เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 407 การไหว้วานจากฉินจื่อโจว
ตอนที่ 407 การไหว้วานจากฉินจื่อโจว
จี้หยวนใคร่ครวญครู่ใหญ่ก่อนเงยหน้ามองตรงขอบฟ้า ท่ามกลางสายลมแผ่วเบานกกระดาษตัวหนึ่งกระพือปีกบินมา ไม่นานก็โรยตัวลงบนไหล่จี้หยวน จิกตรงสาบเสื้อจี้หยวนสองครั้ง จากนั้นค่อยมุดเข้าถุงผ้าไหมตรงหน้าอกเขา
“ลำบากแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าเองก็ควรพักผ่อนสักหน่อย”
อย่างน้อยก็ไม่ได้นอนมานานแล้ว ถ้าพูดว่านอนที่ไหนสบายที่สุด แน่นอนว่าย่อมเป็นบ้านตน ต่อให้ตอนนี้ฟ้าสางแล้ว จี้หยวนก็ยังอยากกลับไปนอนบนเตียง
ฟูกที่ไม่ได้สัมผัสมานานยังสบายเหมือนเดิม นอกจากผ้าปูผ้าห่มภายในตู้ซึ่งมีกลิ่นชื้นอยู่บ้างแล้วทุกอย่างล้วนไม่เลว ปัญหาเล็กน้อยแค่นี้จี้หยวนยื่นมือปัดก็จัดการได้แล้ว
การทำงานพักผ่อนของคนอำเภอหนิงอันยังเหมือนเดิม ต่อให้ตอนนี้เป็นหน้าหนาว เวลาที่ต้องดูแลทุ่งนาน้อยลงมาก แต่ชาวบ้านในอำเภอยังคงตื่นเช้า
มีเพียงจี้หยวนซึ่ง ‘ตะวันโด่งข้าหลับใหลลำพัง’ หลับคราหนึ่งนานจนตะวันลอยเด่นยังไม่มีสัญญาณว่าจะตื่นขึ้นมา ส่วนกระเรียนกระดาษพอได้พักคืนหนึ่ง มันมุดออกจากถุงผ้าไหมและซอกประตูอีกครั้ง ไปบินเล่นตรงลานข้างนอก
กลางเรือนเล็กยังมีเสียงเซ็งแซ่เล็กน้อย นั่นคือเสียงพวกอักษรจิ๋ววิจารณ์เสียงเบา หรือกล่าวว่าแย่งกันพูดเสียงเบา
ด้วยนายใหญ่จี้หยวนกำลังนอนหลับ ดังนั้นแม้แต่อักษรจิ๋วพวกนี้ยังกดเสียงต่ำตามจิตใต้สำนึก เกรงว่าจะรบกวนเวลานอนของนายใหญ่ ผลคือจี้หยวนหลับยาวจนถึงเที่ยงวัน
ประมาณเที่ยงวันของวันต่อมา จี้หยวนพลิกตัวอย่างสบายบนเตียงของตน จากนั้นค่อยลุกขึ้นมา
“หาว…”
บางครั้งการหาวพลางยืดเอวบิดขี้เกียจอย่างสบายใจถือเป็นการเสพสุขอย่างหนึ่ง
เขาสวมเสื้อออกจากเรือนอีกครั้ง บางทีคงเป็นผลจากการนอนหลับที่บ้านตนกระมัง จี้หยวนรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย
เขาออกไปกินหมี่พะโล้ตรงร้านบะหมี่ตระกูลซุน จากนั้นค่อยเดินวนรอบเมืองเล็กน้อย จี้หยวนซึมซับบรรยากาศบ้านเกิดในชาตินี้ด้วยวิธีการของตน
แน่นอนว่านอกจากนี้เขายังมีเรื่องบางอย่างต้องทำ เป็นสิ่งที่ฉินจื่อโจวฝากฝังเขาไว้ ดังนั้นหลังจากเดินเล่นรอบหนึ่ง เขาอ้อมถนนกลางอำเภอหนิงอันไปทางเหนือ มุ่งหน้าไปยังโถงเกื้อกูลเลื่องชื่อภายในอำเภอ
เมื่อมาถึงโถงเกื้อกูล จี้หยวนเห็นหมอถงซึ่งอายุมากถึงกับยังนั่งบัญชาอยู่กลางโถง มีคนป่วยมาตรวจอาการเป็นพักๆ ไม่ใช่แค่ชาวบ้านในอำเภอหนิงอัน ยังมีคนป่วยซึ่งมาจากต่างเมืองหรือหมู่บ้านค่อนข้างห่างไกล
รอเมื่อหมอถงสั่งยาปรับกล่อมประสาทให้ฮูหยินตั้งครรภ์คนสุดท้ายเสร็จ เขาค่อยมีเวลาหยุดพักกินอาหารกลางวัน
“อาจารย์ ควรกินข้าวแล้ว ข้าอุ่นเกี๊ยวน้ำตระกูลหลี่มาให้ท่าน!”
