เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 408 เขาล้อมหยกมาเยือน
ตอนที่ 408 เขาล้อมหยกมาเยือน
“อาจารย์ ท่านจี้ น้ำชาพร้อมแล้ว!”
ชายวัยกลางคนกลับมาจากสวนด้านหลัง ในมือยังยกน้ำชาที่เตรียมไว้มาด้วย แต่เมื่อออกมากลับเห็นว่าข้างนอกมีแค่ถงเซียนอาจารย์ตนคนเดียว กำลังถือม้วนภาพอ่านโดยละเอียด
“เอ่อ อาจารย์ ท่านจี้เล่า”
ถงเซียนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น สายตาอ่านแผนภาพในมือตลอดก่อนกล่าวตอบ
“กลับบ้านไปแล้ว เดิมยังคุยกันอยู่ดีๆ แต่เขาพลันลุกขึ้นบอกว่าทางบ้านจะมีแขกมาเยือนแล้วจากไป”
“อ้อ…”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าอย่างผิดหวัง วางถาดในมือลงบนโต๊ะตรวจ รินชาให้ถงเซียนพลางมองม้วนภาพอย่างสงสัย
“อาจารย์ นี่คืออะไรหรือ ท่านจี้มอบให้หรือ”
“อืม ยามอาจารย์ปู่เจ้ามีชีวิตเคยฝากท่านจี้นำมาให้ข้า ได้ยินว่าเป็นวิชาเสริมสร้างร่างกายของสำนักเต๋าบางแห่ง ภายในมีภาพเคลื่อนไหวและใจความหลัก ไม่ยากแต่สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอ”
ชายวัยกลางคนมองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม
“แค่มองภาพวาดแล้วทำเป็นหรือ”
ในที่สุดถงเซียนก็หันมามองศิษย์ของตน
“ไร้สาระ แค่มองแน่นอนว่าทำไม่เป็น จำต้องฝึก จากนั้นถ้าไม่เข้าใจค่อยไปหาท่านจี้ให้เขาสาธิตหน่อย”
“อะ อ้อ…”
ทั้งสองคนดื่มชาพิจารณาอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน รอเมื่อมีชาวบ้านมาซื้อยากับตรวจอาการ พวกเขาจึงเริ่มตรวจอาการและจัดยาใหม่อีกครั้ง
…
ตอนนี้จี้หยวนกลับมาถึงเรือนสันติแล้ว รอคนจากเขาล้อมหยกมาหาถึงหน้าประตู
จี้หยวนไม่ได้รู้เวลามาเยือนของเขาล้อมหยกแน่ชัดเหมือนมีญาณทิพย์ แต่รับรู้กลิ่นอายของเว่ยหยวนเซิงกับเว่ยอู๋เว่ย แม้ว่าสองคนนี้ไม่นับเป็นตัวหมากตามหลักการ แต่กลับมีคุณสมบัติสร้างตัวหมากแล้ว
เมื่อยืนยันว่าพ่อลูกตระกูลเว่ยจะมาหาจี้หยวน ทั้งระยะห่างอยู่ใกล้กันระดับหนึ่ง จี้หยวนย่อมสัมผัสได้รางๆ
ตอนนี้เวลานี้อย่าว่าแต่ตระกูลเว่ยแห่งจังหวัดเต๋อเซิ่ง แม้แต่อำเภอหนิงอันยังมีคนไม่มากที่รู้ว่าจี้หยวนกลับมาแล้ว สองพ่อลูกมาได้เพราะมาพร้อมคนของเขาล้อมหยกแน่
จี้หยวนจึงกลับบ้านล่วงหน้าก้าวหนึ่ง พวกเขาจะได้ไม่มาเสียเที่ยว
เมื่อมาถึงท้ายตรอกเทียนหนิว ยังไม่เข้าใกล้เรือนสันติซึ่งห่างไกล จี้หยวนได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วเอะอะโวยวายแล้ว ความอึกทึกนั่นคงเป็นพวกอักษรจิ๋วภายในเรือนสันติพูดคุยโต้เถียงกัน
แต่เสียงพวกอักษรจิ๋วไม่ดังนัก หากมีคนธรรมดาผ่านทางมาคงละเลยโดยง่าย หรืออาจได้ยินเสียงดังอลหม่านเซ็งแซ่ แต่ยากแยกแยะต้นตอว่ามาจากไหน
แอ๊ด…
ประตูเรือนถูกจี้หยวนเปิดออกจากด้านนอก เสียงเซ็งแซ่ภายในเรือนหยุดลงทันที
รอเมื่อเห็นจี้หยวนชัดเจน พวกอักษรจิ๋วค่อยดึงสติกลับมา
“ไอ้หยา นายใหญ่กลับมาแล้ว”
“ข้าตกใจหมด คิดว่าถูกพวกสอดรู้สอดเห็นเจอตัวแล้ว”
“นายใหญ่เดินมาเหตุใดถึงไม่มีเสียงเล่า!”
