เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 420 ผู้สังเกตการณ์เห็นชัดแจ้ง
ตอนที่ 420 ผู้สังเกตการณ์เห็นชัดแจ้ง
เมื่อหมอกเพิ่งปรากฏ เหล่าภิกษุชั้นสูงของวัดต้าเหลียงรู้สึกว่าหมอกนี้มาแปลกเกินไป แต่ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณส่วนตัวหรือค่ายกลบางจุดในอารามล้วนไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย
สิ่งนี้ทำให้หมอกนี้เหมือนหมอกทั่วไปตามธรรมชาติ ทั้งหมอกนี้ไม่ได้มีแค่วัดต้าเหลียง หากแต่เกิดขึ้นรอบจังหวัดถงชิว
แต่ต่อจากนั้นมีภิกษุชั้นสูงบางส่วนเห็นลักษณ์ประหลาดกลางหมอก ยามตกตะลึงพลันพบว่าผู้ศรัทธาทั่วอารามยังเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง ไม่มีความรู้สึกผิดปกติใดๆ
ลักษณ์ประหลาดกลางหมอกแค่ปรากฏขึ้นเท่านั้น ไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกเวียนหัวตาลาย สิ่งนี้ทำให้เหล่าภิกษุชั้นสูงแห่งวัดต้าเหลียงเป่าปากโล่งอกเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจไม่ปิดวัด
หากพูดถึงผู้รับผลกระทบมากที่สุด ความจริงคือภิกษุสามรูปซึ่งนั่งสมาธิใต้ต้นไม้ แต่ตอนนี้ทั้งสามรูปอยู่ตรงตำแหน่งพิเศษใต้ต้นไม้ ทั้งกำลังทำสมาธิ ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว
พวกเขาทั้งสามจมสู่ภาพมายากลางสมาธิ คล้ายเห็นฉากเสวนามรรคเมื่อตอนนั้นอีกครั้ง ไม่อาจหลุดพ้นได้ในเวลาอันสั้น แต่พูดตามตรงคือสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องร้าย ส่วนได้รับประโยชน์เท่าไหร่ขึ้นอยู่กับพลังปราณและสมาธิเฉพาะบุคคล
ประมาณหนึ่งเค่อหลังจากเกิดหมอก เจ้าอาวาสวัดต้าเหลียงกับภิกษุชราอีกรูปรีบวิ่งมาตรงเขตหวงห้ามกลางอาราม
เมื่อเข้าลานแห่งนั้นก็เห็นฮุ่ยถงกับภิกษุอีกสองรูปยังนั่งสมาธิใต้ต้นไม้ บางครั้งทั้งสามคนยังขมวดคิ้วหรือเหงื่อซึมด้วย
“เจ้าอาวาส จำเป็นต้องปลุกพวกเขาหรือไม่”
เจ้าอาวาสวัดต้าเหลียงโบกมือ กล่าวกับภิกษุที่อยู่ด้านข้าง
“ไม่ต้องปลุกพวกเขา นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายสำหรับพวกเขา ตอนนี้ภาพมายาก่อเกิดสมบูรณ์ ต่อให้พวกเราคิดเข้าฌานก็สายไปแล้ว หากพวกเขาได้รับวาสนาครานี้ก็คงดี!”
