เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 404 นัยของคำว่าสันติ
ตอนที่ 404 นัยของคำว่าสันติ
รู้จักจี้หยวนคนผู้นี้มาหลายปี ทั้งรู้อยู่ว่าเขาต่างจากคนทั่วไป แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จูเหยียนซวี่มาเยี่ยมถึงหน้าประตู
คนเรายิ่งแก่ยิ่งมองบางเรื่องปรุโปร่ง เปรียบเทียบกับเมื่อปีนั้น ตอนนี้ความรู้สึกของจูเหยียนซวี่ที่มีต่อจี้หยวนยิ่งพิเศษ แค่มองจี้หยวนฝนหมึกเนิบช้า ความรู้สึกประหม่าและว้าวุ่นก่อนหน้านี้ถึงกับค่อยๆ สงบลง ลมหายใจราบเรียบยิ่งกว่าเดิม
“ใต้เท้าจู ข้าคนแซ่จี้เพิ่งต้มน้ำเสร็จ ข้าขอใช้ใบชาซึ่งท่านนำมาชงชาร่วมดื่มกันเป็นอย่างไร”
ตอนนี้จี้หยวนฝนหมึกเสร็จพอดี เขาเงยหน้ามองจูเหยียนซวี่พลางเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าย่อมได้ ท่านจี้อยากดื่มยอดชารัฐโยวหรือชาก่อนฤดูฝนแห่งรัฐจีของพวกเรา ข้าคนแซ่จูล้วนนำมาเล็กน้อย ทั้งหมดเป็นชาชั้นดีซึ่งญาติมิตรมอบให้”
“ชาก่อนฤดูฝนแล้วกัน ไม่ได้ดื่มมาหลายปีแล้ว”
“ได้!”
จูเหยียนซวี่ก้มหน้าค้อมตัว ค้นถุงผ้าป่านซึ่งตนนำมา กระทั่งเจอกระบอกไม้ไผ่สีเหลือง เขย่าเล็กน้อยก่อนบิดเปิดออก กลิ่นชาเลือนรางลอยออกมา
ด้วยประสาทรับกลิ่นของจี้หยวนย่อมรู้ว่านี่คือใบชาชั้นยอด ไม่ด้อยกว่าสิ่งที่ตระกูลเว่ยส่งมาเมื่อตอนนั้น ดูท่าทางของจูเหยียนซวี่ มือซึ่งถือกระบอกไม้ไผ่เหี่ยวย่น สีหน้ายังถือว่ามีเลือดฝาด แต่จอนผมแกมสีเทาประปราย คล้ายนายกองจูผู้แข็งแกร่งในความทรงจำแค่เจ็ดส่วน
จี้หยวนรับกระบอกไม้ไผ่จากมือจูเหยียนซวี่ กล่าวว่า ‘รอสักครู่’ ก่อนหันหลังเดินไปทางห้องครัว
จูเหยียนซวี่มองส่งจี้หยวนจากไป จากนั้นค่อยกวาดสายตามองเรือนสันติเล็กน้อย บ่อน้ำซึ่งห่างไปไม่ไกลทับด้วยแผ่นหินใหญ่ ห้องโดยรอบเก่าคร่ำ สีหม่นมัวหลุดลอก แต่ดูสะอาดมาก
ต้นพุทราเหนือศีรษะใหญ่กว่ายามมองผ่านลานจากด้านนอกไม่น้อย ราวกับฉัตรใหญ่ปกคลุมลานเรือนสันติกว่าครึ่ง แต่สิ่งอัศจรรย์คือแสงแดดช่วงหน้าหนาวกลับลอดผ่านกิ่งก้านลงมาได้ ต่อให้อยู่ภายใต้ร่มเงาก็ยังดูสว่างอบอุ่นยิ่ง
เมื่อมองกลับมาบนโต๊ะ แผ่นป้ายเรือนสันติไม่ถึงขั้นประณีตอะไร เป็นแค่แผ่นไม้ซึ่งตรงขอบเคยตกแต่งขัดเงาเท่านั้น โชคดีว่าเนื้อไม้น่าจะยังใช้ได้ ทั้งไม่มีรอยแตกหรือร่องรอยมอดใด ส่วนตัวอักษรบนนั้นขาดหายแหว่งเว้าจนเห็นไม่ชัดจริงๆ
