เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 426 ร้ายกาจถึงเพียงนี้
ตอนที่ 426 ร้ายกาจถึงเพียงนี้
พบสถานการณ์อย่างในตอนนี้ จี้หยวนรู้สึกว่าเรื่องของอิ๋นชิงกับองค์หญิงฉางผิงง่ายมากแล้ว โชคดีที่สองคนนี้ดูจะไม่ได้มีความคิดขัดแย้งอะไรกัน องค์หญิงผิงฉางยิ่งมีท่าทีเลื่อมใสอิ๋นชิงอยู่บ้าง
เพียงแต่อิ๋นชิงอายุเลยสามสิบปีแล้ว แม้องค์หญิงผิงฉางนับว่าอายุมากในบรรดาองค์หญิงในราชวงศ์ แต่ก็เพิ่งอายุสิบแปดปีเท่านั้น อิ๋นชิงจึงถือเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนแล้ว
กินข้าวมื้อนี้เสร็จ ทุกคนต่างอิ่มหมีพีมัน นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมในการใช้ประโยชน์จากชัยชนะและไล่ตาม ฮ่องเต้หงอู่อ้างว่าอารมณ์ดี รั้งอยู่ที่จวนตระกูลอิ๋นเพื่อพูดคุย คนตระกูลอิ๋นย่อมให้ความร่วมมือ ให้ความร่วมมือเรื่องใด แน่นอนว่าทำให้อิ๋นชิงและองค์หญิงฉางผิงได้เดินเล่นด้วยกัน มีเวลาอยู่กันตามลำพังมากยิ่งขึ้น
อิ๋นชิงและองค์หญิงฉางผิงกลับไม่ได้อิดออดเท่าไหร่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่ายหลังเสนอให้อิ๋นชิงช่วยนางวาดรูปเหมือน หลังจากได้รับความยินยอมจากอิ๋นชิงแล้ว ทั้งสองก็พาสาวใช้สองคนไปที่ห้องหนังสือของอิ๋นชิงด้วยกัน
ในโถงรับแขกมีเตาผิงอบอุ่นสบายกายเป็นอย่างยิ่ง โต๊ะเตี้ยขนาดเล็กวางอยู่บนพื้นเก้าตัวยาวปูเบาะไหมพรม กระดานหมากอันหนึ่งอยู่บนนั้น ฮ่องเต้หงอู่และอิ๋นจ้าวเซียนนั่งกันคนละฝั่ง
พระสนมเต๋อเฟยและมารดาตระกูลอิ๋นนั่งสนทนากันอยู่ข้างๆ เล่าเรื่องอิ๋นชิงกับองค์หญิงฉางผิงพร้อมรอยยิ้ม สองคนต่างก็เริ่มปรึกษากันเรื่องการเตรียมงานแต่งงาน เมื่อให้กำเนิดบุตรแล้วควรใช้เสื้อผ้าสีอะไร เห็นได้ชัดว่าความคิดรวดเร็วยิ่งกว่าความจริงมากกว่าครึ่งปีแสง
จี้หยวนกินอิ่มแล้วยังไม่จากไป นั่งเล่นอยู่ด้วยตามมารยาทก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยบอกลาและออกจากโถงรับแขกพร้อมอิ๋นจ้งที่เบื่อหน่ายไม่แพ้กัน
เมื่อถึงข้างนอกเรือน จี้หยวนพาอิ๋นจ้งเลี้ยวเข้าสู่ทางเดิน มุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้และเรือนพักแขก สายตาของเหล่าองครักษ์ข้างนอกเพียงกวาดสายตามองจี้หยวนครั้งหนึ่ง อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็เป็นบัณฑิตที่ไม่มีพิษสงคนหนึ่ง
อิ๋นจ้งอยู่ข้างนอกแล้วไม่ได้กังวลอะไรมากอัก ออกมาได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็รีบถามจี้หยวน
“ท่านจี้ ท่านว่าครั้งนี้ท่านพี่จะได้แต่งงานจริงหรือไม่ ข้าจะได้เป็นท่านอาแล้วกระมัง องค์หญิงฉางผิงผู้นั้นงดงามทีเดียว ข้าไม่เชื่อว่าท่านพี่จะอดทนไหว ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีความใคร่!”
