เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 417 กระบวนอักษร
ตอนที่ 417 กระบวนอักษร
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดอิ๋นจ้งก็ปรับตัวอยู่ร่วมห้องกับจิ้งจอกพูดได้ตัวหนึ่ง ไม่นานความรู้สึกแปลกใหม่ของเด็กก็กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ตอนนี้เขาไม่เพียงไม่กลัวหูอวิ๋น แต่ยังลากเก้าอี้มานั่งข้างกายอิ๋นชิง ทำท่าอยากลูบแต่กลับไม่กล้าแตะจิ้งจอกแดงซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม
จากนั้นอิ๋นจ้งพลันนึกอะไรขึ้นมาได้เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวทีหลัง เขากล่าวกับอิ๋นชิง
“ท่านพี่ ข้าจำได้ว่าตอนเด็กท่านเคยเล่าเรื่องให้ข้าฟังสองสามรอบ บอกว่าท่านมีสหายบางคนอาศัยอยู่กลางป่าเขา นั่นก็คือมันหรือ”
“ตอนเด็ก? พูดอย่างกับว่าตอนนี้เจ้าเติบใหญ่แล้ว เจ้าเด็กเน่าคนนี้”
อิ๋นชิงยิ้มพลางขยำใบหน้าเล็กของอิ๋นจ้ง
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดชัดเจนว่าคือจิ้งจอกน้อย นามว่าหูอวิ๋น เล่นและอ่านตำรากับข้าได้ ทำไมความจำแย่ขนาดนี้”
อิ๋นจ้งเบี่ยงตัวซ้ายขวาแต่กลับหลบมือของพี่ชายตนไม่พ้น ใบหน้าเล็กถูกบีบจนเริ่มเจ็บ ท่านพี่ไม่เคยฝึกวิชายุทธ์ชัดๆ แต่แรงกำลังกลับไม่น้อย
“อืม ข้าลืมนี่นา เรื่องที่เคยเล่าตอนสี่ห้าขวบ มีหรือจะจำได้ชัดเจนขนาดนั้น ข้ายังคิดว่าท่านเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่ง”
หูอวิ๋นหันหน้ามองอิ๋นจ้งแทบจะทันที เขาตอบสนองฉับไวกับคำว่าสุนัขจริงๆ
“เอาล่ะ หู่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากเลี้ยงสุนัขมาก แต่ตระกูลอิ๋นของพวกเราห้ามเลี้ยงสุนัข”
หูอวิ๋นยื่นอุ้งเท้าตบมืออิ๋นชิง
“ยอดเยี่ยม!”
ตอนนี้จี้หยวนกับอิ๋นจ้าวเซียนนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง จิบชาพลางวางกระดานหมาก เป็นกระดานเดียวกับที่อิ๋นจ้าวเซียนมอบให้จี้หยวนเมื่อปีนั้น ทั้งสองคนนั่งประลองหมากอย่างที่ไม่เคยทำมานาน
เวลาก่อนกินข้าวยังเหลืออีกหน่อย ทั้งสองคนวางหมากพูดคุยพลางดื่มชา เพลิดเพลินกับความสบายใจช่วงนี้
แน่นอนว่าทักษะการวางหมากของจี้หยวนเปลี่ยนจากเดิมนานแล้ว แต่หลายปีนี้ฝีมือการเล่นหมากของอิ๋นจ้าวเซียนถือว่ามีการพัฒนาเช่นกัน ถึงแม้ไม่อาจนับว่าเป็นคู่ประลองหมากของจี้หยวน แต่ภายใต้สถานการณ์ซึ่งจี้หยวนช่วยออมมือ ทำให้ผลัดกันวางหมากได้
ไม่รู้ว่าอิ๋นจ้งแอบมองจี้หยวนมากี่ครั้ง ทั้งมองจิ้งจอกแดงซึ่งก้มหน้าใช้พวงหางอ่อนนุ่มบดบังอะไรบางอย่างอยู่ตลอด เขาขยับเข้าใกล้อิ๋นชิงพลางกล่าวเสียงเบาข้างหู
“ท่านพี่ ท่านจี้เป็นเทพเซียนใช่หรือไม่”
อิ๋นชิงหยิบผลไม้เชื่อมชิ้นหนึ่งเข้าปากเคี้ยว ถือโอกาสส่งให้หูอวิ๋นกับน้องชายตนคนละชิ้น ก่อนกล่าวตอบเสียงเบา
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
“ข้าว่าใช่แน่นอน!”