ด้วยนำจานฝนหมึกทรงเหลี่ยมมา สายตาของจูเหยียนซวี่ย่อมมองสี่สมบัติประจำห้องหนังสือที่จี้หยวนวางอยู่ข้างนอก แน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีกระดาษ ดังนั้นจึงมีแค่สามสมบัติ
หมึกต้องเป็นหมึกชั้นดีแน่ พู่กันบนแท่นวางกระเบื้องเหมือนว่าพิเศษเช่นกัน จูเหยียนซวี่เปลี่ยนมุมมองสองสามครั้ง รู้สึกว่าแสงแดดกระทบพู่กันจนเกิดประกายแสงแตกต่างกันไป มองอย่างชื่นตาเบิกบานใจยิ่ง เขาเพิ่งเคยรู้สึกแบบนี้กับพู่กันด้ามหนึ่งเป็นครั้งแรก
แต่จานฝนหมึกดูเหมือนว่าเป็นแค่จานฝนเก่าแก่สีดำธรรมดา จูเหยียนซวี่คิดว่าจานฝนหมึกซึ่งเขานำมาน่าจะดีกว่า ในใจคิดว่าอีกเดี๋ยวต้องคะยั้นคะยอหน่อย ไม่แน่ว่าก่อนหน้านี้ท่านจี้อาจเกรงใจ
ตอนนี้จี้หยวนถือถาดออกมาจากห้องครัว ด้านบนคือถ้วยชาและชาซึ่งชงเสร็จแล้วกาหนึ่ง
“ใต้เท้าจูรอนานแล้ว ไม่ได้กลับบ้านมานานทั้งไม่ได้รับแขกมานาน ล่าช้าอยู่บ้าง เมื่อท่านมาก็ควรเตรียมน้ำชาแล้ว”
จูเหยียนซวี่รีบลุกขึ้นมาช่วย
“โธ่ ท่านจี้อย่าพูดอย่างนั้น ข้าคนแซ่จูเพียงมาเยี่ยม รบกวนท่านแล้ว”
ทั้งสองคนรินชาเสร็จ จูเหยียนซวี่เป่าคลายร้อน ส่วนจี้หยวนวางด้านข้างรอเย็น
ความจริงจูเหยียนซวี่ไม่มีเรื่องใดร้องขอ แต่เห็นจี้หยวนแล้วอยากเชื่อมสัมพันธ์ คิดว่าปีนั้นท่านอิ๋นขยันมาเรือนสันติ ด้วยตอนนั้นแน่ใจแล้วว่าท่านจี้ไม่ธรรมดา
แม้ว่าจูเหยียนซวี่ก็เข้าใจ ท่านอิ๋นมาถึงตำแหน่งปัจจุบันได้ด้วยความสามารถและความพยายามของตนเป็นสำคัญ แต่ยังอดคิดไม่ได้ว่าท่านจี้ช่วยอะไรหรือไม่
จูเหยียนซวี่เป็นจอมยุทธ์ แม้ว่าไม่ใช่คนทึ่มทื่อ แต่ไม่นับว่าช่างพูด ก่อนมาเขายังสับสนว่าควรพูดกับจี้หยวนอย่างไร ตอนนี้กลับมีคำพูดมากมายจ่ออยู่ตรงมุมปากตน
เขาเป่าชาร้อน ดมกลิ่นชาแต่กลับไม่ดื่มทันที มองจี้หยวนทำความสะอาดครั่งที่เหลือบนแผ่นไม้ทีละน้อยอยู่ตรงนั้น ก่อนกล่าวอย่างทอดถอนใจอยู่บ้าง
“ท่านไม่ได้กลับมาสิบกว่าปีแล้วกระมัง”
จี้หยวนใช้เปลือกหอยขนาดเล็กขูดแผ่นไม้โดยละเอียด พยักหน้าพลางกล่าว
“นับว่าใช่กระมัง”
จูเหยียนซวี่จิบน้ำชาอึกหนึ่ง มองกิ่งก้านต้นพุทราเหนือศีรษะพลิ้วไหวเล็กน้อยก่อนมองจี้หยวนอีกครั้ง
“เพียงพริบตาข้ากลับแก่แล้ว แต่ท่านจี้ยังสง่างามเหมือนปีนั้น!”
จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย
“ใต้เท้าจูชมเกินไปแล้ว ใต้เท้าอายุมากแต่ยังแข็งแรง ความสง่างามไม่ด้อยกว่าปีนั้น คิดว่าใต้เท้าเฉินเซิงก็เป็นเช่นนี้”
หากเป็นคำพูดเมื่อชาติก่อนของจี้หยวน เฉินเซิงกับจูเหยียนซวี่ถือเป็น ‘สองวีรบุรุษอำเภอหนิงอัน’ ซึ่งมีอิทธิพลต่ออำเภอหนิงอันมากที่สุดในช่วงหลายสิบปีมานี้ ภายหลังค่อยถึงคราวอิ๋นจ้าวเซียนซึ่งสร้างความแตกตื่นให้ผู้คน
หากไม่มีนายอำเภอบุ๋นบู๊สองคนนี้ อำเภอหนิงอันซึ่งเคยลำบากยากแค้นคงไม่มีวันนี้ จี้หยวนจึงนับถือสองคนนี้มาก อย่างน้อยเขาคิดว่านายอำเภอคนปัจจุบันไม่แน่ว่าจะทำได้ดีกว่าพวกเขา
จูเหยียนซวี่ดื่มชาก่อนกล่าวหยั่งเชิง
“ข้าได้ยินว่าหลังท่านจากไป ต้นพุทราเรือนสันติไม่ออกดอกอีก ตอนนี้ท่านกลับมา ต้นพุทราคงออกดอกแล้วใช่หรือไม่”
แม้ตอนนี้ไม่แน่ว่ามีคนอำเภอหนิงอันจำได้เท่าไหร่ แต่ตอนนั้นกลิ่นดอกพุทราผิดธรรมดาเคยอบอวลเกือบครึ่งอำเภอ ถึงวันนี้จูเหยียนซวี่ยังจำได้ดี
“มันออกดอกหรือไม่ย่อมต้องดูเจตนาของมัน แต่คำพูดใต้เท้าจูมีเหตุผล หากช่วงออกดอกปีหน้าข้าคนแซ่จี้ยังอยู่ที่นี่ มันน่าจะออกดอก”
“อะ อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้ๆ!”
คำพูดนี้จี้หยวนไม่ได้แกล้งโง่กับเขา ถือว่าถามอะไรตอบอย่างนั้น ในใจจูเหยียนซวี่ย่อมรู้แจ้ง ไม่เอ่ยปากอีกชั่วคราว จิบชามองการเคลื่อนไหวของมือจี้หยวนเป็นพักๆ แต่มือซึ่งถือถ้วยชาบ้างใช้แรงบ้างผ่อนคลาย เห็นชัดว่าในใจมีเรื่องลังเล
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งเค่อ จูเหยียนซวี่ดื่มชาไปสองถ้วยแล้ว ส่วนจี้หยวนทำความสะอาดครั่งบนแผ่นไม้เสร็จในที่สุด เขาหยิบลงไปเขย่าใต้โต๊ะเบาๆ เศษครั่งพวกนั้นทยอยร่วงลงพื้น ไม่ปลิวโดนตัวทั้งสองคนที่อยู่ข้างโต๊ะสักเสี้ยว
รอเมื่อจี้หยวนวางแผ่นไม้กลับลงบนโต๊ะ เขายื่นมือลูบแผ่วเบาก่อนหยิบพู่กันขึ้นมา จิตวิญญาณของจูเหยียนซวี่ถูกดึงดูดอย่างอดไม่ได้