จี้หยวนแทบเข้าไปดีดหน้าผากอิ๋นจ้ง
“เจ้าเด็กคนนี้ เรียนรู้เรื่องไม่เป็นเรื่องมาไม่น้อยเลยนะ ชิงเอ๋อร์ตอนเด็กๆ ว่านอนสอนง่ายมากกว่าเจ้านัก”
“เดิมทีข้าก็เทียบกับท่านพี่ไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่าง ท่านจี้ใช่ว่าท่านไม่รู้ อย่ามองท่านพี่เป็นบัณฑิตคนหนึ่งเลย เขาเรี่ยวแรงไม่น้อย จริงสิ ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลย ครั้งนี้ท่านพี่จะทำสำเร็จหรือไม่”
อิ๋นชิงสนใจว่าอิ๋นชิงจะแต่งงานสำเร็จหรือไม่เป็นอย่างยิ่ง หรือเรียกได้ว่าสนใจหลานชายในอนาคตเป็นอย่างยิ่ง ราวกับรู้สึกว่าหลานชายเติบใหญ่แล้วจะได้มาเล่นสนุกด้วยกันในจวน แต่เขาคงลืมคิดไปว่ากว่าหลานชายจะโตจนเล่นสนุกได้ เขาอิ๋นจ้งก็เลยวัยที่จะเย้าหยอกเล่นซนได้แล้ว
จี้หยวนเดินไปพลาง มองดวงจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้าข้างนอกทางเดินไปพลาง ปากตอบพร้อมรอยยิ้มไปพลาง
“ไม่ได้เร็วเช่นที่เจ้าคิด แต่ครั้งนี้เรื่องการแต่งงานของอิ๋นชิงและองค์หญิงผู้นั้นมีแววสำเร็จแล้วเก้าในสิบส่วน อย่างไรเสียฮ่องเต้และครอบครัวเจ้าก็อยากเร่งเรื่องนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว ฝ่ายอิ๋นชิงและองค์หญิงฉางผิงก็ไม่ได้มีความรู้สึกไม่ชอบพอกันแต่อย่างใด”
อิ๋นจ้งได้ยินเช่นนี้แล้วดีใจมาก แม้แต่ท่านจี้ยังพูดเช่นนี้ เรื่องราวก็คงสำเร็จดังหวังแล้ว
“ท่านจี้ พวกเราไปดูหน่อยได้หรือไม่ว่าท่านพี่กับองค์หญิงกำลังทำอะไรกันอยู่”
จี้หยวนมองเขา
“จะทำอะไรได้ ก็วาดรูปอย่างไรเล่า ตอนพวกเขาออกไปเมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินหรือไร”
“ข้ารู้ๆ ข้าแค่อยากดูว่าพวกเขาวาดรูปกันอย่างไร ท่านจี้ ท่านใช้วิชาอะไรได้หรือไม่ ให้พวกเรามองเห็นว่าพวกเขาโดยที่ไม่ถูกท่านพี่จับได้”
“เด็กคนนี้คิดเรื่องสัปดนมากทีเดียวนะ หวังว่าต่อไปเจ้าจะใช้สมองสนใจเรื่องตำราพิชัยสงครามบ้าง!”
จี้หยวนพูดโดยไม่ตอบคำถาม จากนั้นถึงค่อยตอบว่า
“พี่ชายเจ้าจิตใจอ่อนโยน เป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ทำลับๆ ล่อๆ กับเขาให้น้อยหน่อย แล้วก็พูดเรื่องลามกต่อหน้าเขาให้น้อยหน่อยด้วย!”
อิ๋นจ้งหน้าง้ำ
“ข้าได้รับบทเรียนตั้งแต่เล็กจนโตแล้วไม่รู้กี่ครั้ง นี่ไม่ใช่เพราะท่านอยู่หรือ เขาจะมองเห็นท่านได้อย่างไร”
“ฮ่าๆ ข้าไม่สนใจทำ!”