อิ๋นชิงมองทั้งสองคนซึ่งเล่นหมากอยู่ตรงนั้นก่อนกล่าวต่อ
“แน่นอนว่าท่านจี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่ถือเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งคงเหมาะสมกว่าหน่อย แน่นอนว่าขอให้ท่านเล่าเรื่องเทพเซียนน่าสนใจบางอย่างได้ อืม…”
อิ๋นชิงกดเสียงต่ำลงอีกหน่อย กล่าวกับน้องชายตนด้วยเสียงเหมือนพึมพำ
“เรื่องพวกนั้นมีโอกาสสูงว่าเป็นจริง!”
อิ๋นจ้งพยักหน้าตามจิตใต้สำนึก นัยน์ตาเปี่ยมความคาดหวัง
อิ๋นจ้าวเซียนใคร่ครวญครู่ใหญ่ ก่อนวางตัวหมากในมือลง สายตาจี้หยวนกวาดมองกระดานหมาก หลังจากคำนวณจุดวางสองสามแห่ง เขากล่าวกับอิ๋นจ้าวเซียน
“อาจารย์อิ๋นส่งเสริมการให้สตรีเข้าเรียน ภายในราชสำนักไม่มีใครคัดค้านหรือ”
อิ๋นจ้าวเซียนเผยรอยยิ้ม
“ไม่มีใครคัดค้าน? หึๆ แม้แต่ตอนนี้ยังผลักดันลำบาก ยามข้าคนแซ่อิ๋นเพิ่งเสนอเรื่อง ขุนนางที่เมื่อก่อนข้าคนแซ่อิ๋นคิดว่าเป็นขุนนางหัวก้าวหน้าไม่น้อยล้วนคัดค้านตั้งแต่อยู่ในท้องพระโรง”
“หืม? ถ้าอย่างนั้นอาจารย์อิ๋นรับมืออย่างไร”
อิ๋นจ้าวเซียนมองอิ๋นชิงกับอิ๋นจ้งซึ่งอยู่ตรงนั้น
“ชิงเอ๋อร์เคยกล่าวถูกต้องอย่างยิ่ง ความเห็นทางการเมืองบางอย่าง หากมัวแต่ถกเถียงกับอีกฝ่ายกลางท้องพระโรง หลายเดือนต่อมาไม่แน่ว่าจะมีผลลัพธ์อะไร ใช้ยาให้ถูกกับโรคต่างหากคือพื้นฐาน”
“ขุนนางใหญ่ในราชสำนักล้วนมีบุตรสาวและภรรยา…”
อิ๋นจ้าวเซียนยิ้มพลางกล่าวประโยคนี้ จี้หยวนเข้าใจทั้งหมดแล้ว
หลังจากนั้นอิ๋นจ้าวเซียนกล่าวว่าอยากหนุนปราณบุ๋นและเสริมกำลังกองทัพต้าเจิน จี้หยวนเห็นด้วยอย่างยิ่งเช่นกัน สิ่งที่อิ๋นจ้าวเซียนกับอิ๋นชิงร่วมกันวางแผนคือหนทางผลักดันการศึกษาจนถึงเรื่องการทหารไม่ให้ตกหล่น
แม้ว่าหนทางยังอีกยาวไกล แต่ถ้าปรับจากประชาชนถึงขุนนางจนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจทีละน้อย อนาคตต้าเจินย่อมแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อิ๋นจ้าวเซียนมีความมั่นใจในเรื่องนี้มาก