ภิกษุสองรูปนี้มองผู้เข้าฌานทั้งสามคน คุ้มกันพวกเขาตรงขอบลานเงียบๆ ส่วนตนอาศัยลักษณ์ประหลาดตอนนี้มาหยั่งรู้ภาพอัศจรรย์ยามเสวนามรรคตอนนั้น ยามนั้นถูกจำกัดด้วยมรรควิถีและสภาพจิตใจ ไม่กล้าอยู่ตรงแดนใจกลางนานนัก ครั้งนี้ถือว่าเป็นบุญตาแล้ว
หมอกครานี้เริ่มปรากฏตั้งแต่เช้า ทำให้จังหวัดถงชิวซึ่งเดิมแสงแดดสาดส่องกลายเป็นวันฟ้าครึ้ม กระทั่งตกดึกแล้วยังไม่ซ่านสลาย กลับกลายเป็นว่าหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
บางทีอาจเป็นเพราะกลางคืนแสงอาทิตย์ถดถอยอ่อนกำลัง หรือสาเหตุอาจเป็นเพราะกลางคืนหมอกหนายิ่งกว่าเดิม เห็นชัดว่าภิกษุวัดต้าเหลียงคิดว่าลักษณ์ประหลาดยามค่ำคืนยิ่งอัศจรรย์อยู่บ้าง ถึงขั้นมีภิกษุจมสู่ภาพมายาไม่อาจถอนตัว หลายคนยินดีว่ากลางคืนไม่มีผู้ศรัทธา มิฉะนั้นคงอลหม่านพักหนึ่งแน่
เช้าวันที่สอง ภิกษุชราซึ่งทำหน้าที่เคาะระฆังตื่นขึ้นมา สวมจีวรเสร็จแล้วเปิดประตูออกไปดู ข้างนอกขาวโพลนทั้งแถบ
“พุทธะวิทยาราช! หมอกยังไม่สลายหรือ”
แม้ว่ากล่าวด้วยความแปลกใจ แต่ยังต้องเคาะระฆัง ไม่นานบนหอระฆังของอารามมีเสียงระฆังดังขึ้นตามปกติ
แก๊ง… แก๊ง… แก๊ง…
ภิกษุมากมายได้ยินเสียงแล้วตื่นขึ้น แต่เมื่อมาถึงข้างนอกกลับพบว่าหมอกไม่สลาย โชคดีว่าเมื่อท้องฟ้ากระจ่าง หมอกเปลี่ยนเป็นบางตาไม่น้อย แต่ยังไม่ซ่านสลายทั้งวันเหมือนเดิม
กระทั่งถึงวันที่เจ็ด เจ้าอาวาสวัดต้าเหลียงกับภิกษุอีกสองสามรูปรีบเดินเข้าเขตหวงห้าม แยกกันเสริมปราณวิญญาณของตนผ่านทางแผ่นหลังฮุ่ยถงกับภิกษุเข้าฌานอีกสองรูป ทำให้ทั้งสามคนได้สติกลับมา ตอนนี้ถึงเวลาซึ่งกำหนดไว้แล้ว หากเรียกสายเกินไป ร่างกายย่อมยืนหยัดไม่อยู่โดยง่าย
ฮุ่ยถงสะบัดศีรษะได้สติกลับมา เขานวดขมับเล็กน้อย รู้สึกว่าหน่วงชาปวดหนึบ ลืมตามองโดยรอบ พบว่าสถานการณ์ผิดธรรมดาดังคาด
“เจ้าอาวาส หมอกนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใดกันแน่”
เจ้าอาวาสชรากับภิกษุอีกสองรูปแสดงออกเหมือนกัน มอบน้ำอุ่นชามหนึ่งให้ฮุ่ยถงแล้วส่ายศีรษะกล่าว
“ข้าไม่ทราบเช่นกัน ประมาณช่วงเช้าเมื่อเจ็ดวันก่อน หมอกนี้พลันปรากฏ อบอวลรอบจังหวัดถงชิว กระทั่งถึงวันนี้ยังไม่เคยซ่านสลาย”
ฮุ่ยถงดื่มน้ำก่อนลุกขึ้นยืน จากนั้นค่อยหันมามองต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง
“เกรงว่าคงมีผู้สูงส่งสำแดงวิชา!”
