เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 410 จูหยวนจื่อผู้อารมณ์ดียิ่ง
ตอนที่ 410 จูหยวนจื่อผู้อารมณ์ดียิ่ง
ประโยคนี้ของจี้หยวนไม่ใช่แค่เสียงจากหัวใจเขา ความจริงยังเป็นเสียงจากหัวใจคนมากมายในเขาล้อมหยกด้วย เพียงแค่พลังปราณกับฐานะของเซียนจื่ออวี้ค่อนข้างสูง ผู้กล้าพูดในเขตเขาล้อมหยกจึงไม่มากเท่านั้น
ถึงอย่างไรเขาล้อมหยกก็ไม่ใช่สำนักเชิงนิกาย ไม่มีสถานการณ์เจ้าสำนักเป็นผู้นำและไม่มีใครเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างขุมอำนาจไม่แน่นแฟ้นแต่ค่อนข้างราบเรียบ ผู้อาวุโสซึ่งตำหนิเซียนจื่ออวี้จึงมีไม่น้อย
“ท่านจี้กล่าวถูกต้อง ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้ว่าศิษย์น้องจื่ออวี้อยู่แห่งใด”
จี้หยวนไม่เซ้าซี้ปัญหานี้อีก สนใจเรื่องงานชุมนุมเซียนพเนจรดีกว่า
“เขาล้อมหยกไม่เคยเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนพเนจรสองครั้งแล้ว แต่คิดว่าน่าจะเข้าใจสถานการณ์ของงานชุมนุมเซียนพเนจรกระมัง”
ตอนนี้จี้หยวนไม่รู้เรื่องงานชุมนุมเซียนพเนจรโดยสิ้นเชิง แม้ว่าอยากไปเปิดประสบการณ์มาก แต่ไม่อาจหลับหูหลับตา ตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าพวกติดบ้านอย่างเขาล้อมหยกไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง
จูหยวนจื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่ยังตอบตามความจริง
“ท่านคงไม่ทราบ งานชุมนุมเซียนพเนจรนี้ทุกหกสิบปีจึงจัดขึ้นครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาไม่นับว่าสั้น ดังนั้นการจัดงานชุมนุมแต่ละครั้งล้วนเปลี่ยนต่างไป ปรับเปลี่ยนตามสถานที่จัดงาน สิ่งสำคัญคือต้องดูว่าสำนักเซียนที่จัดงานเตรียมการอย่างไร กฎเกณฑ์ไม่มีทางเป็นหนึ่งเดียวแน่”
จูหยวนจื่อเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ
“แต่บางสถานการณ์อาจคล้ายกัน แม้ว่างานชุมนุมเซียนพเนจรไม่ถึงขั้นว่าทุกสำนักเซียนไปร่วม แต่คนไปย่อมไม่น้อย ถือเป็นงานแลกเปลี่ยนถกมรรคหายาก ผู้ฝึกปราณอย่างพวกเราต่างแสวงมรรค ดังนั้นโอกาสเช่นนี้ย่อมไปถกมรรคสักครา อืม บางครั้งอาจลงมือกันอย่างเลี่ยงไม่ได้…”
เรื่องนี้จี้หยวนแค่ยิ้มเล็กน้อย ถ้าปากสู้ไม่ได้ ลงมือเดี๋ยวก็รู้ หากตัดความอัศจรรย์บางส่วน ความจริงถือว่าใกล้เคียงคนธรรมดาทุ่มเถียงตามตลาด