แต่ความจริงจี้หยวนกับอิ๋นจ้าวเซียนต่างเข้าใจ เงื่อนไขสำคัญข้อแรกคือฮ่องเต้ต้าเจินจะส่งเสริมเส้นทางนี้ไปตลอด พวกขุนนางไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายการเมือง
…
อาหารเย็นนอกเหนือจากอาหารซึ่งพ่อครัวใหญ่ประจำจวนตระกูลอิ๋นทำแล้ว ยังมีอาหารเปี่ยมเอกลักษณ์ของรัฐจีด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารพิเศษของอำเภอหนิงอัน ล้วนเป็นอาหารจากการเข้าครัวของมารดาตระกูลอิ๋น
ไม่ว่าอร่อยจริงหรืออร่อยปลอม ทุกคนบนตัวล้วนชมอาหารพวกนี้ไม่หยุดปาก ทำให้มารดาตระกูลอิ๋นเบิกบานยิ่ง
ช่วงปลายเดือนสิบสอง จี้หยวนอาศัยอยู่จวนตระกูลอิ๋นต่อไปเช่นนี้
ท่ามกลางบรรยากาศเฉลิมฉลองซึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ปีใหม่ของต้าเจินมาถึงแล้ว ยามจี้หยวนกับคนตระกูลอิ๋นโต้รุ่งข้ามคืนส่งท้ายปีเก่า มีแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากจวนตระกูลอิ๋น รับปราณวสันต์ใหม่ช่วงผ่านพ้นปี
ตอนแรกอิ๋นจ้งเคารพยำเกรงและใคร่รู้เรื่องจี้หยวน ถึงตอนท้ายค่อยสนิทสนมกับจี้หยวน เมื่อมีเวลาว่างก็จะคิดหาวิธีขอให้จี้หยวนเล่าเรื่องราว
เรื่องอัศจรรย์พวกนั้นมักดึงดูดเด็กได้มาก หรือกล่าวว่าสามารถดึงดูดใครก็ได้ ด้วยอิ๋นชิงกับอิ๋นจ้าวเซียนมักคอยร่วมฟังอยู่ด้านข้างบ่อยครั้งเช่นกัน
เช้าวันนี้อิ๋นชิงพาหูอวิ๋นไปเดินเล่นบนถนนช่วงปีใหม่ อิ๋นจ้าวเซียนตรวจสอบเอกสารอยู่ภายในห้องหนังสือเพียงลำพัง แยกประเภทสรุปจบแล้วต้องส่งไปยังพระราชวัง ส่วนอิ๋นจ้งมาตรงลานที่จี้หยวนอยู่อาศัยคนเดียว เฝ้ารอจี้หยวนตื่นนอน
ไม่ผิด ขอเพียงจี้หยวนมีโอกาส เขามักหลับจนตะวันโด่ง
ได้ยินการเคลื่อนไหวนอกห้อง จี้หยวนตื่นแล้ว ลุกขึ้นนั่งมองไปทางประตู ได้ยินเสียงลมหายใจของอิ๋นจ้ง มองเห็นปราณเพลิงลุกโชนนั่น
จี้หยวนสวมชุดคลุมเดินไปเปิดประตูให้เขา
แอ๊ด…
เมื่อประตูเปิดอิ๋นจ้งเห็นจี้หยวนเพิ่งสวมชุด ถึงขั้นว่ายังไม่มวยผม ปล่อยผมดำขลับทั้งศีรษะทิ้งตัวลงมา
“อรุณสวัสดิ์ท่านจี้ ท่านไม่สวมชุดหนาหน่อยหรือ”
“เข้ามาเถอะ เหมือนพี่ชายเจ้าเมื่อปีนั้นจริงๆ!”
“อืม!”