ชายวัยกลางคนด้านข้างกะเวลาแม่นยำ รอเมื่ออาจารย์ตนตรวจคนป่วยเสร็จ เขาวิ่งไปอยู่ข้างเตายาข้างนอกทันที เปิดหม้อดินทรายขนาดใหญ่ใบหนึ่ง
ท่ามกลางไอร้อนพวยพุ่งชายคนนั้นเหลือบมองจี้หยวนที่มองมาทางนี้จากริมถนนข้างนอกตลอด ปากพึมพำอย่างสงสัยประโยคหนึ่ง จากนั้นเขามัวแต่สนใจของภายในหม้อ
ภายในนั้นไม่ใช่ยาอะไร แต่เป็นเกี๊ยวน้ำไส้แน่นอุ่นร้อนชามหนึ่ง ชายคนนี้เนื้อหนาผิวหยาบ กอปรกับเป็นหน้าหนาว เขาไม่กลัวขอบหม้อดินทรายลวกผิว ยื่นมือเข้าไปตักเกี๊ยวน้ำชามหนึ่งออกมาจากช่องโหว่ จากนั้นค่อยรีบยกเข้าไปด้านใน
ชายคนนั้นยกเกี๊ยวน้ำชามใหญ่พร้อมช้อนเข้ามา วางลงข้างโต๊ะตรวจของถงเซียน
“อาจารย์ รีบกินตอนร้อนเถอะ พวกเราเป็นหมอยิ่งต้องพิถีพิถันเรื่องการกินตรงเวลา วันนี้เกือบเลยเที่ยงอีกแล้ว”
แต่ชายคนนั้นกลับพบว่าอาจารย์ตนไม่ได้มองเกี๊ยวน้ำอุ่นร้อน จากนั้นค่อยพบว่าไม่ได้มองตนด้วย
“เจ้าหลีกทางหน่อย”
“หา?”
“ปัดโธ่ บอกให้เจ้าหลีกทาง!”
ถงเซียนอายุราวเจ็ดแปดสิบ แต่แรงกำลังไม่น้อย ถ้าเป็นผู้อาวุโสคนอื่นในอำเภอหนิงอันคงใกล้ดินกลบหน้าหมดแล้ว แต่เขากลับผลักศิษย์ร่างกำยำคนนี้ของตนได้ สายตามองไปบางจุดนอกโถงยา
จี้หยวนที่เห็นเหตุการณ์นี้แล้วอดยิ้มไม่ได้ ดูท่าว่าหมอถงคงไม่ได้เรียนแค่วิชาแพทย์จากฉินจื่อโจวอาจารย์เขาอย่างเดียว แม้แต่การเสริมสร้างร่างกายยังสืบทอดมาด้วย
หลังจากเห็นจี้หยวนซึ่งเดินมาใกล้โถงเกื้อกูลอย่างชัดเจน ถงเซียนลุกขึ้นจากที่นั่งตามจิตใต้สำนึก
“ท่านจี้?”
เสียงถงเซียนเจือความยากจะเชื่อเล็กน้อย ถึงขั้นว่ายังขยี้ตาด้วย จี้หยวนก้าวเข้าโถงเกื้อกูลพลางประสานมือคารวะ
“หมอถงมีสายตาและความจำดีนัก ภายในอำเภอหนิงอันนี้หมอถงถือเป็นคนแรกที่จำข้าคนแซ่จี้ได้ทันที”
ได้ยินการยืนยันด้วยเสียงราบเรียบนุ่มนวลนี้ ทั้งเห็นใบหน้าและท่าทางการเดินของจี้หยวน ถงเซียนรีบคารวะตอบเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน
“ท่านจี้ เป็นท่านจริงด้วย! ความจริงใช่ว่าข้าคนแซ่ถงสายตาดี แต่เมื่อคืนฟังคนแก่จากตรอกเทียนหนิวที่มาดูอาการ เขาบอกว่าท่านอาจกลับมาแล้ว ถ้าเห็นคนคล้ายคลึงย่อมมองหลายครั้งอย่างอดไม่ได้!”