“แน่นอนว่างานชุมนุมเซียนพเนจรย่อมเห็นอภินิหารพิเศษกับเจอเรื่องแปลกบ้าง แต่ยังเป็นโอกาสดีในการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสมบัติกับของล้ำค่า”
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกเซียนระดับเซียนแท้ปรากฏตัวด้วยหรือไม่”
นี่ก็คือประเด็นซึ่งจี้หยวนสนใจอย่างมาก ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่เคยพบเจอผู้ฝึกเซียนระดับเซียนแท้ซึ่งยังมีชีวิตมาก่อน ทั้งคาดหวังว่าจะเจอผู้แต่ง ‘ฝันท่องเมฆา’
ผ่านการฝึกปราณบนเกาะทั้งถกมรรคร่วมกับพระวิทยาราชคราหนึ่ง จี้หยวนมีเรื่องละเอียดอ่อนมากมายซึ่งกลั่นกรองได้จากตำราฝันท่องเมฆา ถ้าได้ยืนยันกับผู้แต่งเล็กน้อย ไม่แน่ว่าอาจค้นพบเรื่องน่าสนใจบางอย่าง
ได้ยินคำพูดนี้ของจี้หยวน จูหยวนจื่อเข้าใจยิ่ง ด้วยฐานะกับพลังปราณจี้หยวน ถ้าไปงานชุมนุมเซียนพเนจรดูพวกคนรุ่นหลังประชันฝีปากกันย่อมรู้สึกเบื่อแน่ หากให้เกียรติคงเจรจากับพวกคุยกันได้
“ข้าน้อยเข้าใจความรู้สึกของท่านจี้ ผู้มีพลังปราณสูงส่งย่อมไปไม่น้อย ส่วนเป็นผู้สูงส่งเซียนแท้จริงหรือไม่คงไม่แน่ชัด สำหรับผู้ฝึกเซียนทั่วไปคำว่าเซียนแท้สูงส่งนัก ท่ามกลางเมฆหมอกมองไม่ชัดเจน”
คำพูดจูหยวนจื่อหยุดชะงัก พูดมาถึงขั้นนี้แล้วไม่ลังเลอะไรอีก
“สำนักเซียนบางแห่งบอกว่าตนมีผู้สูงส่งระดับเซียนแท้มาร่วมงานชุมนุมเซียนพเนจรด้วย บางคนข้ามองไม่ออกจริงๆ แต่บางส่วนแค่สูสีกับข้าจูหยวนจื่อ เซียนแท้เช่นนี้ ท่านจี้เห็นว่าอย่างไร”
คำพูดนี้ของจูหยวนจื่อจี้หยวนฟังเข้าใจแล้ว
คำว่าเซียนแท้ไม่มีสัญลักษณ์บอกระดับเหนือศีรษะตัวละครคล้ายตอนเล่นเกมเมื่อชาติก่อน ไม่อาจรับประกันเต็มร้อย
ตอนนั้นกลยุทธ์เจิดจรัสเคยกล่าวว่าสามเลิศรวมเป็นหนึ่ง ไตรภาคฟ้าดินมนุษย์รวมเป็นหนึ่งคือสัญลักษณ์ของมรรคอัศจรรย์เซียนแท้ แต่เห็นชัดว่าความจริงผู้แต่งคนนี้ไม่ได้กล่าวถูกต้องทั้งหมด ด้วยจูหยวนจื่อถือได้ว่าสามเลิศรวมเป็นหนึ่ง แต่เห็นชัดว่าจูหยวนจื่อไม่กล้าทำตัวเป็นผู้สูงส่งเซียนแท้ หากมองจากสายตาจี้หยวน เขายังขาดฤทธิ์เดชอยู่บ้างจริงๆ
แน่นอนว่าหากดูจากเนื้อหากลยุทธ์เจิดจรัส กฎเกณฑ์การตัดสินคำว่าเซียนแท้ในโลกบำเพ็ญเซียนทั่วไปคงเป็นเช่นนี้ หากต้องการเรียกตัวเองว่าเซียนแท้จริง ผู้มีสิทธิ์พอจะบอกว่าเขาผิดคงมีแค่บุคคลซึ่งเหนือกว่าอย่างแท้จริง
จูหยวนจื่อเท่ากับบอกจี้หยวนว่าเป็นผู้สูงส่งระดับเซียนแท้จริงหรือไม่ ท่านจี้ต้องตัดสินเอง ทำให้จี้หยวนครุ่นคิด
สุดท้ายผู้บำเพ็ญมรรคเซียนกับพวกปีศาจฝึกปราณก็แตกต่างกันมาก
