เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 401 บ้านก็คือบ้าน
ตอนที่ 401 บ้านก็คือบ้าน
เสียงซุนฝูเปี่ยมความตกตะลึง หากไม่ใช่ว่าเห็นแผ่นไม้ซึ่งแขวนไว้ตลอด เขาย่อมไม่มีทางนึกถึงจี้หยวนขึ้นมาได้ทันที ถึงอย่างไรผู้เคยเป็นยอดบุคคลแห่งอำเภอหนิงอันคนนี้ รูปร่างหน้าตาเขาเลือนหายจากความทรงจำนานแล้ว
เมื่อได้ยินซุนฝูเรียกชื่อตนถูกต้อง จี้หยวนยิ้มให้เขาเล็กน้อย กลืนบะหมี่ในปากลงคอพลางกล่าว
“ไม่ผิด เป็นข้าคนแซ่จี้เอง พี่ชายจำข้าได้ด้วยหรือ!”
ซุนฝูใช้ผ้าขี้ริ้วบนรถเข็นเช็ดมือก่อนเช็ดเสื้อผ้าตนเอง รีบอ้อมจากด้านหลังรถเข็นมา มองจี้หยวนอย่างยินดีและสับสน
“ท่านจี้ เป็นท่านจริงหรือ ขะ ข้าเพิ่มเครื่องพะโล้กับเครื่องในให้ท่านดีหรือไม่”
เขามองจี้หยวนโดยละเอียดก่อนคิดกลับไปหยิบของบนรถเข็น จี้หยวนรีบเรียกรั้งเขาไว้
“ไม่ต้องหรอกๆ เท่านี้พอแล้วๆ ท่านทำธุระต่อเถอะ หากไม่ยุ่งค่อยนั่งคุยกัน”
จี้หยวนใช้ตะเกียบชี้ที่ว่างข้างโต๊ะ
ตอนนี้มีลูกค้าคนอื่นเอ่ยถามอย่างสงสัยด้วยค่อนข้างสนิทกับซุนฝู
“ท่านอาซุน คุณชายท่านนี้เป็นใครกัน”
ซุนฝูมองชายหนุ่มที่เอ่ยวาจา เผยสีหน้ารำลึกก่อนกล่าวตอบ
“นี่คือท่านจี้ เมื่อก่อนท่านพ่อพูดถึงบ่อยๆ ตอนเจ้ามาบ้านพวกเรายังเคยพูดถึงหลายครั้ง!”
“หา? ข้าจำเรื่องนี้ไม่ได้เลย…”
“ตอนนั้นเจ้าเพิ่งอายุเท่าไหร่ นอกจากกินกับเล่นแล้วจำเรื่องอะไรได้”
ซุนฝูพูดกับคนผู้นั้นสองสามประโยค ในมือถือผ้าขี้ริ้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างจี้หยวนอย่างสำรวมอยู่บ้าง
จี้หยวนมองเขา แต่ยังกินบะหมี่เนิบช้า คีบเครื่องในจากอีกชามใส่ชามบะหมี่บางส่วน ผสมเนื้อพะโล้กับบะหมี่เข้าด้วยกันก่อนใช้ตะเกียบม้วนส่งเข้าปาก กินอย่างออกรสออกชาติ
“ทำไมท่านจากไปหลายปีขนาดนี้แต่ไม่กลับมาบ้างเล่า”
จี้หยวนถือตะเกียบประสานมืออย่างขออภัย
“มีเรื่องมากมายต้องจัดการ ทั้งอยู่ข้างนอกมีเรื่องวางตัวลำบากอีกมาก ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“อ้อๆ ก็ถูก อยู่ข้างนอกอยากกลับก็กลับได้อย่างไร ตอนพ่อข้ายังอยู่มักพูดถึงท่าน บางครั้งยังถามข้าว่าท่านจี้ไม่มากินบะหมี่ที่แผงนานแค่ไหน เกือบทุกครั้งข้าบอกว่าไม่เคยมา บางครั้งยังหลอกเขาว่าเพิ่งมากิน เอ่อ ท่านคงไม่ว่าข้ากระมัง”
จี้หยวนพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย
“เป็นไปได้อย่างไร คำพูดนี้เกิดขึ้นเพราะความกตัญญู ถือว่าดีนัก เถ้าแก่ซุนจำข้าคนแซ่จี้ได้ตลอด ทำให้ข้าซาบซึ้งยิ่ง!”