ถงเซียนมองซ้ายมองขวา ก่อนลากเก้าอี้มาตัวหนึ่ง
“ท่านจี้เชิญนั่ง เชิญนั่ง กินอะไรมาหรือยัง ข้ามีเกี๊ยวน้ำหนึ่งชาม เป็นของตระกูลหลี่ แม้ว่าอุ่นร้อนมา แต่รสชาติน่าจะไม่เลว”
“ไม่ต้องๆ ข้าคนแซ่จี้กินหมี่พะโล้ตระกูลซุนมาแล้ว หมอถงรีบกินข้าวเถอะ ศิษย์ท่านกล่าวไม่ผิด ควรกินตรงเวลา!”
ชายวัยกลางคนด้านข้างมองจี้หยวนตั้งแต่หัวจรดเท้า เวลานี้เพิ่งได้สติกลับมา
“ท่านคือท่านจี้? ใช่ ท่านต้องเป็นท่านจี้แน่ รูปร่างหน้าตาเหมือนปีนั้น มะ ไม่เปลี่ยนจริงๆ! ท่านรีบนั่งเถอะ เชิญนั่ง!”
ตอนนั้นชายวัยกลางคนผู้นี้อายุไม่ถึงยี่สิบ ด้วยบารมีของถงเซียน เขาเคยกินผลต้นพุทรากลางลานเรือนสันติมาก่อน ด้วยเป็นลูกศิษย์ของโถงยา เขาจึงได้รับอิทธิพลจากถงเซียน เข้าใจเรื่องของจี้หยวนมากกว่าชาวบ้านฟังเรื่องสนุกในอำเภอ
จี้หยวนนั่งลง ในฐานะที่ถงเซียนเป็นหมอคนหนึ่ง เขาประเมินสีหน้าจี้หยวนตามจิตใต้สำนึก เห็นสีหน้าเขาเป็นเลิศไม่อิดโรยแม้แต่น้อย ตั้งแต่ใบหน้าถึงผิวตรงมือล้วนอิ่มเอิบ กอปรกับผมดำขลับทั้งศีรษะ ถือเป็นลักษณะที่มีแค่คนหนุ่ม
“ท่านเหมือนเทพเซียนจริงๆ!”
ถงเซียนกล่าวชมประโยคหนึ่ง ก่อนหยิบช้อนขึ้นมาตักเกี๊ยวน้ำกินคำหนึ่ง ความหิวโหยก่อเกิดจนกินติดต่อกันหลายคำ
“ท่านจี้ ข้าไปต้มน้ำชงชามาให้ท่าน!”
ชายด้านข้างไม่อยู่เฉย กล่าวประโยคนี้จบแล้วรีบเดินเข้าห้องด้านใน เตายาตรงนั้นยังต้มน้ำร้อนอยู่ แต่ยังไม่ทันเดือด เขาต้องไปเร่งไฟเพื่อนำมาชงชา
ภายใต้ผลกระทบจากกลิ่นอายนิ่งสงบบางเบาของจี้หยวน ความรู้สึกตื่นเต้นตอนต้นของหมอถงเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว เขากินพลางพูดคุยกับจี้หยวน
“ไม่เจอท่านจี้มาสิบกว่าปีแล้ว”
ประโยคนี้ตามเคย ช่วงนี้จี้หยวนได้ยินบ่อยมาก เขายิ้มพลางพยักหน้าเล็กน้อย
“ใช่ นานมากแล้ว นานจนอำเภอหนิงอันมีคนจำข้าได้ไม่กี่คน”
“ฮ่าๆๆ ถ้าอย่างนั้นท่านควรมาหาข้าคนแซ่ถงก่อน แน่นอนว่าต้องจำท่านได้!”
ถงเซียนพูดเช่นนี้ก่อนกินเกี๊ยวน้ำอีกสองสามคำ เคี้ยวกลืนลงคอเสร็จค่อยกล่าว
“ก่อนหน้านี้ยังเคยได้ยินคนพูดว่าท่านตายอยู่ต่างถิ่นแล้ว บอกว่าของสำคัญล้วนฝากคนนำมามอบให้กับท่านอิ๋นหมด ข้าว่าแล้วต้องเป็นข่าวลือ!”