มารปีศาจนับถือ ‘พลัง’ เป็นอันดับหนึ่ง เซียนพุทธนับถือ ‘มรรค’ เป็นอันดับแรก ความจริงฝ่ายแรกตรงไปตรงมากว่า ส่วนฝ่ายหลังเร้นลับอย่างยิ่ง ยากตัดสินโดยตรง แน่นอนว่าหากตนบรรลุถึงระดับนั้นคงตัดสินได้ง่ายหน่อย
จี้หยวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มอย่างจนปัญญา
“ช่างเถอะๆ ถึงตอนนั้นไปค่อยว่ากัน เขาล้อมหยกมีคนไปเท่าไหร่ เลือกคนไว้แล้วหรือไม่”
จี้หยวนกล่าวถามเช่นนี้ เว่ยหยวนเซิงเริ่มส่งสายตาบอกจี้หยวนแล้ว ท่าทางและอาการนั้นเท่ากับอยากบอกจี้หยวนว่า ‘ท่านรีบช่วยพูดให้ข้าหน่อย ข้าอยากไปมาก!’
“อะแฮ่ม…”
ฉิวเฟิงทนดูต่อไปไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว เขาจงใจกระแอมสองครั้ง ส่งสัญญาณบอกศิษย์ของตนว่าควรเก็บอาการหน่อย แต่เว่ยอู๋เว่ยกลับจิบน้ำชาอยู่ตรงนั้น แอบเหล่มองบุตรชายตนพลางแสดงออกว่าได้ไปแน่
มีคนสำคัญอย่างท่านจี้อยู่ หากไม่ประจบคงโง่จริงๆ
จูหยวนจื่อกลับตอบตามความเป็นจริง
“ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาสองสามปี พวกเราเขาล้อมหยกยังไม่กำหนดว่าส่งคนไปกี่คน ทั้งยังไม่ได้ตัดสินว่าใครจะไป แต่ข้าน่าจะไป หึๆ พูดตามตรงว่าอยากพูดคุยกับท่านจี้มากหน่อย…”
จูหยวนจื่อพูดถึงตรงนี้ก่อนมองเว่ยหยวนเซิงกับซ่างอีอีเล็กน้อย ฝ่ายแรกเห็นเขามองมาแล้วตกใจสะดุ้งโหยง เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
“แน่นอนว่าโอกาสหายาก ย่อมมีศิษย์รุ่นเยาว์เดินทางไปด้วย ข้าเห็นว่าหยวนเซิงกับอีอีไม่เลวนัก ยอดเขาหลอมหยกย่อมแนะนำไปด้วย”
จี้หยวนฟังถึงตรงนี้ก็ยิ้มแล้ว เว่ยหยวนเซิงอยากไปมาก แน่นอนว่าเขาหวังให้หยวนเซิงได้ไป แต่เรื่องแบบนี้ถือเป็นธุระของพวกเขาล้อมหยก เขาไม่ควรก้าวก่าย จูหยวนจื่อแสดงความปรารถนาดีถูกเวลาพอดี จี้หยวนจึงถือโอกาสกล่าวเสริม
“เป็นเช่นนั้นจริง หยวนเซิงบริสุทธิ์น่ารัก อีอีตรงไปตรงมา ถือเป็นกล้าพันธุ์ดีหายากจริงๆ ควรเปิดหูเปิดตามากหน่อย”
เอาล่ะ เว่ยหยวนเซิงมั่นใจอย่างมาก ความยินดีบนหน้าไม่ว่าอย่างไรก็เก็บไม่อยู่ เซียนจูกับท่านจี้ล้วนกล่าวเช่นนี้ โอกาสไปแคว้นนิรันดร์แดนเหนือมั่นคงแล้ว
ตอนนี้แม้แต่ซ่างอีอียังเผยสีหน้ายินดียากปกปิด เมื่อมองไปทางเว่ยหยวนเซิงแล้วเห็นเขาทำหน้าอมยิ้มยิ่งดีใจ
ด้วยฐานะและพลังปราณของจูหยวนจื่อ จี้หยวนย่อมรู้ว่าคนผู้นี้เป็นผู้ตัดสินใจของเขาล้อมหยก แน่นอนว่าต้องหารือกันมากหน่อย