ซุนฝูแย้มยิ้มเล็กน้อย
“แน่นอน ตอนอยู่บ้านพ่อข้าพูดตลอดว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา จำเป็นต้องปฏิบัติตัวกับท่านให้ดี”
“หึๆ เถ้าแก่ซุนคนนี้… ตอนเขาจากโลกไปมีความปรารถนาอะไรค้างคาหรือไม่”
จี้หยวนยิ้มพลางเอ่ยถาม
“เฮ้อ ความปรารถนาของพ่อข้าคืออยากให้บุตรชายอย่างข้ากับพี่ใหญ่รู้อักษรเข้าใจกฎหมายศึกษาบทความปรัชญา สอบผ่านสร้างชื่อเสียงเป็นขุนนางใหญ่ แต่พวกเราเด็กชาวบ้านมีหรือจะเป็นแนวนั้น เด็กสองคนเคยเรียนกับสำนักศึกษา แต่ภายหลังกลับเรียนต่อไม่ได้ ทำอะไรได้ก็ทำ แบบนี้ก็ดี ปัจจุบันข้าได้อุ้มหลานสาวแล้ว”
จี้หยวนได้ยินแล้วเผยรอยยิ้ม แต่กินบะหมี่ต่อไม่พูดจา เมื่อกินบะหมี่หมดค่อยกินเครื่องใน
“ท่านจี้ ก่อนหน้านี้ได้ยินคนพูดว่าท่านอาจไม่กลับมาอีก… เจอท่านแล้วดีจริง!”
จี้หยวนฟังความนัยจากคำพูดซุนฝูออก คิดว่าคงมีคนพูดว่าเขาคนแซ่จี้อาจตายอยู่ต่างถิ่น เรื่องแบบนี้พบเห็นได้ทั่วไป การคิดเช่นนี้ถือว่าไม่แปลก
“ได้กินบะหมี่กับเครื่องในของตระกูลซุนอีก ถือว่าดีมากเช่นกัน”
จี้หยวนพูดพลางคีบเครื่องในคำสุดท้ายเข้าปากบรรจงเคี้ยวครู่หนึ่งค่อยกลืน จากนั้นจึงหันมองซุนฝู เห็นปราณจิตเขาอิ่มเอิบไม่อมทุกข์ เห็นชัดว่าใช้ชีวิตมาไม่เลว แต่ยังเอ่ยถามประโยคหนึ่ง
“ทางบ้านลำบากอะไรหรือไม่ พูดกับข้าคนแซ่จี้ได้”
ซุนฝูโบกมือเป็นพัลวัน
“ไม่ๆๆ ท่านจี้ ท่านอย่าเห็นว่าข้ายังตั้งแผงขายบะหมี่ที่นี่ นี่เป็นเพราะไม่อยากให้ฝีมือตระกูลซุนของพวกเราสาบสูญ ความจริงทางบ้านใช้ชีวิตไม่เลวนัก ไม่ขาดอะไรเลย!”
สุดท้ายก็เป็นคนนอก ซุนฝูไม่เล่าเรื่องทองคำขนาดเท่าหัวสุนัข แต่แสดงออกว่าทางบ้านร่ำรวยพอ
จี้หยวนแค่มองก็เข้าใจ ดังคำกล่าวว่าครอบครัวยากจนตกต่ำทุกเรื่อง คำพูดนี้คงกล่าวเกินไป แต่กลับมีเหตุผลอยู่บ้าง ถึงอย่างไรเงินไม่อาจจัดการทุกเรื่อง แต่จัดการเรื่องส่วนใหญ่ได้จริงๆ อำเภอหนิงอันแห่งนี้ก็มีผลเช่นกัน
“ก็ดี รู้จักพอถึงจะสุขยั่งยืน”
จี้หยวนวางตะเกียบบนชาม ผ่อนแขนเสื้อซึ่งก่อนหน้านี้พับขึ้นด้วยกลัวเปื้อนน้ำแกงลงมา นั่งหน้าโต๊ะพูดคุยกับซุนฝู ทั้งกวักมือเรียกเด็กหญิงคนนั้น แต่แม่นางน้อยกลับเขินอายหลบอยู่หลังรถเข็นไม่ออกมา
“เด็กคนนี้ อย่ามองว่านางกลัวคนแปลกหน้า ความจริงนิสัยแข็งแกร่งนัก คล้ายกับเด็กผู้ชาย ข้ากำลังคิดส่งนางเข้าเรียนที่สำนักศึกษาด้วย!”
