เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 432 ปีนขึ้นไปบนเสา
ตอนที่ 432 ปีนขึ้นไปบนเสา
ความจริงนักพรตตู้แปลกใจเล็กน้อยเช่นกันที่คนผู้นี้รู้จักท่านจี้ อาจเป็นไปได้ว่าน่าจะจำสลับกับยอดฝีมือยุทธภพคนใด อย่างไรเสียแซ่จี้แม้มีให้เห็นน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย
ไม่ว่าอย่างไรก็มองความรู้สึกอื่นจากบนใบหน้านักพรตตู้ไม่ออก เขาเพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วเผยรอยยิ้ม
“เดิมทีปรมาจารย์อาศัยอยู่ในตรอกที่เงียบสงบของจังหวัดชุนฮุ่ยแห่งนี้ เจ้าเข้ามาในเรือนข้านับว่าเป็นการบุกรุก แต่ด้วยเจ้าไม่รู้เรื่องรู้ราว อีกทั้งเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เช่นนั้นเจ้าออกไปเองเถอะ”
นักพรตตู้กล่าววาจาสวยหรู ทว่าเตรียมพร้อมทั้งสองมือแล้ว ในแขนเสื้อจับเวทไว้แผ่นหนึ่ง ปราณวิญญาณในกายเขาตอนนี้เต็มเปี่ยมยิ่งกว่าปีนั้นมาก ร่างกายแข็งแรงขึ้นไม่น้อย ทว่าวิชายังอ่อนด้อยเกินไป
อย่างไรเสียการหล่อหลอมเตาโอสถเขตแดนสร้างสะพานทองฟ้าดินในกายไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น แม้ปีนั้นได้วิชาแท้จริงจากจี้หยวน นักพรตตู้ก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะสำเร็จวิชาก่อนชะตาถึงฆาตโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นอย่าว่าแต่นักพรตตู้หนึ่งคนเลย แม้แต่นักพรตตู้สิบคนก็อาจสู้ยอดฝีมือยุทธภพที่เชี่ยวชาญการสังหารไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่เป็นวิชาตัวเบา แทบไม่ได้ยินเสียงใดๆ กระทั่งลมหายใจปรากฏอยู่ตรงหน้า
ความสามารถของนักพรตตู้ในตอนนี้ แม้มีวิชาอภินิหารอยู่บ้าง ทว่าใช้แทนการต่อสู้เข่นฆ่ายังนับว่าเหนือบ่ากว่าแรง โชคดีที่เขานับว่าเก่งเรื่องการใช้เวท ด้วยความช่วยเหลือก่อนหน้านี้ รวมกับยอดฝีมือยุทธภพทั่วไปมีความรู้ประสบการณ์ด้านวิชาอัศจรรย์น้อยนัก หากประมือกันขึ้นมาจริงๆ อาจชนะก็เป็นได้
ดูถูกคู่ต่อสู้อย่างมีกลยุทธ์ ให้ความสนใจคู่ต่อสู้อย่างมีกลยุทธ์ นักพรตตู้รู้จักคำกล่าวนี้ดี
ทว่าหลังจากจอมยุทธ์ตรงหน้าผู้นี้ประหลาดใจแล้ว กลับไม่ได้ถอยไปในทันที ยังคงใช้แววตาแปลกประหลาดจ้องมองตนเอง แววตานั้นทำให้นักพรตตู้ที่นับว่าเห็นโลกมาไม่น้อยนึกกลัวขึ้นมา
ไป๋ฉีหรี่ตาพิจารณานักพรตตู้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ปราณรอบกายพุ่งขึ้น เลือดลมนับว่าเต็มเปี่ยม ไม่ถือว่าเป็นชายชราทั่วไป ปราณวิญญาณในกายก็สมบูรณ์เช่นกัน ทว่าวิชาน้อยนิดแสงเทพมืดมน มรรควิถีไม่ค่อยสูงอย่างแน่นอน
‘คนแบบนี้เป็นศิษย์ของท่านจี้ได้หรือ หูอวิ๋นน่าเชื่อถือกว่าเขาอีกกระมัง อย่างน้อยปราณขมุกขมัวก็ไม่ได้หนาหนักขนาดนั้น’
นักพรตตู้สงบอารมณ์ไม่สบายใจเอาไว้ เดินไปที่หน้าโต๊ะเล็กอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นนั่งลงบนเบาะกลม ยกจอกชาขึ้นดื่มคำหนึ่งด้วยความสง่างามแล้วหรี่ตามองไปทางไป๋ฉี