จี้หยวนฝากฝังเรื่องนี้โดยไม่มีตัวสำรอง ทำความเข้าใจรายละเอียดอื่นของงานชุมนุมเซียนพเนจรจากพวกจูหยวนจื่อ ฉิวเฟิง หยางหมิง ทั้งคุยว่าออกเดินทางเมื่อไหร่จึงเหมาะสม รวมถึงคำถามว่าไปอย่างไร ด้วยต้องพาศิษย์รุ่นเยาว์ไปด้วย ไม่เหมาะจะเร่งเดินทางข้ามแดนด้วยตัวเอง ดังนั้นต้องโดยสารยานข้ามแดนจากบางจุดไป
เมื่อคุยกันพอสมควร ขนมบนโต๊ะกินไปพอประมาณ น้ำชาเติมไปหลายรอบแล้ว แน่นอนว่าช่วงหลังล้วนเป็นชาทั่วไป จี้หยวนเองมีน้ำผึ้งไม่มาก รู้สึกเสียดายหากหมดลงปุบปับ
สุดท้ายจี้หยวนถือโอกาสแสดงเจตจำนง เดิมวางแผนว่าภายในครึ่งปีย่อมไปเขาล้อมหยก เขาเตรียมตัวเลื่อนออกไป อีกสองสามปีช่วงต้นปีจอธาตุดินค่อยไปเขาล้อมหยก จากนั้นค่อยออกเดินทางพร้อมคนจากเขาล้อมหยก
เท่ากับจี้หยวนบอกคนอื่นโดยตรงว่าเดิมสำหรับข้าการไปเขาล้อมหยกถือเป็นเรื่องเล็ก วันนี้คุยกันพอประมาณแล้ว ทำให้พวกจูหยวนจื่อไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เมื่อถึงตอนพลบค่ำ จี้หยวนไม่ให้พวกเขาจากไป หากแต่เข้าครัวทำอาหารต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง
จี้หยวนเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง โอกาสเช่นนี้มีน้อยนัก แม้แต่จูหยวนจื่อยังเอ่ยปากชม
เว่ยหยวนเซิงกับซ่างอีอีช่วยเป็นลูกมือของจี้หยวน จูหยวนจื่อซึ่งมองอยู่ครู่หนึ่งรู้สึกบอกไม่ถูกจนถึงขั้นนั่งไม่ติดแล้ว เขาเข้าไปช่วยในห้องครัวด้วย หรือกล่าวได้ว่าเข้าไปดูจี้หยวนทำอาหาร
ไก่แก่ตัวเมียท้องถิ่นอำเภอหนิงอันสองตัวซึ่งซื้อมาจากชาวบ้านตรอกเทียนหนิว เนื้อหมูชิ้นใหญ่ซึ่งซื้อมาจากตลาด รวมกับพวกผักกาดขาวดองและผักแห้งแล้ว สุดท้ายกลายเป็นอาหารเย็นเต็มโต๊ะ มีไก่ตุ๋น มีไก่ต้มสับ มีเคาหยกจากผักแห้ง ทั้งมีน้ำแกงผักดอง ถึงขั้นมีเต้าหู้นึ่งผักโขมหมักชามหนึ่งด้วย
อาหารถูกยกออกมาข้างนอกทีละจาน สุดท้ายค่อยวางเต็มโต๊ะตัวหนึ่ง
จี้หยวนยืนดมกลิ่นอาหารหน้าโต๊ะด้วยความรู้สึกมั่นใจยิ่ง อาหารพวกนี้ดูเหมือนเรียบง่ายทั้งไม่มีทักษะอะไรแฝงซ่อน แต่ของธรรมดาถือว่ายากจะทำให้อร่อย หากพูดตามประสาทรับกลิ่นของเขา ไม่ยากจะเดาว่ารสชาติอาหารย่อมไม่เลว
ทั้งยามจดจ่อกับการทำอาหาร จิตวิญญาณกระจ่างผ่องแผ้ว คล้ายอยู่กลางภูผาธารา ข้างเตาโอสถ ก่อเตาไฟภายในเขตแดน…
ก่อนทำอาหารเสร็จโดยไม่รู้ตัว
“ท่านจี้ ความสามารถในการทำอาหารของท่านร้ายกาจเช่นนี้เชียว พ่อครัวตระกูลเว่ยยังสู้มือเดียวของท่านไม่ได้!”