“หืม? ตอนนี้เด็กผู้หญิงเข้าเรียนที่สำนักศึกษาได้แล้วหรือ”
จี้หยวนแปลกใจอยู่บ้าง ต้องรู้ว่าเมื่อก่อนแม้ต้าเจินไม่มีกฎข้อบังคับเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเด็กผู้หญิงห้ามเข้าเรียน แต่แทบเป็นระเบียบตามประเพณีอย่างหนึ่ง ฐานะทางสังคมของสตรีค่อนข้างต่ำ อย่างน้อยห้องเรียนแทบไม่เห็นสตรีเพศ
ต่อให้เป็นกุลสตรีของตระกูลมั่งคั่งบางส่วนก็เชิญอาจารย์มาสอนหนังสือที่บ้านเป็นการส่วนตัว
“เฮ้อ ถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อนคงไม่กล้าคิดจริงๆ แต่อำเภอหนิงอันของพวกเราเป็นสถานที่ใด ถือเป็นสถานที่เหมาะแก่การสร้างอัจฉริยบุคคล ถึงกับมีขุนนางราชสำนักอย่างดาวบุ๋นอิ๋น หนึ่งในข้อบัญญัติที่เขาผลักดันช่วงสองสามปีมานี้คือสตรีสามารถเรียนหนังสือได้เช่นกัน”
“อ้อ เกรงว่าแรงต้านคงเยอะมาก”
ซุนฝูเก็บชามตะเกียบข้างกายจี้หยวนพลางกล่าว
“ข้าไม่แน่ใจหรอก แต่คำพูดของดาวบุ๋นอิ๋นมีผลต่ออำเภอหนิงอันของพวกเรามาก อย่างน้อยเมื่อข้าพูดถึงฐานะเขาก็ไม่มีใครขัดคอข้า”
จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย ก่อนชูนิ้วโป้งให้
“ไม่ผิด ข้าเห็นด้วย”
เมื่อพูดจบเขาตบกางเกงลุกขึ้นมา หยิบเหรียญทองแดงส่วนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
“ราคาไม่เปลี่ยนกระมัง”
“โธ่เอ๋ย ท่านจี้อยู่ต่างแดนหลายปีขนาดนี้ เพิ่งกลับมาถึงอำเภอ บะหมี่นี้ถือว่าข้าเลี้ยงท่าน รับเงินของท่านได้อย่างไร รีบเก็บไปเถอะๆ!”
ท่าทีของซุนฝูเด็ดเดี่ยวมาก ทั้งไม่ใช่การแสร้งทำเป็นเกรงใจ
จี้หยวนมองเขาคราหนึ่ง ถึงขั้นเก็บเงินกลับไปจริง เขาพยักหน้าพลางกล่าว
“ได้ ข้าคนแซ่จี้รับน้ำใจ ขอกลับบ้านไปก่อน ถ้ามีธุระมาหาข้าที่เรือนสันติได้ อืม เรื่องอะไรก็ได้”
จี้หยวนกล่าวประโยคนี้จบแล้วลุกจากที่นั่ง สาวเท้าเดินเข้าประตูตรอกเทียนหนิว ก้าวไปทางเรือนสันติ
รอเมื่อคนจากไป ประเด็นสนทนาของลูกค้าคนอื่นซึ่งกินเสร็จแล้วแต่เจตนาไม่ไปจากร้านบะหมี่ครึกโครมขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านอาซุน คุณชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ ท่านมัวแต่เรียกว่าท่านจี้ๆ เขามีชื่อเสียงมากหรือ”
“จริงด้วย เถ้าแก่ซุน ดูท่าคนผู้นี้คงอายุไม่มากกระมัง ทำไมฟังคำพูดท่านแล้วรู้สึกเหมือนว่า…”
คนพูดบรรยายความรู้สึกไม่ถูกอยู่บ้าง คล้ายซุนฝูซึ่งเห็นชัดว่าเป็นท่านปู่แล้วกำลังคุยกับคนรุ่นพ่อตนเอง
ซุนฝูมองเงาหลังของจี้หยวนหายไปจากสายตา ก่อนขยับเข้าใกล้คนพวกนี้พลางกล่าวเสียงเบา
“พวกเจ้าเข้าใจอะไร! นี่คือท่านจี้ คุณชายจี้ สิบกว่าปีหรือยี่สิบปีก่อนมีชื่อเสียงในอำเภอพวกเรามาก กลับไปถามบิดาพวกเจ้าหรือถามรุ่นปู่ดีที่สุด ไม่ว่าใครย่อมจำได้บ้าง!”
“สิบกว่าปีหรือยี่สิบปี?”
“คนผู้นี้อายุมากขนาดนั้นเชียว!?”
ซุนฝูทำท่ากดมือบอกให้พวกเขาเก็บเสียงค่อยกล่าวต่อ
“ปีนั้นลือว่าคนผู้นี้เป็นยอดบุคคล นายอำเภอกับนายกองคนก่อนเคารพเขามาก จริงสิ พวกเจ้ารู้จักดาวบุ๋นอิ๋นกระมัง”
“รู้จัก!”
“ดูท่านอาซุนพูดเข้าสิ พวกเรามีหรือจะไม่รู้จักดาวบุ๋นอิ๋น!”