“พวกเราเสียงดังขนาดนี้ มีหรือจะได้ยินเสียงฝีเท้า”
“ทำอย่างไรได้เล่า พวกเรามีหรือจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของนายใหญ่!”
“พวกเราเงียบหน่อยก็ได้ไม่ใช่หรือ!”
“เจ้าเงียบเป็นหรือไม่เล่า”
“แน่นอนว่าข้าเงียบเป็น!”
“เจ้าทำไม่ได้หรอก เจ้าเสียงดังที่สุด!”
“เหลวไหล ข้าเงียบที่สุด เจ้าต่างหากที่เสียงดัง เจ้าเสียงดังมากที่สุด!”
“เจ้าเสียงดัง!”
“เจ้าเสียงดัง!”
…
“ฮู่… หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!”
จี้หยวนกล่าวเสียงเบา เสียงราบเรียบแต่กลบเสียงอึกทึกครึกโครมของอักษรจิ๋วทั้งหมด ในที่สุดเรือนสันติก็เงียบลง มองพวกอักษรจิ๋วซึ่งอยู่บนโต๊ะ เหนือประตู บนพื้น บนต้นไม้พลางกล่าว
“อีกเดี๋ยวจะมีคนจากจวนเซียนมาเยือน พวกเจ้าอยากกลับเข้าเทียบเจตกระบี่หรืออยากอยู่ข้างนอก”
“อยู่ข้างนอก!”
หายากยิ่งนัก อักษรจิ๋วร้อยกว่าตัวพูดเป็นเสียงเดียวกัน
“ได้ ถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวพยายามเงียบไว้ อย่ารบกวนพวกเขา รู้แล้วใช่หรือไม่”
“รับคำสั่งนายใหญ่!”
ไม่รู้ว่าพวกอักษรจิ๋วเลียนแบบเจ้าที่อำเภอตงเยวี่ยตรงเชิงเขาเมฆาหรือไม่ ตอนนี้ถ้าจี้หยวนออกคำสั่งอะไรกับพวกมัน ทั้งหมดล้วนชอบบอกว่า ‘รับคำสั่ง’ คิดว่าการพูดแบบนั้นแสดงความเคารพของตนที่มีต่อนายท่านยิ่งขึ้น
“หึๆ ถ้าอย่างนั้นก็ได้ หาสถานที่ซ่อนตัวเถอะ”
จี้หยวนกล่าวเช่นนี้ ไม่ห่วงว่าอักษรจิ๋วพวกนี้จะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแม้แต่น้อย อย่ามองว่าเจ้าตัวน้อยพวกนี้เอะอะโวยวายกล้าแต่ในบ้านทั้งวัน ความจริงล้วนไม่ใช่พวกต่อกรง่าย
เมื่อรับคำสั่งจี้หยวน พวกอักษรจิ๋วลอยตัวกลางอากาศทันที วนอ้อมซ้ายขวาก่อนผลุบเข้าต้นพุทราอย่างพร้อมเพรียง
แม้แต่กระเรียนกระดาษน้อยยังร่วมสนุกบินขึ้นต้นไม้ แต่ไม่นานมันก็บินลงมา โรยตัวลงบนบ่าจี้หยวน คนจากเขาล้อมหยกคือผู้ที่มันไปแจ้งข่าว ทำไมต้องหลบด้วย
…
กลางอากาศเหนือสถานที่บางแห่งของจังหวัดเต๋อเซิ่ง พวกจูหยวนจื่อ หยางหมิง ฉิวเฟิงขับเคลื่อนเมฆลมมาพร้อมกัน นำอีกสามคนเหาะเหินเดินอากาศมาด้วย สามคนนั้นคือศิษย์หญิงของหยางหมิง ‘ซ่างอีอี’ กับศิษย์เพียงคนเดียวของฉิวเฟิง ‘เว่ยหยวนเซิง’ รวมถึงเว่ยอู๋เว่ยบิดาของเว่ยหยวนเซิง
เดิมเว่ยอู๋เว่ยไม่ได้อยู่ในแผนเดินทางมาเยี่ยนเยียน แต่เว่ยหยวนเซิงบอกฉิวเฟิงว่าบิดาตนสนิทกับท่านจี้ รู้จักกันมานานมาก แน่นอนว่าความสัมพันธ์ย่อมดียิ่ง เขาเดินทางมาเขาล้อมหยกได้เพราะท่านจี้มาหาท่านพ่อเพื่อชี้แนะโดยเฉพาะ เขาจึงถามว่าถ้าพาบิดาตนไปด้วยจะเหมาะสมกว่าหรือไม่