“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่มรรควิถีเขาล้ำลึกกว่าข้ามาก ข้ามองไม่ออก ฮุ่ยถง เจ้าสังเกตเห็นอะไรหรือไม่”
ภิกษุฮุ่ยถงดึงสติกลับมาก่อนเริ่มโคจรพลังมาตรงดวงตาทั้งสอง ลองดูว่ามองเบื้องหลังของหมอกมายานี้ออกหรือไม่ แต่จนปัญญาด้วยไม่ว่าตรวจสอบอย่างไร คล้ายว่าเป็นแค่หมอกธรรมดาเท่านั้น
“ไม่ไหว ข้ามองไม่ออกเช่นกัน”
แม้แต่ภิกษุฮุ่ยถงยังมองไม่ออก ถ้าอย่างนั้นทั้งวัดต้าเหลียงคงไม่มีใครมองออก เจ้าอาวาสล้มเลิกความคิดอยากตรวจสอบอย่างชัดเจนลงชั่วคราว ได้แค่กล่าวปลอบเหล่าภิกษุ
“ไม่ว่าอย่างไรปัจจุบันดูท่าว่าหมอกนี้คงมีแต่ประโยชน์ไม่เป็นโทษ ทั้งไม่ทำร้ายผู้ศรัทธา มีผู้ศรัทธาบางคนเหมือนเห็นลักษณ์ประหลาดบางอย่าง แต่ไม่ถูกทำให้ตกใจหรือเกิดความฮือฮามากเกินไป มีประโยชน์ต่อการสร้างชื่อเสียงให้วัดต้าเหลียงของพวกเราอยู่บ้าง”
วัดต้าเหลียงเป็นวัดพึ่งพาสังคมแห่งหนึ่ง ต้องการชาวบ้านมากราบไหว้ ต้องการชื่อเสียงระดับหนึ่ง ทั้งต้องการโยมใจกว้างชอบช่วยเหลือบริจาคทรัพย์สินบางส่วนเช่นกัน ทองประดับรูปปั้นวิทยาราชมากมายในอารามจำนวนไม่ใช่น้อย ทั้งหมดนี้ล้วนต้องการเงิน
“ไปเถอะ พวกเจ้าไปกินอะไรก่อน หากมีเรื่องมุ่งร้ายพวกเรากับเหล่าผู้ศรัทธาจริง รูปปั้นวิทยราชแห่งตำหนักพระวิทยาราชย่อมส่งสัญญาณเตือนแน่”
“ไม่ผิด หากมีคนสร้างหมอกนี้ขึ้น คนผู้นั้นเทียบเท่าพระธรรมแห่งพระวิทยาราชได้หรือ”
“มีเหตุผล!”
“อืม!”
“สาธุพระวิทยาราช!”
เหล่าภิกษุออกจากเขตหวงห้ามมาพร้อมกัน แต่กลับไม่มีใครเห็นมังกรเฒ่าซึ่งยังยืนอยู่ใต้ต้นไม้
ตอนนี้มังกรเฒ่ามองท้องฟ้าฟากหนึ่งอย่างเหม่อลอยอยู่บ้าง บ้างสงสัยบ้างเรียบเฉย บ้างเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“น่าเสียดาย น่าเสียดายว่าถูกจำกัดด้วยพระธรรม ทั้งน่าเสียดายว่าตอนนั้นข้าไม่อยู่ด้านข้าง แต่การหยั่งรู้เพียงเท่านี้ก็ทำให้อารมณ์ดียิ่ง!”
…
ภาพหมอกช่วงปีใหม่ของจังหวัดถงชิวยาวต่อเนื่องครึ่งเดือน เช้าตรู่วันที่สิบเก้าเดือนหนึ่ง หลังจากระฆังยามเช้าของวัดต้าเหลียงดังขึ้น เหล่าภิกษุรวมถึงฮุ่ยถงกับเจ้าอาวาสวัดต้าเหลียงกำลังทานอาหารเช้าในโรงอาหาร
ทันใดนั้น…
“โฮก…”
เสียงประหลาดเด่นชัดห่างไกลแต่ไม่ถือว่ากังวานเป็นพิเศษดังขึ้นในเขตวัด ทำให้ภิกษุไม่น้อยอึ้งงันตามจิตใต้สำนึก จากนั้นค่อยพากันตามหาต้นตอเสียง
เสียงดังต่อเนื่องราวสองสามลมหายใจ เจือเสียงสะท้อนแผ่วเบาห่างออกไปทีละน้อย กระทั่งเสียงหายไปโดยสิ้นเชิง ในใจทุกคนเหมือนยังได้ยินเสียงดังวนรอบ
“เมื่อครู่คือเสียงอะไร”
“ไม่รู้สิ”
“ฟังแล้วเหมือนเสียงคำรามของอะไรบางอย่าง”
“ไม่เหมือนๆ!”