เว่ยหยวนเซิงกล่าวชมเกินจริงประโยคหนึ่ง จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย
“หึๆ แค่แสดงฝีมือต่ำต้อยเท่านั้น ทุกท่านไม่ต้องเกรงใจ เริ่มกินเถอะ อ้อ จริงสิ!”
จี้หยวนพูดพลางหยิบกาสุราสีหยกขาวออกมาจากแขนเสื้อ รินสุราให้ทีละคน สุราเพิ่งรินออกมากลิ่นพิเศษลอยอบอวลเต็มลานแล้ว ถึงขั้นรู้สึกเมามายท่ามกลางปราณวิญญาณ
“ข้ามีสุราชั้นดีบางส่วนอยู่พอดี เอ่อ ทุกท่านคงไม่งดสุรากระมัง”
จี้หยวนหยุดการรินสุราเล็กน้อย
“ไม่งดๆ!”
“ใช่ๆ ไม่งด!”
ทุกคนรีบกล่าวตอบ คราวนี้จี้หยวนค่อยรินให้ทุกคนต่อ จากนั้นจึงยกจอกขยับตะเกียบก่อน
เที่ยงคืนวันนั้น พวกคนจากเขาล้อมหยกเหยียบเมฆกลับไป เว่ยหยวนเซิง ซ่างอีอี เว่ยอู๋เว่ยล้วนหน้าแดงเป็นสีดอกท้อ เห็นชัดว่าฤทธิ์สุรายังไม่สลาย แต่นอกจากนี้แล้วไม่มีอาการเมา พวกจูหยวนจื่อกลับไม่ผิดปกติอะไร
“อาจารย์ เมื่อครู่ข้าไม่ทันสังเกต ตอนนี้นึกขึ้นมาได้ พวกเราดื่มไปไม่น้อย ข้าคิดว่าสุราดีขนาดนี้ต้องดื่มมันจนหมดแน่ แต่เหตุใดสุราของท่านจี้ถึงไม่หมดเล่า”
ฉิวเฟิงยิ้มมองศิษย์ของตน
“กาหยกขาวในมือท่านจี้คือสมบัติอัศจรรย์หายากอย่างหนึ่ง นามว่า ‘กาโต่ว (กระบวย)’ แบ่งเป็นสิบโต่ว ร้อยโต่ว พันโต่ว ได้ยินว่าทักษะนี้สาบสูญนานแล้ว ไม่เพียงเก็บรักษาสุราชั้นเลิศมากมายได้ ยังบ่มสุราดูดซับปราณวิญญาณ ทำให้สุราบ่มมีกลิ่นหอมขึ้นเรื่อยๆ”
“อ้อๆๆ มีสมบัติเช่นนี้ด้วย คนชอบสุราอย่างท่านจี้คงชอบมากกระมัง! ยังมีอาหารที่ท่านจี้ทำด้วย ก่อนหน้านี้ข้าแค่เอ่ยชมมั่วซั่วว่าเขาทำเก่ง คิดไม่ถึงว่าจะอร่อยขนาดนี้ เห็นชัดว่าแค่นึ่งตุ๋นทอดผัดธรรมดา แต่กลับเอร็ดอร่อยขนาดนี้ ท่านพ่อ พ่อครัวตระกูลพวกเราสู้ท่านจี้ไม่ได้จริงๆ…”
ซ่างอีอีเห็นด้วยกับคำพูดของเว่ยหยวนเซิงอย่างยิ่ง พยักหน้าอยู่ด้านข้าง
จูหยวนจื่อหัวเราะดังฮ่าๆๆ มองเว่ยหยวนเซิงพลางกล่าว