แน่นอนว่าข้อเสนอนี้ผ่านฉลุย การติดต่อกับจี้หยวน เขาล้อมหยกเป็นฝ่ายต้อนรับตลอด นั่นยิ่งต้องเชื่อมสัมพันธ์ตีสนิท คนคุ้นเคยยิ่งต้องพามา ยิ่งสนิทสนมกับจี้หยวนยิ่งดี
ถ้าใช้คำพูดเหล่าผู้ฝึกปราณระดับสูงแห่งเขาล้อมหยก วาสนาก็คือวาสนา บางครั้งไม่ต้องสนใจว่าวาสนามาอย่างไร แต่เซียนต้องมีความสัมพันธ์เชื่อมไมตรีเช่นกัน
ต่อให้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลอยบนฟ้า แต่เว่ยอู๋เว่ยยังตื่นเต้นมาก เรื่องน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือครั้งนี้เดินทางไปเรือนสันติ
“ท่านพ่อ อาจารย์ เรือนสันติเป็นแค่เรือนธรรมดาหลังหนึ่ง หรือความจริงภายในมีถ้ำสวรรค์กันแน่ ไม่แน่ว่าบ่อน้ำที่ปิดมาตลอดนั่นอาจเป็นทางเข้าถ้ำสวรรค์ เข้าไปแล้วคงเป็นฟ้าดินแห่งใหม่กระมัง”
เว่ยอู๋เว่ยเบ้ปากไม่เอ่ยวาจา ฉิวเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“เรื่องนี้เจ้าถามท่านจี้เองได้ พวกเราไม่สะดวกพูด แต่เจ้าถามได้ไม่เป็นไร”
“แหะๆ อาจารย์ท่านอยากรู้เหมือนกันใช่หรือไม่”
ฉิวเฟิงไม่เอ่ยวาจา ถือว่ายอมรับเงียบๆ จูหยวนจื่อที่อยู่ด้านข้างลูบเครายิ้มเล็กน้อย มองเขาโคเทพซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม
“ลักษณะภูเขาลูกนี้สูงชันแต่ไม่อันตราย ยอดเขามากแต่ไม่หนาแน่น ยอดเขาซับซ้อนภายในซ่อนฟ้าดิน ชื่อภูเขาอะไร”
เว่ยอู๋เว่ยรีบก้าวออกมาพลางกล่าว
“เรียนเซียนจู ภูเขานี้นามว่าเขาโคเทพ ปีนั้นท่านจี้เคยช่วยจอมยุทธ์น้อยเก้าคนที่นี่ จากนั้นค่อยลงเขามาพร้อมกัน สถานที่นี้มีโอกาสสูงว่าเคยเป็นแดนฝึกปราณลับของท่านจี้”
จูหยวนจื่อมองเว่ยอู๋เว่ยก่อนพยักหน้ากล่าว
“อืม มีเหตุผล!”
เขาพูดพลางมองลักษณะเขาโคเทพโดยละเอียดยิ่งขึ้นอย่างอดไม่ได้ ไม่อยากพลาดแม้แต่น้อย กระทั่งต่อมาค่อยพบแท่นหินยักษ์จันทรา ทอดมองไปก็เห็นว่ามีปราณวิญญาณรวมตัว ท่ามกลางความรางเลือนให้ความรู้สึกเปล่งประกาย ถึงขั้นมีกลิ่นอายอานุภาพสวรรค์อย่างหนึ่งด้วย
แต่เมฆซึ่งพวกเขาขับเคลื่อนกลับไม่ลงมา แค่โฉบผ่านอยู่ห่างไกลเท่านั้น สิ่งสำคัญคือเกรงว่าจะล่วงเกินจี้หยวน
ในหมู่พวกเขาตำแหน่งการยืนของเว่ยอู๋เว่ยรั้งท้ายที่สุด ตอนนี้สองมือเขาไพล่หลัง ยืดอกมองภูผาธาราหมื่นลี้เบื้องล่าง ในใจรู้สึกว่าองอาจไร้ขอบเขต
‘นี่ก็คือวิชาเซียน อำนาจอะไร ทรัพย์สินอะไร วิชายุทธ์อะไร มีหรือจะเทียบการย่างเหยียบพันภูผา กล่าวถึงโลกมนุษย์เหนือเมฆได้!’