อิ๋นจ้งเข้าห้องด้วยความตื่นเต้น จากนั้นค่อยปิดประตู นั่งตรงหน้าโต๊ะอย่างน่าเอ็นดูยิ่ง ทั้งยังรินน้ำชาให้จี้หยวนกับตนเอง รอฟังเรื่องราว
ทุกครั้งยามมาที่นี่น้ำชากลับร้อนอยู่ เป็นไปไม่ได้ว่าจะมีคนรับใช้กล้าส่งน้ำร้อนมายามท่านจี้ยังไม่ตื่น ผ่านมาทั้งคืนกาน้ำชาไม่เย็น อิ๋นจ้งรู้ว่าเรื่องนี้ผิดปกติ แต่ไม่เคยถามมากความ
กวาดสายตาเห็นปิ่นหยกดำตรงหัวเตียง พบว่าภายใต้แสงอาทิตย์ซึ่งสาดส่องผ่านหน้าต่าง ปิ่นหยกเหมือนเปล่งแสงประกายเลือนราง ดูงดงามอย่างยิ่ง
แต่ไม่นานปิ่นหยกก็ถูกจี้หยวนหยิบไป เสียบเข้ามวยผมบนศีรษะ
“หู่เอ๋อร์ ภายหน้าเจ้าอยากทำอะไร”
“แน่นอนว่าอ่านตำราเกินหมื่นเล่ม สอบผ่านสร้างชื่อเสียง…”
จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย ไม่รอเขาพูดจบก็ตัดบท
“ข้าถามว่าเจ้าอยากทำอะไร ไม่ได้ถามว่าพ่อแม่เจ้าหวังให้เจ้าทำอะไร อายุยังน้อย วิชายุทธ์ไม่เลวทีเดียว!”
อิ๋นจ้งตกตะลึง หดคอหันมามองตามจิตใต้สำนึก กดเสียงต่ำกล่าวกับจี้หยวน
“ท่านจี้ ท่านทราบได้อย่างไร อ้อ จริงสิ ท่านเป็นเทพเซียน แน่นอนว่าต้องรู้ ท่านอย่าบอกท่านพ่อกับท่านพี่เด็ดขาด…”
จี้หยวนยิ้มพลางนั่งลงข้างโต๊ะ มองอิ๋นจ้งทำหน้าประหม่าแล้วนึกสนุก เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่งค่อยกล่าว
“หู่เอ๋อร์ เจ้าไม่ลองคิดดูเล่า บิดากับพี่ชายเจ้าล้วนเป็นคนฉลาดในใต้หล้า ลูกไม้เล็กน้อยของเจ้าปิดบังพวกเขาได้หรือ”
อิ๋นจ้งฟังจี้หยวนกล่าวเช่นนี้ เขาตอบสนองกลับมาอยู่บ้าง
“ข้าเองไม่คิดปิดบังไปตลอด แต่ข้าเพิ่งเรียนวิชายุทธ์กับอาหย่วนช่วงสองสามเดือนมานี้ ช่วงเวลานี้ท่านพ่อกับท่านพี่ล้วนยุ่งง่วน น่าจะ…”
“น่าจะไม่รู้?”
อิ๋นจ้งพยักหน้าเล็กน้อย แต่กลับเห็นจี้หยวนยิ้มแล้ว
“เฉินอาหย่วนจงรักภักดีต่ออาจารย์อิ๋นมาก เขาไม่กล้าแอบอาจารย์อิ๋นมาสอนวิชายุทธ์เจ้าแน่ เว้นแต่บิดากับพี่ชายเจ้าเห็นด้วยจึงเป็นไปได้ เด็กโง่!”
“เอาล่ะ ข้าขอถามอีกรอบ ภายหน้าเจ้าอยากทำอะไร”
อิ๋นจ้งมองถ้วยชาในมือ ถือส่ายไปมาไม่ได้ดื่ม กล่าวเสียงเบาประโยคหนึ่ง
“ข้าไม่อยากเป็นขุนนาง ไม่อยากเถียงกับคนในราชสำนัก ไม่อยากอ่านตำราตลอด ไม่อยากเขียนบทความไม่หยุด…”
อิ๋นจ้งเงยหน้ามองจี้หยวน
“ข้าไม่อยากมีเรื่องทุกข์ใจมากขนาดนั้น ข้าอยากเป็นจอมยุทธ์พเนจร หากทำไม่ได้ข้าอยากเป็นแม่ทัพใหญ่!”