“อืม ปีนั้นบ้านเก่าดาวบุ๋นอิ๋นอยู่ตรอกเทียนหนิว ตอนนั้นเขาเป็นเพื่อนบ้านคนสนิทของท่านจี้ ตอนเขายังเป็นอาจารย์สำนักศึกษาประจำอำเภอ เกือบทุกวันต้องไปเรือนสันติ มิตรภาพของเขากับท่านจี้ลึกซึ้งมาก!”
“โอ้!”
“อย่างนี้นี่เอง!”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้!”
ลูกค้าด้านข้างพากันตกตะลึง การแสดงออกของพวกเขาทำให้ซุนฝูพอใจมาก เด็กสาวด้านข้างเห็นท่าทางเกินจริงบนหน้าพวกเขาแล้วหัวเราะคิกคัก
จี้หยวนกลับมาถึงเรือนสันติซึ่งจากไปนาน คนที่เจอตลอดทางจำเขาได้ไม่กี่คนเช่นกัน เมื่อถึงหน้าประตูเรือนเล็ก เขาหากุญแจออกมาเปิดกลอนก่อนผลักประตูเข้าไป
ฝุ่นร่วงลงมาจากขอบประตู แต่ฝุ่นพวกนี้ล้วนแฉลบผ่านกายจี้หยวน ต่อให้ตกลงบนบ่าก็ร่วงไปทันที
วู้ม… วู้ม…
กลางลานมีสายลมเย็นพัดผ่าน กิ่งก้านต้นพุทราโบกไหว ส่งเสียงแผ่วเบานุ่มนวลเป็นระลอก
ซ่าๆๆ… ซ่าๆๆ…
บางทีอาจเป็นเพราะมีต้นพุทราอยู่ กลิ่นอายภายในเรือนจึงสดชื่นมาก
“ลำบากเจ้าแล้ว!”
จี้หยวนรู้ว่าตอนนี้ตนไม่อาจอยู่อำเภอหนิงอันถาวร อย่างน้อยกลับมาครั้งนี้ไม่แน่ว่าจะอยู่นาน ทางบ้านล้วนมีต้นพุทราคอยดูแล ต่อให้ที่นี่ไม่มีของให้ขโมยเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบ้าน
เขาเปิดประตูบ้านระบายอากาศทั้งหมด ครั้งนี้จี้หยวนไม่หวงวิชา สะบัดมือก่อลมระลอกหนึ่ง พัดฝุ่นในห้องออกไป ทำให้ภายในบ้านกลับมาสะอาดหมดจด
เมื่อเข้าไปดูห้องครัว จี้หยวนตบหน้าผากอย่างอดไม่ได้
“ปัดโธ่ เสียของแล้ว!”
ผ่านไปสิบปี แน่นอนว่าน้ำผึ้งโถเล็กในห้องครัวย่อมไม่เหมือนเดิม แต่เมื่อจี้หยวนเปิดโถมองโดยละเอียดกลับพบว่าตรงก้นโถจับตัวกันเป็นผลึกชั้นหนึ่ง ขูดไขชั้นนอกออกมาเล็กน้อย ได้กลิ่นหอมหวานชื่นใจรางๆ
“ดูเหมือนว่ายังกินได้สินะ”
ตอนนี้กระเรียนกระดาษเบียดตัวออกมาถุงผ้าไหม บินออกมาจากอกจี้หยวน วนรอบต้นพุทราไม่หยุด ต้นพุทรากลางลานขยับกิ่งก้านดังแซกๆๆ คล้ายกำลังทักทายกระเรียนกระดาษ
จี้หยวนเดินออกมาจากห้องครัว นอกจากคิดไปตักน้ำ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนหยิบเทียบเจตกระบี่ออกมาวางตรงลาน
ครู่ต่อมาแผนภาพเปิดออกเอง เสียงเจื้อยแจ้วดังออกมาทันที
“โอ้! เรือนสันติ!”
“จริงด้วยๆ กลับมาอำเภอหนิงอันแล้ว!”
“อ๊ะๆๆ ต้นพุทรา!”
“ฮ่าๆๆ… ในที่สุดก็กลับมาอำเภอหนิงอันแล้ว!”
“ต้นพุทรายังพูดไม่ได้หรือ”
“เจ้าโง่ ต้นพุทราเป็นต้นไม้ ต้องควบรวมแก่นวิญญาณ!”
“ชู่ว… โดยรอบล้วนเป็นคนธรรมดา พวกเราเบาเสียงหน่อย!”
“ใช่ๆๆ เบาเสียงหน่อย…”
เหล่าตัวอักษรจิ๋วกดเสียงต่ำ หลังจากพูดคุยกันอย่างเซ็งแซ่ครู่หนึ่ง พวกมันกระโดดออกมาจากเทียบเจตกระบี่ทีละตัว กิ่งก้านของต้นพุทรากลางลานนิ่งสงบ เห็นชัดว่าถูกอักษรตัวเล็กกลุ่มนี้ทำให้ตกใจ