เมื่อเห็นเขาโคเทพ ระยะห่างจากอำเภอหนิงอันก็ไม่ไกลแล้ว ไม่นานทุกคนก็ขี่เมฆมาถึงนอกอำเภอหนิงอัน
“เซียนจู ศิษย์พี่ พวกเรามาเยี่ยมท่านจี้เพื่อแสดงความเคารพ ควรโรยตัวนอกอำเภอหนิงอัน เดินเท้าไปดีกว่า”
“เซียนฉิวพูดมีเหตุผล ควรเป็นเช่นนั้น!”
“ไม่ผิด!”
เมฆเคลื่อนตัวลงตรงป่าบางแห่งนอกอำเภอ หลังจากนั้นครู่หนึ่งพวกเขาเดินออกจากป่า เดินเข้าอำเภอไปตามทางหลวงนอกอำเภอหนิงอัน
ผ่านไปประมาณสองเค่อ พวกเขาเข้าสู่อำเภอหนิงอัน เข้าใกล้ตรอกเทียนหนิว ชั่วพริบตาก็เห็นร้านบะหมี่ตรงข้ามประตูตรอกซึ่งสะดุดตายิ่ง
“นี่ก็คือร้านบะหมี่ตระกูลซุน! เป็นบะหมี่ซึ่งท่านจี้ชอบที่สุด!”
เว่ยหยวนเซิงโพล่งออกมาทันที เว่ยอู๋เว่ยกล่าวเช่นกัน
“ไม่ผิด นั่นก็คือร้านบะหมี่ตระกูลซุน ตระกูลพวกเขาถนัดทำหมี่พะโล้และน้ำแกงเครื่องในที่สุด ศึกษาค้นคว้าทักษะแขนงนี้มาหลายรุ่น รสชาติไม่เลวจริงๆ จากการสืบข่าวของตระกูลเว่ย คนตระกูลซุนมีกฎเกณฑ์การทำบะหมี่อยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือหากเปิดร้าน ไม่ว่าเวลาใดล้วนต้องเก็บบะหมี่กับเครื่องในไว้ชุดหนึ่ง เผื่อว่าหากท่านจี้มากะทันหันจะได้กิน”
เมื่อฟังคำอธิบายของเว่ยอู๋เว่ย พวกจูหยวนจื่อทอดถอนใจนัก
“คนตระกูลนี้วาสนาดี!”
“ใช่ คนธรรมดาย่อมมีสติปัญญาของคนธรรมดา”
“ไปเถอะ!”
พวกเขาเข้าใกล้ตรอกเทียนหนิวช้าๆ เมื่อผ่านร้านตระกูลซุนยังจับตามอง เว่ยหยวนเซิงเดินเข้าไปประสานมือกล่าวกับซุนฝูซึ่งกำลังยุ่งง่วน
“ขอถามเจ้าของร้านท่านนี้ ท่านจี้อยู่บ้านหรือไม่ ไปเดินเล่นในอำเภอหรือไม่”
ซุนฝูมองพวกเขาเล็กน้อย เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วเหมือนว่าค่อนข้างไม่ธรรมดา รู้สึกแปลกประหลาดแต่กลับบอกไม่ถูก เขาไม่แสดงความรู้สึกเกลียดชังใด เมื่อได้ยินว่าถามถึงจี้หยวนก็เอ่ยตอบ
“ตอนนี้ท่านจี้น่าจะอยู่บ้าน ตอนเที่ยงเขามากินบะหมี่แล้วไปเดินเล่นในอำเภอ เมื่อครึ่งเค่อก่อนก็กลับมาแล้ว”
เว่ยอู๋เว่ยยิ้มเล็กน้อย
“ขอบคุณเจ้าของร้านที่บอก น้ำใจเล็กน้อย ไม่อาจแทนความเคารพนับถือ!”
เขาพูดพลางเดินเข้าใกล้ร้านบะหมี่สองสามก้าว ก่อนวางเหรียญห้าอีแปะสองเหรียญไว้
“เฮ้ยๆๆ รับไม่ได้ๆ ท่านแค่ซักถามเท่านั้น!”