ดึงแขนเสื้อถือพู่กัน จุ่มหมึกเล็กน้อย คล้ายท่วงทำนองพิเศษอย่างหนึ่งแฝงซ่อนอยู่ภายใน จูเหยียนซวี่มองอย่างจริงจัง ไม่สังเกตว่าเรือนสันติซึ่งเดิมเงียบสงบ ตอนนี้เสียงโดยรอบล้วนห่างออกไป
“ใต้เท้าจู การเขียนอักษรทำให้คนเราสงบใจ การมองคนเขียนอักษรก็เป็นแบบเดียวกัน ใต้เท้าจูโปรดมองโดยละเอียด อีกเดี๋ยวต้องเชิญใต้เท้าประเมินอักษรของข้าคนแซ่จี้”
เสียงจี้หยวนราบเรียบมีพลัง ย้ายพู่กันขนหมาป่าจุ่มหมึกมาอยู่เหนือแผ่นไม้ จากนั้นค่อยจรดลงอย่างเนิบช้า
รอยหมึกแต้มลงก่อนแผ่ออก ใหญ่กว่าจุดที่ปลายพู่กันจรดมาก แต่จี้หยวนกลับไม่สนใจสักนิด บิดข้อมือขยับแขนเขียนอักษรช้าๆ หนักแน่นงดงามแข็งแกร่งทรงพลัง
จูเหยียนซวี่มองจี้หยวนเขียนอักษร ความอัศจรรย์คือเห็นชัดว่าปลายพู่กันขนหมาป่าในมือหนาเท่านิ้วโป้ง แต่รอยพู่กันซึ่งจรดลงกลับกว้างสองนิ้วครึ่ง ปรับเปลี่ยนตามสมควรเสียอย่างนั้น ไม่ส่งผลต่อตัวอักษรแม้แต่น้อย
ผ่านไปนานจี้หยวนเขียนเส้นขวางสุดท้ายเสร็จ เก็บพู่กันวางบนแท่นด้านข้าง หลังมองแผ่นป้ายโดยละเอียดครู่หนึ่ง เขายิ้มกล่าวกับจูเหยียนซวี่
“ใต้เท้าจู เชิญพิจารณา!”
จูเหยียนซวี่ยังดื่มด่ำกับความรู้สึกเมื่อครู่ ถึงขั้นว่าคำพูดจี้หยวนไม่อาจทำลายท่วงทำนองเช่นนี้ เขาแค่กล่าวว่า ‘ได้’ ก่อนลุกเดินมาถึงข้างกายจี้หยวน ก้มหน้ามองแผ่นป้ายซึ่งไม่เคยละสายตาตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อมองซึ่งหน้าอักษรคำว่า ‘เรือนสันติ’ ไม่แข็งกร้าวไม่อ่อนโยน ความรู้สึกสดชื่นสบายใจแทบเผยออกมาบนพื้นผิว นั่นคือความรู้สึกจดจ่อสบายใจอย่างหนึ่ง ทำให้กายใจเขาผ่อนคลาย
โดยเฉพาะคำว่า ‘สันติ’ ทำให้จูเหยียนซวี่สบายกายสบายใจ จิตวิญญาณนิ่งสงบ แม้แต่ความตื่นตัวซึ่งเกิดขึ้นเพราะช่วงนี้พักผ่อนไม่ดียังคลายลงมาก รู้สึกว่ามีกำลังวังชาอย่างยิ่ง
“อักษรดี อักษรดีนัก อักษรดีจริงๆ!”