จี้หยวนตอบยิ้มๆ แล้วไม่พูดอีก กลับเร่งฝีเท้าเดินไปยังเรือนพักแขก อิ๋นจ้งทำได้เพียงตามไปแล้ว
…
ภายในห้องหนังสือของอิ๋นชิง เขาเตรียมสี่สิ่งสำคัญในห้องหนังสือเรียบร้อย แค่แท่นฝนหมึกอย่างเดียวก็มีอยู่หลายอันแล้ว ไม่เพียงมีหมึกสีสันต่างกัน ยังมีสีสันอย่างสีแดงและสีเหลืองด้วย
องค์หญิงฉางผิงมองอิ๋นชิงเตรียมข้าวของด้วยสีหน้าใคร่รู้ จากนั้นมองกระดาษเซวียนจื่อสีขาวที่กางอยู่บนโต๊ะแผ่นหนึ่ง
“รองเสนาบดีอิ๋นซื่อหลาง ข้าควรทำอย่างไร ต้องยืนนิ่งรอท่านวาดรูปเสร็จใช่หรือไม่”
อิ๋นชิงที่กำลังใช้ที่ทับกระดาษหลายอันวางไว้ตรงมุมกระดาษมององค์หญิงฉางผิง สบดวงตาคู่งามคู่นั้น
“ไม่จำเป็น ยืนอย่างเดียวเหนื่อยนัก ท่านกับสาวใช้ไปพักผ่อนบนเก้าอี้นุ่มเถอะ หรือเล่นหมากหรือไพ่ใบไม้ (คล้ายกับเกมไพ่กระดาษของยุคโบราณ) ก็ได้”
“เช่นนั้นก็ได้หรือ ข้าได้ยินมาว่าวาดรูปเหมือนห้ามขยับ”
อิ๋นชิงผู้แขนเสื้อตนเอง หยิบพู่กันด้ามบางจุ่มหมึกลองสีบนกระดาษข้างๆ ไปพลาง ตอบอย่างมั่นใจในตนเองไปพลาง
“วิธีการวาดภาพของข้าคนแซ่อิ๋นแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง องค์หญิงตามสบายเถอะ ภาพที่ข้าคนแซ่อิ๋นจะวาดไม่ได้ภาพเหมือนที่แข็งทื่อ แต่จะรวบรวมทุกอิริยาบท ทุกรอยยิ้มขององค์หญิงไว้ในภาพ ดังนั้นองค์หญิงยิ่งเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ยิ่งดี!”
ดวงตาขององค์หญิงฉางผิงเปิดกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย จากนั้นยิ้มให้อิ๋นชิง
“รองเสนาบดีอิ๋นเรียกข้าว่าหยางผิงก็ได้ อืม หลังจากนี้ข้าก็จะเรียกท่านว่าอิ๋นชิงเช่นกัน”
พูดทิ้งท้ายจบแล้ว องค์หญิงฉางผิงถึงเรียกสาวใช้ นั่งบนเก้าอี้นุ่มตรงข้ามกับโต๊ะหนังสือด้วยกันจริงๆ หยิบของอย่างกระดานหมากหรือไพ่ของห้องหนังสืออกมาจริงๆ อีกทั้งมีขนมลำน้ำชาที่เตรียมไว้นานแล้ว ทีแรกหยางผิงและสาวใช้ต่างก็มองอิ๋นชิงอยู่เรื่อย ดูว่าเขาเริ่มวาดภาพหรือยัง
อิ๋นชิงเพียงยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะหนังสือ มองฝั่งตรงข้ามอยู่นาน รอจนปราณนิ่งตั้งสติมั่นคงถึงเริ่มจนับพู่กันวาดภาพ ดวงตามองคน เงานั้นสลักอยู่ในใจ ทุกการแต่งแต้มและขยับไหวราบรื่น
บนเก้าอี้นุ่มทางนั้น สาวใช้ที่กำลังเล่นไพ่ใบไม้แอบสังเกตอิ๋นชิง กล่าวกับหยางผิงอย่างอดไม่ได้ว่า
“องค์หญิง รองเสนาบดีอิ๋นตั้งใจวาดภาพมากเลยเพคะ!”
“อืม ออกไพ่เร็ว!”