“เวลาสองสามเดือนมีฝีมือถึงขั้นนี้ พรสวรรค์ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
ได้ยินจี้หยวนกล่าวชม อิ๋นจ้งยิ้มอย่างเขินอาย
“ท่านจี้ ข้าแรงเยอะตั้งแต่เด็ก ช่วงนี้แค่สร้างพื้นฐาน ฝีมือยังห่างไกลอีกมาก!”
“อืม สถานการณ์ของเจ้าคงไม่อาจเป็นจอมยุทธ์พเนจร น่าเสียดายอยู่บ้าง แต่ถ้าบอกว่าอยากเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพ ทางบ้านเจ้าน่าจะไม่คัดค้าน แต่ถ้าอยากเป็นแม่ทัพใหญ่จริงคงไม่ง่ายเช่นกัน”
“หา? เพราะเหตุใด”
จี้หยวนเห็นอิ๋นจ้งกล่าวอย่างจริงจัง
“เจ้าลองคิดเองว่าเป็นเพราะอะไร”
อิ๋นจ้งมองดวงตาสีเทาของจี้หยวน รู้สึกเหมือนมองบ่อน้ำโบราณ ภายในบ่อมีจันทร์กระจ่างสะท้อนเงา
“เพราะท่านพ่อข้าหรือ ข้าไม่ได้หมายความว่าท่านพ่อจะคัดค้านข้า หากแต่เป็นคนอื่น ด้วยท่านพ่อข้า…”
“หึๆ ไม่ผิด ต่อให้ฮ่องเต้ต้าเจินเชื่อใจพวกเจ้าตระกูลอิ๋นแค่ไหน พระองค์ก็ไม่มีทางยอมให้ตระกูลอิ๋นกุมอำนาจฝ่ายบุ๋นและยึดครองกองกำลังทหาร ถ้าอย่างนั้นคงเป็นราชวงศ์หุ่นเชิดจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้นข้า…”
จี้หยวนตบบ่าอิ๋นจ้งเล็กน้อย
“ตั้งใจเล่าเรียน ขยันฝึกยุทธ์ มีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ละอายต่อตัวเอง!”
อิ๋นจ้งพยักหน้าน้อยๆ คล้ายฟังเข้าใจแต่กลับไม่เข้าใจ จากนั้นค่อยเห็นจี้หยวนหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา
“ตำราเล่มนี้มอบให้เจ้า ความจริงเนื้อหาด้านในค่อนข้างซับซ้อน แต่ข้าคิดว่าหากเจ้าอ่านแล้วมองอะไรออกคงจะดี อืม ตำราเล่มนี้ไปไหนควรพกติดตัว”
ตำราในมือจี้หยวนตรงหน้าปกเขียนว่า ‘กระบวนอักษร’ หลังจากจี้หยวนสังเกตอิ๋นจ้งหลายวันนี้ เขาเจียดเวลาเขียนตอนกลางคืน ทั้งเห็นภาพยามพวกอักษรจิ๋วตั้งกระบวนเล่นสนุกหลายรอบ เขาจึงเขียนตามความรู้สึก
ภายในมีวิชาอยู่บ้าง แต่สุดท้ายจี้หยวนยังรู้เรื่องการทหารไม่มาก เขาจึงให้อิ๋นจ้งเรียบเรียงเอง แน่นอนว่าตำราเล่มนี้กำจัดสิ่งชั่วร้ายได้ ถือว่าเป็นยันต์ป้องกันตัวที่มอบให้เขาด้วยฐานะผู้อาวุโส
ความจริงตำรากระบวนอักษรในมือของอิ๋นจ้งยังไม่สมบูรณ์ จี้หยวนกำลังอาศัยสิ่งนี้คาดเดาเส้นทางอัศจรรย์บางอย่าง แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอิ๋นจ้งนัก