จูเหยียนซวี่รู้อักษรทั้งเขียนอักษรได้ แต่จำกัดอยู่แค่เท่านี้ ไม่อาจพูดว่าชื่นชมลายอักษรนัก แต่คำพูดนี้เอ่ยอย่างจริงใจ เขาไม่เคยเห็นตัวอักษรที่งดงามมีเสน่ห์เช่นนี้มาก่อน
“ถ้าอย่างนั้นเชิญใต้เท้าจูชมต่ออีกหน่อย”
จี้หยวนกล่าวเช่นนี้ ก่อนเริ่มยกถ้วยชาขึ้นดื่ม เห็นชัดว่าเป็นหน้าหนาว แต่น้ำชาซึ่งเขาวางไว้นานขนาดนั้นกลับอุณหภูมิเหมาะแก่การเข้าปากพอดี
แสงแดดหน้าหนาวช่วงบ่ายสาดส่องจนทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่น ภายใต้ต้นพุทราของเรือนสันติมีกลิ่นอายผ่อนคลายยิ่ง โดยเฉพาะสถานการณ์ตอนนี้ จูเหยียนซวี่รู้สึกว่าทุกลมหายใจปลอดโปร่งโล่งสบายมาก
ผ่านไปนานโดยไม่รู้ตัว จี้หยวนลุกขึ้นมา เดินเข้าไปใกล้จูเหยียนซวี่ที่ยังยืนเหม่อลอย
“ใต้เท้าจู ใต้เท้าจู! ควรตื่นแล้ว!”
จูเหยียนซวี่ใจสะท้าน ได้สติกลับมาเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน
“หืม? ข้า อะ อ้อ อักษรดี!”
“อืม ขอบคุณใต้เท้าที่ชม แต่ท้องฟ้าใกล้มืด ใต้เท้าควรกลับบ้านแล้ว หากเย็นกว่านี้อาจทำให้ฮูหยินกับบุตรเป็นห่วง”
จี้หยวนพูดพลางชี้ท้องฟ้า
จูเหยียนซวี่อึ้งงันครู่หนึ่ง เห็นว่าฟ้ามืดสลัวไม่น้อย แม้ถูกบ้านกับกำแพงเรือนขวางไว้ แต่ยังเห็นแสงอัสดงทางตะวันตก บ่งบอกว่าตอนนี้ไม่ใช่เพราะเมฆบังดวงอาทิตย์ แต่ดวงตะวันลับเหลี่ยมเขาจริงๆ
“ทะ ทำไมไม่ทันไรก็…”
จูเหยียนซวี่กล่าวถึงครึ่งทาง เขาพลันตอบสนองกับอะไรบางอย่าง
“ท่านจี้ ตัวอักษรนี้?”
“หึๆ ใต้เท้าจูอย่าคิดมาก กลับบ้านไปเถอะ ภายในเรือนข้าคนแซ่จี้ไม่มีอาหารอะไร ไม่รั้งท่านเพื่อกินข้าวแล้ว”
จูเหยียนซวี่ไม่พูดอะไรมากอีก เขาประสานมือพลางกล่าว
“เช่นนั้นก็ได้ ท่านจี้นั่งพักเถิด ข้าคนแซ่จูขอตัว จานฝนหมึกนี้…”
“นำกลับไปเถอะ”
“เอ่อ ก็ได้!”
จูเหยียนซวี่ไม่กล้าดึงดันมากอีก เกรงว่ามากพิธีเกินไปอาจทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ หยิบกล่องจานฝนหมึกขึ้นมาแค่อย่างเดียว เหลือขนมกับสุราไว้ จากนั้นค่อยเดินมาถึงประตูโดยมีจี้หยวนมาส่ง
“ท่านจี้ไม่ต้องส่งแล้ว ข้าคนแซ่จูขอกลับบ้านก่อน!”
“ได้ ใต้เท้าจูเดินทางปลอดภัย”
“อืม!”
จูเหยียนซวี่ประสานมือสักพัก มองเหนือประตูเรือนเล็กสองสามครั้งตามจิตใต้สำนึก จากนั้นจึงหันหลังเดินไปข้างนอก เขาอธิบายความรู้สึกในวันนี้ไม่ถูก แต่ในใจรู้ว่าประสบการณ์ครานี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปคาดคิดได้อยู่รางๆ
ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ถือว่ามาถูกแล้ว!