“ทำไม ไม่ไปหรือ จริงสิ มาถึงโดยไม่ให้สุ้มเสียงต้องมีเป้าหมายแน่นอน ดูจากเวลาที่เจ้ามาถึง อีกทั้งปดว่าเป็นเทพแม่น้ำเทียมฟ้า ท่าทางเกี่ยวข้องกับหลี่จินไหลผู้นั้น เล่าให้ข้าฟังหน่อยเป็นอย่างไร”
หากไม่เกิดการต่อสู้ได้ย่อมดีที่สุด นี่คือคติของนักพรตตู้ที่มีไหวพริบและรู้จักป้องกันตนเอง ในเมื่อผู้มาเยือนไม่ยอมไป เช่นนั้นถามให้แน่ใจว่ามีเป้าหมายอะไร ไม่ว่ามีธุระหรือต้องการเงินล้วนใช้ได้ ส่วนการวิวาทเป็นขั้นตอนสุดท้าย
“ฮ่าๆ เหมือนจะใช่เรื่องนั้น แต่ยิ่งมองข้ายิ่งเห็นว่าเจ้าไม่น่าใช่ศิษย์ของท่านจี้”
ไป๋ฉีเผยรอยยิ้มแล้วเอ่ยอย่างใจเย็น ไม่ได้ถอยไป กลับก้าวเข้าเรือนอีกก้าวหนึ่งด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ได้กระโดดและไม่ได้เดินอย่างช้าๆ กลับขยับมาถึงในเรือนราวกับไม่ได้รับแนวโน้มถ่วง เมื่อตกลงบนพื้นแล้วยังคงไร้สุ้มเสียงดังเดิม
จากนั้นไป๋ฉีกวักมือครั้งหนึ่ง นักพรตตู้เพียงรู้สึกว่ามือซ้ายในแขนเสื้อชาหนับ เวทในมือลอยออกไปเองแล้ว ก่อนจะตกลงที่มือของไป๋ฉี
“วาดเวทได้ประณีตทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ไม่แกร่งพอ ส่วนมรรควิถีของเจ้าก็เบาบางถึงเพียงนี้…”
พูดถึงตรงนี้แล้วไป๋ฉีพลันเปลี่ยนเรื่อง กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า
“เทพแห่งโลกนามจี้หยวน? ชื่อนี้เจ้าคิดออกมาเอง ท่านจี้ไม่ได้ถือตัวขนาดนั้น ทว่าเจ้าพูดชื่อเขาออกมาได้ เห็นทีเคยพบหน้ากันมาก่อนเช่นกัน”
“เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่”
นักพรตตู้ควบคุมให้ตนเองสงบนิ่งเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่ได้อีก ลนลานทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้างอย่างชัดเจน ต่อให้โง่แค่ไหนก็รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่จอมยุทธ์แล้ว แต่เป็นผู้มีมรรควิถีสูงส่งล้ำลึกคนหนึ่ง เพียงแค่ตนเองมองไม่ออกเท่านั้น
“ข้าเป็นใคร ตอนมาข้าบอกไปแล้ว ข้าคนแซ่ไป๋คือเทพแม่น้ำวสันต์”
นักพรตตู้ตัวสั่น รีบวางจอกชาลงแล้วลุกขึ้นยืนจากเบาะทรงกลม จากนั้นประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
“ข้าน้อยนักพรตตู้ คารวะใต้เท้าเทพแม่น้ำ!”
ไม่ว่าจะเป็นเทพแม่น้ำจริงหรือไม่ ทว่าอย่างน้อยมีมรรควิถีลึกลับยากหยั่งคาดสำหรับนักพรตตู้ เขาไม่กล้าวางอำนาจอีกต่อไป
ตอนนี้เด็กหนุ่มที่ส่งหลี่จินไหลออกไปกลับมาพอดี เห็นนักพรตตู้กำลังคารวะคนแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่าเข้ามาได้อย่างไรอย่างอ่อนน้อม
“อาจารย์…ท่านนี้คือ”
“ศิษย์ข้า ท่านนี้คือเทพแม่น้ำวสันต์ ยังไม่รีบคารวะใต้เท้าเทพแม่น้ำวสันต์อีก!”
นักพรตตู้สั่งเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงรีบประสานมือคารวะเช่นกัน
“หวังเซียวคารวะใต้เท้าเทพแม่น้ำ!”