“มาจากอารามหรือ”
“ไม่ใช่กระมัง รู้สึกเหมือนอยู่ข้างนอก ไม่เหมือนเสียงของสัตว์อะไร”
เหล่าภิกษุด้านข้างกระซิบกระซาบ ในมือเจ้าอาวาสชราถือโจ๊กขาว ตะเกียบยังคีบผักดอง หันมองภิกษุฮุ่ยถงซึ่งเผยสีหน้ากระจ่างอยู่ด้านข้าง
“ฮุ่ยถง รู้ความเป็นมาของเสียงนี้หรือไม่ เกิดขึ้นเพราะเหตุใด”
ภิกษุฮุ่ยถงวางชามตะเกียบในมือลง ก่อนกล่าวกับเจ้าอาวาส
“อาตมาเคยได้ยินเสียงคล้ายคลึงกัน เสียงนี้ต้องเป็นเสียงมังกรคำรามแน่!”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“ไม่ผิด อาตมาคิดว่าสาเหตุที่เกิดหมอกเมื่อครึ่งเดือนก่อน ต้องเป็นเพราะเจ้าของเสียงเมื่อครู่แน่ ดูท่าว่าเขาคงได้รับประโยชน์แล้วจากไป ข้าเดาว่าไม่นานหมอกนี้ย่อมสลาย!”
ขณะกล่าวฮุ่ยถงลุกขึ้นมา พนมมือคารวะไปทางเขตหวงห้ามเล็กน้อย
เป็นจริงดังคาด วันนี้ท้องฟ้าโปร่ง แสงแดดสาดส่อง หมอกทั่วจังหวัดถงชิวล้วนสลายหายไปช้าๆ
มังกรเฒ่าดูอยู่นานขนาดนี้ ไม่เพียงแต่มองจนสะใจ เขายังพบว่าระหว่างการเสวนามรรคของจี้หยวนกับภิกษุชราฝออิ้น ประเด็นซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่ได้ถกต่อ ครั้งนี้เขาสังเกตการณ์จนสันนิษฐานได้แล้ว ด้วยเหตุนี้มังกรเฒ่าจึงยิ่งจิตใจเบิกบาน
‘หึ ครั้งหน้าหากเจอจี้หยวน ข้าต้องบอกเขาสักหน่อย ถือว่าผู้สังเกตการณ์เห็นชัดแจ้ง!’