“ฮ่าๆๆๆๆ… มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
จี้หยวนหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เรื่องแบบนี้ยังแพร่สะพัดได้ ข่าวลือไม่แบ่งสังคมและยุคสมัยจริงๆ
“นั่นน่ะสิ ทั้งเล่าลือราวกับเป็นเรื่องจริง บอกว่าท่านเป็นวัณโรค เสียชีวิตบนรถม้ายามกลับถิ่นเกิด ทั้งบอกว่าหลังจากท่านอิ๋นได้รับจดหมายลาของท่าน เขาเร่งส่งคนไปพันลี้ เตรียมรับศพท่านกลับอำเภอหนิงอัน แต่จนปัญญาหาไม่เจอ…”
จี้หยวนฟังแล้วอึ้งงันเล็กน้อย
“ละเอียดขนาดนี้เชียว? ข่าวลือนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่หรือ”
ถ้ามีต้นตอสักหน่อยคงแต่งเรื่องราวจนเสร็จสมบูรณ์กระมัง
ถงเซียนครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“อย่างน้อยคงหกเจ็ดปีแล้ว เมื่อสองปีก่อนท่านอิ๋นกลับบ้านเกิดมาเซ่นไหว้บรรพชน ข้ายังลังเลว่าควรไปถามหรือไม่ แต่คิดแล้วก็ปล่อยไป”
จี้หยวนถูกทำให้ขบขันเข้าจริงแล้ว เขาส่ายศีรษะพลางยิ้มเล็กน้อย
“โชคดีว่าหมอถงไม่ไปถาม ไม่อย่างนั้นอาจารย์อิ๋นอาจบันดาลโทสะ”
“บันดาลโทสะก็บันดาลโทสะสิ ตามหาพวกชอบนินทาแต่งเรื่องมาลงโทษหน่อย ทำให้พวกเขาหลาบจำบ้างก็ดี!”
ถงเซียนอายุมากแล้วก็จริง แต่แนวคิดยังชัดเจนยิ่ง
มีอาจารย์ดีคนหนึ่งนำทาง ได้รับประโยชน์ตลอดชีวิต ไม่ว่าเป็นหนทางการกินอยู่ก็ดี หรือความประพฤติศีลธรรมก็ช่าง ทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนี้ คำว่าอาจารย์เหมือนดังคำว่าเป็นครูหนึ่งวันดุจเป็นบิดาตลอดชีวิต หน้าที่อบรมด้วยคำพูดสอนด้วยการกระทำสะท้อนออกมาอย่างถึงแก่น
เมื่อนึกถึงฉินจื่อโจว จี้หยวนหยิบแผนภาพฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะตรวจของหมอถง
“ท่านจี้ นี่คือ?”
ถงเซียนมองจี้หยวนอย่างสงสัย
“หมอถง หลายปีก่อนอาจารย์ท่านฉินจื่อโจวผูกไมตรีกับข้าคนแซ่จี้ ทั้งมอบของบางอย่างกับข้า บอกให้ข้าดูแลแทน พูดว่าเมื่อถึงเวลาเหมาะสมค่อยมอบแก่เหล่าศิษย์ ข้าคนแซ่จี้พเนจรข้างนอกนานปี กลับมาครั้งนี้จึงขอมอบให้ท่าน”
“ของจากอาจารย์? หะ… เหตุใดเขาถึงไม่มอบให้พวกเราเอง”
หมอถงพูดอย่างสงสัยก่อน จากนั้นค่อยรีบตักเกี๊ยวน้ำสองชิ้นที่เหลือในชามเข้าปาก หยิบผ้าขนแกะด้านข้างมาเช็ดมือ ก่อนหยิบแผนภาพมาเปิดออกทีละน้อยอย่างระวัง
บนแผนภาพมีตัวอักษรน้อยมาก แต่กลับมีภาพวาดเยอะหน่อย เป็นภาพคนมากมายยืนทำท่านานัปการ ทั้งมีการเปลี่ยนท่าอย่างนุ่มนวล
“นี่คือ… วิชายุทธ์หรือ”
ถงเซียนมองการเคลื่อนไหวของคนตัวเล็กบนนั้นพลางกล่าวอย่างสงสัย แต่จี้หยวนกลับส่ายหัวเล็กน้อย
“ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่วิชายุทธ์ แต่เป็นวิชาเสริมสร้างร่างกายอย่างหนึ่งของสำนักเต๋า ไม่ต้องหมั่นฝึกวิชายุทธ์ตลอดเหมือนจอมยุทธ์ ทุกวันยามเช้าตรู่หากรำหมัดพวกนี้ย่อมช่วยสร้างร่างกายให้แข็งแรงได้ไม่เลว แต่สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอ”
ถงเซียนมองภาพวาดฉบับนี้อยู่นานค่อยเอ่ยถาม
“หะ หากว่ามีประสิทธิผล ถ่ายทอดให้คนป่วยได้หรือไม่”
จี้หยวนครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“ผู้เป็นหมอเรียนได้ คนป่วยใช่ว่าไม่อาจถ่ายทอด แต่คนทั่วไปยอมเสียเวลาครึ่งชั่วยามทุกวันมาทำเรื่องนี้มีเท่าไหร่ หากไม่ใช่ว่าป่วยหนัก คนมาหาหมอคงไม่มาก”
“เฮ้อ ก็ถูก ดูท่าว่าแผนภาพนี้อาจารย์คงให้ผู้เป็นหมออย่างพวกเรารักษาตัวเอง!”