“เฮ้อ รับได้ ถือว่าช่วยท่านจี้จ่ายค่าบะหมี่ครั้งหนึ่ง”
เว่ยอู๋เว่ยพยักหน้ายิ้มพลางเดินจากร้านบะหมี่ไป เดินเข้าตรอกเทียนหนิวไปพร้อมพวกเขา
เว่ยอู๋เว่ยทำเรื่องเหมาะสม ทำให้พวกเซียนมองเขาอีกครั้ง เว่ยหยวนเซิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ท่านพ่อ เหตุใดถึงมอบให้สิบอีแปะ มอบให้สองสามตำลึงเงินสิ”
เว่ยอู๋เว่ยยิ้มมองเว่ยหยวนเซิง สุดท้ายบุตรชายตนยังเด็กนัก
“หึๆ หยวนเซิง นี่ก็คือการวางตัวเป็น สิบอีแปะเขาถึงจะรับ ตัวเจ้าคิดเรื่องความสัมพันธ์ดู”
เว่ยหยวนเซิงฟังแล้วครุ่นคิด
ตรอกเทียนหนิวคดเคี้ยวไปมา แต่เรือนสันติอยู่ตรงมุมลับตาคน คนเดินผ่านน้อยถือว่าถูกแล้ว ไม่นานนักพวกเขามาถึงนอกเรือนสันติ เห็นต้นพุทราเหมือนฉัตรใหญ่ต้นนั้น
“ถึงแล้ว”
ตั้งแต่อาวุโสถึงเยาว์วัย ทุกคนจัดเสื้อเรียบร้อยตามจิตใต้สำนึก จากนั้นค่อยเดินมาหน้าเรือนสันติ ประตูเรือนแค่แง้มไว้ เมื่อเงยหน้าก็เห็นแผ่นป้ายใหม่สีหมึกเข้มข้น
“อักษรของท่านเรียกว่าเป็นหนึ่งเหนือยุคสมัย เลิศล้ำ อัศจรรย์!”
เว่ยอู๋เว่ยเอ่ยชมเสียงเบา ฉิวเฟิงกับหยางหมิงพยักหน้า ฝ่ายแรกพูดจบแล้วมองคนอื่นก่อนเดินไปเคาะประตูเรือนสันติ มีแค่จูหยวนจื่อมองแผ่นป้ายตลอด ขมวดคิ้วเล็กน้อยเป็นครั้งคราว
ก๊อกๆๆ…
“ท่านจี้ เขาล้อมหยกมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ!”
จี้หยวนเตรียมสิ่งของจำพวกน้ำชาไว้กลางลานอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้เขาเดินมาตรงประตูเรือน ก่อนเปิดประตูเรือนเบาๆ มองทั้งหกคนที่กำลังยืนประสานมือคารวะอยู่ข้างนอก
“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี เชิญเข้ามาเถอะ ข้าคนแซ่จี้เพิ่งเตรียมน้ำชากับขนมเสร็จ”
มาเยี่ยมเยือนเรือนสันติ ไม่มีความรู้สึกเหมือนไปจวนผู้ฝึกเซียนชั้นสูงโดยสิ้นเชิง กลับกลายเป็นว่าเหมือนมาเป็นแขกของเรือนผู้โอบอ้อมหลังหนึ่ง
พวกเขาทักทายกันก่อนเข้าไปด้านใน ทยอยนั่งลงกลางลาน มีแค่เซียนสามคนกับจี้หยวนนั่งม้านั่งหิน อีกสามคนนั่งเก้าอี้หรือตั่งไม้
จี้หยวนไม่วางท่าแม้แต่น้อย รินชาให้ทุกคนด้วยตัวเอง
ก่อนอื่นย่อมรินชาให้จูหยวนจื่อซึ่งมีพลังปราณสูงสุดในบรรดาเซียนเขาล้อมหยก ทำให้เซียนอาวุโสซึ่งฝึกปราณมานานปีคนนี้รู้สึกดีใจอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
“ขอบคุณท่านจี้!”
แต่หลังจากจูหยวนจื่อกล่าวขอบคุณ ขณะคิดจิบชาอึกหนึ่ง ปากยังไม่แตะถ้วยชาเขาพลันเงยหน้ามองไปบนต้นไม้ ทำท่าสงสัยครู่หนึ่งก่อนก้มหน้าลงอีกครั้ง