องค์หญิงฉางผิงเร่งสาวใช้ให้ออกไพ่ หางตาชำเลืองมองอิ๋นชิงเช่นกัน เขามองทางนี้อยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ก้มหน้าก้มตาวาดภาพอยู่นาน ไม่ใช่ว่ามองครั้งหนึ่งลงพู่กันครั้งหนึ่ง
‘ไม่รู้เหมือนกันว่าวาดออกมาเป็นอย่างไรบ้าง…’
เพิ่งคิดได้เช่นนี้ก็บังเอิญสบสายตากับอิ๋นชิงเพราะเขาเงยหน้าขึ้น หยางผิงใจสั่น รีบถอนสายตาเล่นไพ่ใบไม้ต่อ
บนขื่อเรือน กระเรียนกระดาษตัวหนึ่งมองสถานการณ์ข้างล่างอยู่ตลอด เดี๋ยวมองอิ๋นชิง เดี๋ยวมององค์หญิงฉางผิง จากนั้นมองภาพวาดของอิ๋นชิง แล้วเปลี่ยนไปมององค์หญิงฉางผิงเล่นไพ่ใบไม้กับสาวใช้อย่างตั้งใจ
ด้านหลังนกกระดาษตัวน้อยยังมีก้อนขนสีแดงเพลิงก้อนหนึ่ง ซึ่งก็คือจิ้งจอกสีแดงเพลิงที่กำลังขดตัวเป็นก้อน
หูอวิ๋นมองข้างล่างอยู่บนขื่อเช่นเดียวกัน ยื่นจมูกดมกลิ่นอยู่เรื่อยๆ
“กระเรียนกระดาษเก่งจริงๆ ตำแหน่งนี้ยอดเยี่ยมมาก!”
หูอวิ๋นเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทว่ากระเรียนกระดาษได้ยินแล้วเอียงคอมองหูอวิ๋น จากนั้นหันไปสนอกสนใจข้างล่างต่อ
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ บนใบหน้าจิ้งจอกของหูอวิ๋นนั้น มุมปากมันยกขึ้นอย่างชัดเจน อีกทั้งเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคม ทว่าท่าทางกลับไม่ได้น่ากลัว ตรงกันข้ามมันให้ความรู้สึกลามกเป็นบางครั้ง
“ฮ่าๆๆ องค์หญิงผู้นี้หวั่นไหวแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน สมกับที่เป็นอิ๋นชิง รวดเร็วจริงๆ!”
กระเรียนกระดาษเอียงคอมองหูอวิ๋นอีกครั้ง คราวนี้ผ่านไปนานมาแล้วก็ยังไม่หันกลับไป มองจนหูอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง หลังจากนั้นครู่หนึ่งมันพลันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ใช้เสียงที่แผ่วเบาเป็นอย่างยิ่งทว่าชัดเจนตอบพร้อมหัวเราะมีเลศนัย
“แน่นอนว่าข้าดูออก เจ้าเป็นกระเรียนกระดาษไม่รู้ว่าเพศผู้หรือเมีย เจ้าไม่เข้าใจหรอก!”
ได้ยินดังนั้นแล้วกระเรียนกระดาษถึงหันกลับไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันจ้องมององค์หญิงฉางผิงนามหยางผิงอย่างตั้งใจ
เวลาผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดฮ่องเต้หงอู่ก็สั่งให้เคลื่อนขบวนรถม้ากลับวัง ทว่าตอนส่งคนบอกกล่าวองค์หญิงฉางผิง อิ๋นชิงยังห่างไกลจากคำว่าวาดภาพเสร็จมากโข ทำเอาหยางผิงร้อนใจอยู่บ้าง นางไม่อยากให้ภาพวาดนี้ผิดพลาด
แต่อิ๋นชิงปลอบโยนคนเก่งมาก เขายิ้มให้นางอย่างมั่นใจ
“องค์หญิงกลับวังอย่างวางใจเถอะ ทุกท่วงท่าทุกรอยยิ้มล้วนอยู่ในใจข้าคนแซ่อิ๋นแล้ว ไม่มีทางทำให้ภาพวาดนี้ด่างพร้อยแน่นอน!”
รอยยิ้มนี้ขจัดความกังวลใจของหยางผิงไปได้สำเร็จ อีกทั้งเพิ่มพูนความรู้สึกส่วนนั้นในหัวใจที่แม้แต่นางก็ยังไม่ได้ตระหนักถึงด้วย
“เช่นนั้นข้าจะรอฟังข่าวดีจากท่านอยู่ในวัง จริงสิ เรียกข้าว่าหยางผิง!”