ไป๋ฉีไม่สนใจการคารวะของทั้งสองคนโดยสิ้นเชิง เพียงกวาดสายตามองเด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง จากนั้นโบกมือแรงๆ ภายในลานทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยไอหมอกชั้นหนึ่ง
จากนั้นความรู้สึกเสียศูนย์ก่อตัวขึ้นบนร่างนักพรตตู้และหวังเซียว บิดร่างกายไปมาเกือบล้มลง หลังจากสงบสติได้แล้วถึงรู้ว่าตนเองลอยขึ้นจากพื้นดิน
สีหน้าของนักพรตตู้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ภายในใจเกิดความรู้สึกประหวั่น ทว่าอย่างน้อยยังควบคุมให้ตนเองมีสีหน้าสงบนิ่งได้ สีหน้าของเด็กหนุ่มหวังเซียวและภายในใจเขากลับตระหนกมากอย่างชัดเจน
“อาจารย์!”
“อย่าได้วู่วาม!”
นักพรตตู้ปรามศิษย์ตนเองเสียงหนึ่ง นับว่าปรามตนเองด้วยเช่นกัน จากนั้นพยายามทำให้ท่าร่างมั่นคงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกล่าวกับไป๋ฉีที่สะบัดแขนเสื้อให้ไอหมอกลอยไปว่า
“หวังว่าใต้เท้าเทพแม่น้ำจะใจกว้าง ข้านักพรตตู้ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย เวทของหลี่จินไหลผู้นั้นเป็นข้าที่มอบให้เขาเอง ทว่ามันไม่มีทางทำร้ายเผ่าวารีในแม่น้ำได้ ใต้เท้าเทพแม่น้ำโปรดใคร่ครวญด้วย! จริงสิ ใต้เท้าเทพแม่น้ำรู้จักท่านจี้หรือไม่ ข้ารู้จักท่านจี้เช่นกัน วิชาที่ข้าเรียนมาก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านจี้นั่นแหละ!”
ไอหมอกเบาบางกลุ่มหนึ่งเหมือนลมขมุกขมัว ห่อร่างสามคนลอยขึ้นบนอากาศโดยพลัน ลอยไปยังท้องฟ้าสูงร้อยจั้ง ถึงแม้เพราะไอหมอกบดบังไม่เห็นความจริง แต่นี่กลับทำให้นักพรตตู้และหวังเซียวยิ่งกว่าเดิม หากตกลงไปกระดูกต้องแหลกเป็นผุยผงแน่
“ไม่ต้องกลัว ข้ากำลังพาเจ้าไปเจออาจารย์เจ้าไม่ใช่หรือไร”
ไป๋ฉียังมีอารมณ์ขัน นักพรตตู้ฟังแล้วชะงักไป
“อาจารย์ข้า?”
หวังเซียวถามด้วยความงุนงง “อาจารย์?”
จากนั้นนักพรตตู้ตอบสนองได้ในทันที เมื่อรวมกับปฏิกิริยาของไป๋ฉีก่อนหน้านี้ เขาพลันอยากโพล่งคำตอบออกมา
‘ท่านจี้อยู่ที่นี่หรือ?’
ลมที่พัดพาหมอกนี้ลอยไปไกลเหนือตัวเมืองจังหวัดชุนฮุ่ย ลอยไปถึงแม่น้ำวสันต์อย่างไม่เร็วไม่ช้า จากนั้นลอยเข้าสู่ช่วงแม่น้ำริมเขาที่คดเคี้ยวห่างจากตัวเมืองจังหวัดชุนฮุ่ยไกลทีเดียว สุดท้ายถึงค่อยๆ ร่อนลง
ระหว่างที่ร่อนลง ไอหมอกจางลงไปด้วย ทำให้การมองเห็นข้างหน้าข้างหลังฝั่งซ้ายและขวาของนักพรตตู้กับหวังเซียว โดยเฉพาะบริเวณใต้เท้าชัดเจนขึ้นมา เดิมทีลอยอยู่บนที่สูงอย่างมั่นคง ทว่าเริ่มลดระดับลงรวดเร็วฉับพลัน
“อ๊าก…”
“อาจารย์!”
ความรู้สึกกลัวความสูงตามสัญชาตญาณของมนุษย์ทำให้สองคนส่งเสียงร้องออกมา
ตึง
ตึง
สองคนตกลงบนเรือประคับโคมบนผิวแม่น้ำตามๆ กัน
จี้หยวนนั่งอยู่ที่หัวเรือ สองคนที่ตกลงบนเรือล้วนหมอบแน่นิ่งอยูที่กาบเรือ แม้ใบหน้าคว่ำอยู่ แต่จี้หยวนเดาได้ไม่ยากเลยว่าสองคนนี้หลับตาปี๋อยู่อย่างแน่นอน
“เทพแม่น้ำไป๋ นี่คือ?”