“มิน่าท่านจี้ถึงชอบเจ้า หยวนเซิง ผู้สูงส่งอย่างท่านจี้บนโลกมีน้อยนัก กลับคืนสู่สามัญอย่างแท้จริง เขาคิดจะทำอะไร ล้วนตามหาเจตจำนงบริสุทธิ์ได้ มรรคเซียนเป็นเช่นนี้ ต่อให้ทำอาหารธรรมดาทั่วไปก็เช่นกัน หรือพูดว่าสำหรับท่านจี้ การทำอาหารก็คือมรรค!”
จูหยวนจื่อกลั่นกรองคำพูดนี้จากความรู้สึกตน ถ้าพูดว่าก่อนอาหารคุย ‘งานหลัก’ ถ้าอย่างนั้นยามทำอาหารยิ่งรู้ชัดถึง ‘ความอิสระและความอัศจรรย์แท้จริง’
จูหยวนจื่อถามปัญหาส่วนตัวข้อหนึ่งกับจี้หยวนบนโต๊ะอาหาร ด้วยเห็นจี้หยวนทำอาหารจึงอดไม่ได้ ตอนนั้นสิ่งที่เขาถามคือ ‘คิดว่าเซียนเป็นอย่างไร’
คำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากเทพเซียนถือว่าผิดคาดนัก แต่คนถูกถามคือจี้หยวน ทุกคนในที่นั้นไม่มีใครรู้สึกแปลก
ตอนนั้นจี้หยวนไม่คิดมากแม้แต่น้อย แค่ชี้อาหารบนโต๊ะกับสิ่งโดยรอบ พลั้งปากออกมาตามใจคิด ‘ไม่มีอะไรนอกจากความอิสระ!’
ความหมายโดยคร่าวย่อมเคยมีคนพูด ถึงขั้นว่าแม้แต่จูหยวนจื่อเองยังเคยบอกคนอื่น แต่วันนี้สิ่งที่พบเจอในเรือนสันติมีผลต่อความน่าเชื่อถือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมรรคซ่อนเร้น ทำให้จูหยวนจื่อเข้าใจความรู้สึกของจี้หยวนชั่วพริบตา
ราวกับก่อกองไฟข้างเตาโอสถกลางฟ้าดิน
แค่จุดนี้จูหยวนจื่อก็รู้สึกว่ามาไม่เสียเที่ยว ท่านจี้เลื่อนเวลาไปเขาล้อมหยกก็ช่างเถอะ หึๆ ถึงอย่างไรวันนี้เขาก็มาแล้ว อีกอย่างสิ่งที่ได้รับวันนี้ต้องกลับไปทำความเข้าใจดีๆ สองสามปีนี้ท่านจี้ไม่ไปเยือนพอดี ถึงตอนนั้นจะได้ไม่ออกจากด่านมาด้วยความเป็นกังวล
จูหยวนจื่อสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งอย่างอารมณ์ดี การขับเคลื่อนเมฆลมเปลี่ยนเป็นอิสระเสรี
“ไปเถอะ อีกสองสามปียามท่านจี้มาเยือนเขาล้อมหยก ข้าอยากขี่ลมอย่างอิสระ ข้ามเขตแดนภูผาธารานับร้อยพัน…”