องค์หญิงฉางผิงพูดจบแล้วถึงพาสาวใช้จากไป ฝ่ายอิ๋นชิงย่อมต้องอยู่ส่งนางอยู่แล้ว
…
ขบวนรถม้ากลับวังของฮ่เงต้หงอู่ออกจากจวนตระกูลอิ๋นแล้ว องครักษ์ข้างนอกวิ่งสั้นๆ ท่ามกลางลมหนาว ส่วนภายในรถม้าสองคันมีเตาถ่านและน้ำชาร้อนๆ รวมถึงขนมด้วย
บนรถม้าคันที่สอง องค์หญิงฉางผิงและพระชายาเต๋อเฟยนั่งอยู่ด้วยกัน สองแม่ลูกพูดคุยเสียงเบา
“ผิงเอ๋อร์ เจ้าบอกแม่มาตามตรง เจ้ารู้สึกว่าอิ๋นซื่อหลางเป็นอย่างไรบ้าง”
องค์หญิงฉางผิงไม่กล้ามองพระชายาเต๋อเฟยอยู่บ้าง ทำเป็นหยิบจับอุปกรณ์ชงชา ทว่าในใจคิดถึงภาพวาดนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าอิ๋นชิงวาดภาพเป็นอย่างไรบ้าง นางคอยแต่นึกถึงคำพูด ‘ทุกท่วงท่าทุกรอยยิ้มล้วนอยู่ในใจ’ อยู่เสมอ มุมปากยกเป็นรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้
ว่ากันว่าบุตรสาวเหมือนมารดา พระชายาเต๋อเฟยเห็นภาพนี้แล้วเบิกบานใจทันที
“หมายความว่าผิงเอ๋อร์ของพวกเราชอบพอเขาแล้วกระมัง”
“เสด็จแม่ ท่านพูดอะไรของท่าน ข้าไหนเลยจะ…”
…
ขณะเดียวกันนั้น เรือนพักแขกของจวนตระกูลอิ๋น อิ๋นจ้งถูกจี้หยวนไล่กลับไปนอนนานแล้ว ตอนนี้ภายในเรือนมีแค่จี้หยวน กระเรียนกระดาษ หูอวิ๋น ไปจนถึงตัวอักษรกลุ่มหนึ่งที่ถูกสั่งให้อยู่กัน ‘ตามอัธยาศัย’
แตกต่างกับสถานการณ์ในอดีต ภายในเรือนไม่มีเสียงดังจอแจเลยสักนิด ทั้งหมดล้วนฟังหูอวิ๋นเล่าเรื่อง
เมื่อหูอวิ๋นเล่าเรื่องได้ประมาณหนึ่งแล้ว แม้แต่จี้หยวนก็มีสีหน้าแปลกใจ
“ชิงเอ๋อร์เด็กคนนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
“ใช่ ข้าเองก็คิดไม่ถึงเลย!”
หูอวิ๋นขยับอุ้งเท้าด้วยความตื่นเต้น จากนั้นกล่าวอย่างจริงจังอีก
“ข้าต้องเรียนรู้ไว้บ้างเหมือนกัน ความสามารถนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องได้ใช้แน่!”
จี้หยวนยิ้ม เห็นด้วยกับหูอวิ๋นอย่างหาได้ยาก
“ถูกต้องแล้ว ถ้าเขาเขียนเป็นตำรา ข้าว่าน่าจะโด่งดังรวดเร็วยิ่งกว่างานเขียนของอาจารย์อิ๋นเสียอีก!”
“ฮ่าๆ ท่านจี้ก็ต้องเรียนรู้ใช่หรือไม่”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า!”
จี้หยวนสะบัดแขนเสื้อ ทำเอาหูอวิ๋นกลิ้งไปถึงหน้าประตูเรือนพักแขกราวกับลูกกลม พร้อมกับที่ประตูเรือนเปิดออก มันกลิ้งออกไปนอกประตูโดยตรง
ตัวอักษรทั้งหมดลอยไปที่ข้างประตูทันที หัวเราะเยาะหูอวิ๋น
“คนชั่ว หูอวิ๋นเป็นคนชั่ว!”
“ฮ่าๆ สมควรโดนแล้ว!”
“คนชั่ว กล้าหลอกด่านายใหญ่!”
“จิ้งจอกชั่วหูอวิ๋น!”
“กลิ้งเหมือนลูกกลมเลย!”
“ฮ่าๆๆๆ…”
หูอวิ๋นอยากต่อว่ากลับ ทว่าประตูเรือนปิดลงเสียงดังปัง เสียงสบายๆ ของจี้หยวนดังมา
“กลับไปนอนที่เรือนตนเองเสีย”