเอ่ยถามจี้หยวน
“หลังจากนี้ท่านจี้วางแผนอย่างไร คิดกลับไปพักที่บ้านในรัฐจีพักหนึ่ง หรือคิดไปพักกับข้าที่นั่น”
เดิมทีจี้หยวนอยากพูดถึงเรื่องเกาะจันทร์งาม แต่คิดได้ว่านี่เป็นเรื่องครอบครัวคนอื่น และเขารู้จักนิสัยของมังกรเฒ่าดี ไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรง่ายๆ จึงไม่ได้พูดเรื่องนี้ เพียงบอกแผนการหลังจากนี้ไปตามตรง
“ข้าคนแซ่จี้อาจกลับไปพักที่เรือนสันติครู่หนึ่ง ทว่าต้องไปเยี่ยมเยียนเขาล้อมหยกหน่อยด้วย อาจจะไปที่ทวีปนิรันดร์อุดร หากเวลาเหมาะสมจะไปเยี่ยมสหายเก่าคนหนึ่งด้วย”
มังกรเฒ่าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
“แดนเหนือ? ไปทำอะไร”
“ผู้อาวุโสอิงเคยได้ยินงานชุมนุมเซียนพเนจรเขาเก้ายอดหรือไม่”
มังกรเฒ่าคิดเล็กน้อย
“อ๋อ งานนี้อยู่ที่เขาเก้ายอดนี่เอง”
“ถูกต้อง สนใจไปดูความคึกคักหรือไม่”
มังกรเฒ่าแสยะยิ้ม
“แหะๆ ข้าเป็นเผ่าปีศาจ ไปงานชุมนุมเซียนพเนจรจะเหมาะสมหรือ ช่างเถอะ หากท่านจะไปก็ไป ข้าก็มีธุระของตนเองเหมือนกัน”
จี้หยวนเคร่งเครียดขึ้นมา
“เป็นเรื่องมังกรเจียวครั้งก่อนหรือ”
“นับว่าเป็นส่วนหนึ่งกระมัง แต่เผ่าปีศาจซับซ้อนยิ่งนัก กลับเกี่ยวข้องกับแดนรกร้างทมิฬ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสัตว์เลื้อยคลานที่ท่านกับข้าจงใจปล่อยให้หนีไป”
พูดถึงตรงนี้แล้ว มังกรเฒ่าประสานมือให้จี้หยวน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านกับข้าจากกันตรงนี้ เรื่องที่เขาเมฆาครั้งนี้ทำให้ข้าผู้ชราเปิดหูเปิดตาแล้ว อีกทั้งผ่อนคลายจิตใจด้วย วันหน้าข้าจะมาเยี่ยมเยียนใหม่!”
จี้หยวนคารวะกลับเช่นกัน
“ไม่เช่นนั้นวันหน้าข้าจะไปที่แม่น้ำเทียมฟ้าเช่นกัน!”
“ลาก่อน!”
“ไว้พบกันใหม่!”
มังกรเฒ่าเดินไปก่อน กลายร่างเป็นเงาร่างมังกรลวงตาลอยตามลมเมฆาจากไป จี้หยวนยืนอยู่บนเมฆครู่หนึ่ง ก่อนหมุนกายจากไปทางรัฐจี
ตอนเดินทางอยู่บนท้องฟ้า จี้หยวนแบ่งความสนใจสังเกตตัวหมากและดวงดาวบนท้องฟ้าในภูผาธาราเขตแดน ดวงดาวเหล่านี้บ้างจริงบ้างลวง บ้างสุกสกาวบ้างมืดสลัว ทว่าหมากสองตัวที่เป็นตัวแทนอารามเขาเมฆากลับค่อนข้างจ้าตา
หมากสองตัวนี้ไม่ได้หมายถึงฉีเซวียนและฉีเหวิน แต่ตัวหนึ่งคือฉินจื่อโจว ส่วนตัวที่เหลือคือสายใยอารามเขาเมฆา
สถานการณ์ที่ตัวหมากไม่ได้เป็นตัวแทนบุคคลเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ครั้งนั้นเป็นของคนรุ่นหลังตระกูลจั่ว และครั้งนี้เป็นของอารามเขาเมฆา
จี้หยวนครุ่นคิดอยู่รอบหนึ่ง ขณะคิดถึงสิ่งที่ได้รู้และได้รับจนถึงวันนี้ เขากลับถึงรัฐจีโดยไม่รู้ตัว และตอนนี้เป็นเวลายามสามของช่วงเช้า
เมื่อลงจากก้อนเมฆ ริ่นลงบนพื้นนอกอำเภอหลายลี้ เขาใช้วิธีเดินเท้ากลับอำเภอหนิงอันอย่างช้าๆ ในความคิดเขานั้น คนอำเภอหนิงอันรู้จักเขาไม่น้อย ไม่เห็นเงาร่างเขามานานขนาดนี้ ขาย่อมปรากฏตัวอย่างกะทันหันไม่ได้
แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าจี้หยวนคิดมากไป ตั้งแต่ออกจากอำเภอหนิงอันครั้งก่อนผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว สิบปีสำหรับผู้ฝึกปราณไม่ยาวนาน แต่สำหรับชาวบ้านธรรมดาในอำเภอหนิงอัน ระยะเวลาสิบปีเพียงพอให้เกิดเรื่องราวมากมายทีเดยว
เดือนสิบเอ็ดเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ลมจากทางเหนือเผ่วเบา พัดจอนผมและเสื้อผ้าจี้หยวนขยับไหว เขาเดินบนถนนนอกอำเภอหนิงอันหลายลี้ตามลำพัง รู้สึกได้ถึงลมปราณที่ยังคงราบเรียบ
มีเสียงล้อรถดังขึ้นข้างหลัง ชาวนาสวมเสื้อบุใยฝ้ายบังคังรถเทียมวัวเรียบง่ายมา เห็นคนสวมเสื้อผ้าบางเบาอยู่บ้างเดินอยู่ข้างหน้า จึงตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง
“ท่านผู้นี้จะไปอำเภอหนิงอันกระมัง อากาศหนาวมากเดินเท้าไม่สะดวก อยากติดรถข้าไปหรือไม่”
เขาพูดพลางบังคับวัวให้ลดความเร็วลง
จี้หยวนหันไปมองอีกฝ่าย มองเห็นชัดเจนว่ารถคันนี้เปิดโล่งทุกทิศทาง ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจ แต่กลับอยากเดินเองมากกว่า
“ขอบคุณน้ำใจของน้องชาย ข้าคนแซ่จี้อยากเดิน”
“อ้อ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
จี้หยวนยิ้มพลางประสานมือ ไม่ได้ปฏิเสธ
ชาวนาเห็นบนใบหน้าชายผู้สุภาพสง่างามไม่มีน้ำแข็งกัด ท่าทางไม่ได้ถูกบังคับจริงๆ จึงสะบัดแส้ฟาดก้นวัวสองครั้ง บังคับรถเทียมวัวไปข้างหน้าต่อ
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเค่อกว่า จี้หยวนเดินไปถึงกำแพงเมืองอำเภอหนิงอันแล้ว ก่อนจะเดินจากประตูเมืองไปทางตรอกเทียนหนิว ระหว่างทางเขาเตรียมรับคำทักทายจากคนรู้จักแล้ว แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่มีใครสักคนจำเขาได้หรือรู้จักเขา
เสียงเรียกลูกค้าและเสียงสนทนาบนถนนเหล่านั้น รวมถึงเสียงตะโกนรับแขกในร้านค้าดังมาไม่ขาดสาย คนมองจี้หยวนมากทีเดียว แต่เสียงและสายตาเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ของคนท้องถิ่น หรือมีบางคนรู้จักเขาอยู่แล้ว ทว่าไม่ได้พบกันหลายปีมาก แม้แต่คนในครอบครัวยังความทรงจำพร่าเลือน นับประสาอะไรกับจี้หยวน
ตอนเดินถึงนอกตรอกเทียนหนิว เห็นป้ายร้านบะหมี่ตระกูลซุน จี้หยวนตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ในสายตาพร่าเลือนนั้นรถเข็นยังตั้งอยู่ที่เดิม กลิ่นไม่เปลี่ยนไปเช่นกัน
จี้หยวนเพิ่มความเร็วฝีเท้าขึ้นหลายส่วน ไม่นานก็ถึงหน้ารถเข็น ตอนนี้มีลูกค้าหลายคนกำลังกินบะหมี่อยู่ เขาไปถึงแล้วก็ถามเสียงหนึ่ง
“เถ้าแก่ ยังมีบะหมี่พะโล้หรือไม่”
ซุนฝูที่จอนผมเป็นสีดอกเลาแล้วกำลังจัดระเบียบอุปกรณ์ เมื่อได้ยินเสียงพลันเงยหน้ามอง เป็นบัณฑิตสง่างามผู้หนึ่ง จึงรีบกล่าวตอบ
“มีๆๆ มีบะหมี่พะโล้ มีเครื่องในแกะด้วย”
จี้หยวนยิ้มกว้าง นั่งลงตรงที่นั่งประจำเมื่อในอดีต
“เช่นนั้นข้าขอบะหมี่พะโล้ชามหนึ่ง เครื่องในชามหนึ่ง”
“ได้เลย จะทำเดี๋ยวนี้”!