จี้หยวนถามไป๋ฉีด้วยความฉงนเล็กน้อย ฝ่ายหลังเพิ่งร่อนลงอย่างช้าๆ เมื่อครู่นี้ ยืนอยู่ที่หัวเรือแล้ว
ไป๋ฉีประสานมือคารวะจี้หยวนก่อน จากนั้นชี้นักพรตตู้พลางกล่าว
“ท่านจี้ คนผู้นี้คือคนที่มอบเวทให้หลี่จินไหล ทว่าไม่ได้ใช้เวทนั้นทำเรื่องไม่ดีอะไร นั่นกลับไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่เขาเรียกตนเองว่าเป็นศิษย์ของท่าน”
“เอ๋?”
จี้หยวนส่งเสียงประหลาดใจ
“ศิษย์ข้า?”
หากจะนับดูจริงๆ คนที่นับได้ว่าเป็นศิษย์ของจี้หยวนมีเพียงเจ้าภูเขาลู่ เต่าเฒ่าก็พอนับได้ว่าเป็นศิษย์อยู่ครึ่งหนึ่ง แม่นางกวางขาวไป๋รั่วพอนับได้มากยิ่งกว่าเต่าเฒ่า ส่วนหูอวิ๋นนับไม่ได้ว่าเป็นศิษย์โดยสิ้นเชิง ส่วนทางฝั่งอารามเขาเมฆานับได้ว่าสืบทอดทางเต๋า แต่ไม่อาจเป็นคนที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างแน่นอน
“โอ้ คนผู้นี้ข้าคนแซ่จี้เหมือนคุ้นตาอยู่บ้างจริงๆ…”
จี้หยวนมองนักพรตตู้อย่างละเอียดอีกครั้ง ภาพจากตาทิพย์ปรากฏขึ้น ค่อนข้างชัดเจนจริงๆ
เดิมทีนักพรตตู้รู้สึกว่าต้องตกลงมาตายแน่ ตอนนี้ได้ยินจี้หยวนพูดพลันสะท้านใจ เงยหน้าขึ้นมองไปทางเสียงที่ดังมา
เห็นตรงหัวเรือ ข้างหน้าตรงที่ไป๋ฉีอยู่ บนโต๊ะเล็กตัวหนึ่งวางไว้ด้วยขนมและน้ำชาใส ส่วนปลายหัวเรือฝั่งตรงข้ามโต๊ะหนังสือนั้น ชายสวมชุดคลุมสีขาวปล่อยจอนผมปักปิ่นหยกมองมาทางตนเองอย่างสงบนิ่ง ดวงตาสีอ่อนเกือบเทาคู่นั้นเหมือนกับบ่อน้ำโบราณสะท้อนดวงจันทร์
นักพรตตู้พลิกตัวคุกเข่าเหมือนกับเล่นกายกรรม อีกทั้งคารวะทั้งๆ ที่อึดอัดใจ
“ท่านจี้! ท่านจี้! อาจารย์…!”
ตึงๆๆ…
เขากระแทกศีรษะกับกระดานเรือเสียงดังอยู่พักหนึ่ง
‘โอ้ เจ้าทำอะไรของเจ้า!?’
แม้แต่จี้หยวนก็ประหลาดใจเพราะท่าทางหน้าไม่อายของนักพรตตู้ เขาพูดตรงๆ และสั่งนักพรตตู้
“นิ่ง!”
ทันใดนั้นใบหน้าของนักพรตตู้ฉางเซิงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและมีรอยย่นเพราะรอยยิ้มก็แข็งค้างอยู่กับที่ ถึงอย่างไรนักพรตตู้ก็เป็นผู้มีปราณวิญญาณวิชาติดตัว ดวงตาของจี้หยวนเพิ่งมองเห็นชัดเจนว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้เป็นใครก็ตอนนี้
“นี่คือปรมาจารย์ตู้ที่ฮ่องเต้หยวนเต๋อแต่งตั้งหรือ”
หูอวิ๋นกระโดดมาจากทางหัวเรือ มองนักพรตตู้ที่ใบหน้ายับย่นอยู่ด้วยกันทว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสักนิดด้วยสีหน้าประหลาดใจ มันยื่นอุ้งเท้าไป ใช้ส่วนอ่อนนุ่มกดลงบนใบหน้าของนักพรตตู้ พบว่าไม่เหมือนกายเนื้อของคน กลับเหมือนหนังวัวเก่าซ้อนกันอยู่ รู้สึกแข็งกระด้าง
“ท่านจี้ทำได้อย่างไร ไยเขาไม่ขยับแล้ว”
ฝ่ายไป๋ฉีที่อยู่ข้างๆ ตกใจเช่นกัน เขาเพิ่งเคยเห็นวิชาผนึกร่างเป็นครั้งแรกเหมือนกับหูอวิ๋น