…
การเข้าเฝ้ายามเช้ากลับมาอีกครั้ง ทุกวันอิ๋นจ้าวเซียนกับอิ๋นชิงต้องไปทำงานในวังหลวง แม้หูอวิ๋นอยากแฝงตัวเข้าไปด้วย แต่เพราะคำพูดของจี้หยวน ทำให้เขาไม่อาจตามอิ๋นชิงเข้าวัง
แม้ว่าปีนั้นเคยไปสำนักศึกษา แต่สภาพแวดล้อมแตกต่าง ทั้งต้าเจินยังอยู่ในช่วงพัฒนาความรุ่งเรือง ราชวงศ์มีปราณดอกยี่เข่งป้องกันตัว หากปีศาจอย่างหูอวิ๋นเข้าวัง สุดท้ายอาจปะทะปราณดอกยี่เข่ง ดีไม่ดีอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน
เรื่องเกี่ยวกับการเป็นขุนนางและการสร้างสันติ เมื่อจี้หยวนกล่าวเช่นนี้ ปัจจุบันหูอวิ๋นย่อมแบ่งแยกความหนักเบาออก ไม่พูดเรื่องนี้กับอิ๋นชิงอีก หากแต่ขลุกอยู่กับหน้ากากนั้น
วันนี้ช่วงบ่ายจี้หยวนกำลังเล่นหมากกับตัวเองอยู่กลางลานรับรอง ทันใดนั้นเขาพลันได้ยินเสียงร้องแหลม
“ฮ่าๆๆ! ในที่สุดข้าก็ทำเสร็จแล้ว!”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือเสียงของหูอวิ๋น โชคดีว่าอิ๋นจ้าวเซียนกำชับก่อนล่วงหน้า เรือนรับรองบริเวณนี้นอกจากเฉินอาหย่วนคนเดียวแล้ว ไม่ว่าข้ารับใช้คนใดล้วนห้ามเข้าออกตามสะดวก มิฉะนั้นเสียงร้องนี้อาจทำให้ผู้คนตกใจ ถึงขั้นอาจพบว่ามีจิ้งจอกตัวหนึ่งอยู่ในจวน
“ฮ่าๆๆๆ… ท่านจี้ๆ ท่านรีบมาดูของที่ข้าหลอมสิ หน้ากากอันนี้!”
ขาหน้าสองข้างของหูอวิ๋นถือหน้ากาก ขาหลังสองข้างกระโดดโลดเต้น ห้อตะบึงมาหาจี้หยวน ภาพนี้จี้หยวนเห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้
“ท่านจี้ ดูผลงานข้าสิ ข้าทำคนเดียวเลย ร้ายกาจใช่หรือไม่!”
จี้หยวนรับหน้ากากจิ้งจอกสีแดงเพลิงมาจากหูอวิ๋น เทียบกับตอนซื้อมาใหม่ก่อนหน้านี้ เห็นชัดว่าละเอียดและเหมือนใบหน้าจิ้งจอกยิ่งกว่าเดิม มีแค่ดวงตาเป็นรูสองช่อง หากสวมใส่ตรงจุดอับแสงหน่อยคงทำให้คนอื่นตกใจแน่
“อืม ไม่เลว หน้ากากนี้มีประโยชน์อะไรหรือ”
จี้หยวนเจตนาเปิดประเด็น หูอวิ๋นกล่าวอย่างภาคภูมิทันที
“แหะๆ หน้ากากข้าร้ายกาจนัก มีผลจากอภินิหารของข้าบางส่วน ขอแค่สวมมันย่อมปลอมตัวเป็นคนอื่นได้ตามใจนึก ทั้งสามารถสวมมันเพื่อหลอกตาคนทั่วไป ถ้าว่ากันตามจริงถือว่าเป็นมรรคแปลงกายอย่างหนึ่ง!”
จี้หยวนพลิกหน้ากากมองจนทั่วก่อนพยักหน้า
“อืม ไม่เลว จิ้งจอกส่วนใหญ่ถนัดมรรคมายา แต่ของเจ้าถือว่าปราดเปรื่องมาก ไม่เลว นับว่าเป็นของดี!”
หน้ากากนี้ทำให้จี้หยวนนึกถึงหนังมนุษย์ในมือตนอย่างอดไม่ได้ แน่นอนว่าของหูอวิ๋นไม่ได้ประณีตเท่าหนังมนุษย์นั่น พลังแฝงไม่แข็งแกร่งเช่นนั้น แต่ประสิทธิภาพกลับไม่แย่
อย่างน้อยจากมุมมองของจี้หยวน ถือว่าหูอวิ๋นทำสมบัติล้ำค่าออกมาจริงๆ บางทีแม้แต่จิ้งจอกตัวนี้เองก็ยังไม่รู้