จี้หยวนผ่อนลมหายใจเบาๆ มองลูกค้าด้านข้าง มีคนกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน เห็นเขามองมาจึงก้มหน้ากินบะหมี่ตามสัญชาตญาณทันที
ลูกค้าหลายคนมองท่านจี้ผู้สง่างาม หลักๆ มองปิ่นหยกดำโปร่งใสบนศีรษะ ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้จักมูลค่าสิ่งของก็รู้ว่าปิ่นชิ้นนี้มีล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง
ข้างร้านบะหมี่ยังมีเด็กหญิงอายุประมาณเจ็ดแปดปีอยู่คนหนึ่ง กำลังจับกิ่งไม้เหวี่ยงไปมาเชิงเล่นสนุก พอเห็นจี้หยวนมองมา เด็กหญิงหยุดท่าทางเหวี่ยงกิ่งไม้ทันที แสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยม
“แม่นางน้อย เจ้าชื่อว่าอะไรหรือ”
ซุนฝูมองเด็กหญิง จากนั้นยิ้มให้จี้หยวน
“ลูกค้าท่านนี้ นางชื่อว่าซุนหย่าหย่า เป็นหลานสาวข้า”
“อ๋อ เป็นหลานสาวเจ้าหรือ…”
จี้หยวนมุ่นคิ้วเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อเพื่อแอบนับนิ้วคำนวณอยู่ในนั้น รับรู้ว่าเถ้าแก่ซุนจากโลกนี้ไปแล้ว เรื่องนี้เจ้าภูเขาลู่รู้ตั้งแต่ต้น ทว่าไม่ได้พูดต่อหน้าจี้หยวนในตอนนั้น
“เฮ้อ…”
“บะหมี่กับเครื่องในของลูกค้าเสร็จแล้ว!”
ซุนฝูยกถาด นำบะหมี่มาให้จี้หยวน เห็นจี้หยวนถอนใจจึงปากมากถามไป
“ท่านเป็นคนต่างถิ่นกระมัง ถอนใจด้วยเรื่องใดหรือ”
จี้หยวนกล่าวขอบคุณแล้วกล่าวตอบ
“ไม่มีอะไร คิดถึงสหายเก่าเท่านั้น”
พูดจบแล้วเขาจับตะเกียบเริ่มกิน รสชาติของบะหมี่และเครื่องในแทบจะเหมือนกับที่เถ้าซุนทำในปีนั้นอย่างกับแกะ
ยังจำได้ตอนที่ซุนฝูเพิ่งรับช่วงต่อร้านบะหมี่จากบิดา รสชาติบะหมี่ที่เขาทำด้อยกว่าเล็กน้อย วันนี้นับว่าสืบทอดมาอย่างแท้จริงแล้ว
“ถูกต้อง รสชาตินี้แหละ!”
เดิมทีซุนฝูร้องอ๋อเสียงหนึ่งแล้วกำลังจะหมุนกายกลับไป คำพูดของจี้หยวนดึงดูดความสนใจเขาอีกครั้ง
“เอ่อ ท่านเคยกินบะหมี่ที่ข้าทำมาก่อนหรือ”
คราวนี้ซุนฝูพิจารณาจี้หยวนอย่างละเอียด ทีแรกคิดว่าน่าจะเป็นบัณฑิตอายุประมาณสามสิบปี แต่เมื่อดูให้ดีแล้วพลันมีความรู้สึกว่าอายุมาก แม้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์สดใส แต่กลับให้กลิ่นอายของผู้อาวุโส ยากจะทายอายุได้
“ฮ่าๆ เคยกิน เคยกินบะหมี่ของบิดาเจ้าด้วย”
จี้หยวนตอบไปเช่นนี้ จากนั้นก้มหน้ากินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย ฝ่ายซุนฝูมุ่นคิ้วครุ่นคิด มองใบหน้าของจี้หยวนอยู่เรื่อยๆ
กลับไปที่รถเข็นแล้วยังคงคิดไม่ออก แต่เขาบังเอิญมองเห็นแผ่นป้ายไม้ที่แขวนอยู่บนประตูไม้ของรถเข็น บนนั้นมีตัวอักษรสลักไว้รางเลือนแล้ว เขียนไว้ว่า ‘เหลือไว้ชุดหนึ่ง’
ทันใดนั้นซุนฝูเข้าใจถ่อนแท้ เงยหน้ามองไปทางจี้หยวนทันที แล้วพูดโพล่งออกไปอย่างเหลือเชื่อ
“ท่าน ท่านคือท่านจี้!?”