เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 433 ยังคงต้องเป็นปรมาจารย์
ตอนที่ 433 ยังคงต้องเป็นปรมาจารย์
เมื่อถูกวิชาผนึกร่าง ใช่ว่าคนจะไม่มีความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ความจริงแล้วความรู้สึกทางจิตวิญญาณยังคงอยู่ นักพรตตู้มองเห็น ได้ยิน และสัมผัสได้ถึงอุ้งเท้าของหูอวิ๋นบนใบหน้าตนเอง แต่สำหรับหูอวิ๋นแล้ว คนผู้นี้เหมือนกับรูปสลักก็ไม่ปาน
จี้หยวนยืนขึ้นแล้วอ้อมโต๊ะหนังสือ เดินไปถึงข้างกายนักพรตตู้ที่ถูกผนึกร่างและหวังเซียวที่กำลังตื่นตกใจ จากนั้นกล่าวกับนักพรตตู้ว่า
“อย่าเที่ยวเรียกข้าว่าเป็นอาจารย์เจ้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าคนแซ่จี้จะผนึกร่างเจ้าแล้วโยนลงแม่น้ำวสันต์ให้ได้สติเสีย!”
ชาตินี้จี้หยวนพบคนมาไม่น้อย เห็นผู้ฝึกปราณมากทีเดียว ไม่ว่าคนหรือผี ไม่ว่าเป็นเทพหรือปีศาจ ทว่าไม่เคยเห็นคนที่ปีนขึ้นสู่ที่สูงอย่างต่อเนื่องได้อย่างนักพรตตู้เลย ไม่ถูกต้อง ต้องบอกว่าเขาคิดหาวิธีแล้วปีนขึ้นไปได้มากกว่า
ทีแรกจี้หยวนมอบวิชา ‘แบบฝึก’ ให้เขาจริง แต่ไม่ได้บอกว่าของสิ่งนี้เป็นวิชาพื้นฐานของโลกการฝึกปราณ และมันก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันสำหรับเขาในการเรียนรู้ยันต์จอมพลังที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง หากพูดถึงสำนักที่คิดค้น ‘แบบฝึก’ ขึ้นมา นักพรตตู้กราบเขาล้อมหยกน่าจะถึงแก่นแท้มากกว่าหน่อย
จี้หยวนพูดพลางมองหวังเซียวที่อยู่ข้างๆ ถอนใจก่อนกล่าวเพิ่ม
“ข้าไม่ใช่อาจารย์อาวุโสของเจ้า”
จากนั้นจี้หยวนมองนักพรตตู้อีกครั้ง
“ข้าจะถอนวิชาทันที คำที่ข้าพูดก่อนหน้านี้เจ้าเข้าใจแล้วกระมัง”
นักพรตตู้พยักหน้าและส่งเสียงไม่ได้ แต่จี้หยวนรู้สึกว่าคนที่ไม่ได้นับว่าโง่น่าจะเข้าใจได้แล้ว คิดได้ดังนั้นจี้หยวนพลันตัดสินใจ วิชาผนึกร่างบนตัวนักพรตตู้หายไปแล้ว
ตึง!
นักพรตตู้ซวดเซ เฉื่อยชาอยู่ครู่เล็กๆ ก่อนล้มลง ศีรษะกระแทกบนกระดานเรืออีกครั้ง
“ไอ้หยา…เอ่อ ท่านจี้ ครั้งนี้ข้าหัวเกือบแตกแล้ว…”
นักพรตตู้อธิบายคำหนึ่งแล้วไม่กล้าพูดมากอีก ด้วยกลัวว่าตนเองจะพูดอะไรผิดไป เพียงลูบหน้าผากตนเองตามสัญชาตญาณ ทว่าศีรษะกระแทกบนกระดานเรือที่อยู่บนน้ำเช่นนี้ ความจริงแล้วเสียงดังแต่ไม่เจ็บโดยสิ้นเชิง กอปรกับเป็นผู้ที่หลอมปราณวิญญาณอยู่ในร่างกายมาหลายปี ดังนั้นหน้าผากจึงไม่แดงแม้แต่นิดเดียว
“เจ้ารู้จักท่านจี้จริงๆ ด้วย เห็นทีจะรู้ว่าท่านจี้มีความสามารถอะไรบ้างกระมัง เหตุใดกล้าทำตัวเป็นศิษย์ของท่านจี้ หากยังกล้าก็พูดอีกครั้งเป็นอย่างไร”
นักพรตตู้มองจี้หยวนอย่างระมัดระวัง อธิบายว่า
“ตอนแรกข้าลำบากฝึกปราณไร้วิชา เห็นวันสิ้นอายุขัยใกล้เข้ามาทุกที เป็นท่านจี้ที่มอบวิชาจริงๆ ให้กับข้า ทำให้ข้ามีความหวัง…ดังนั้นในใจข้าจึงเห็นท่านจี้เป็นอาจารย์…”
จี้หยวนยิ้มพลางส่ายหน้า จากนั้นกล่าวกับไป๋ฉี
“มีเรื่องนี้จริงๆ ทว่าตอนนั้นข้าคนแซ่จี้รู้สึกว่าวิชายันต์ของปรมาจารย์ตู้น่าสนใจอยู่บ้าง จึงลองถามดูว่าใช้วิชา ‘แบบฝึก’ เป็นข้อแลกเปลี่ยนได้หรือไม่ แต่ไม่เคยคิดรับเขาเป็นศิษย์”
ไป๋ฉีหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
“เช่นนั้นปรมาจารย์ตู้ผู้นี้ก็ตาคมไม่หยอก เมื่อแน่ใจว่าเป็นทักษะขั้นสูงก็อยากยึดติด อีกทั้งได้พบกับบุคคลระดับท่านจี้ด้วย”
นักพรตตู้ไม่กล้าพูดเรื่อยเปื่อย ฝ่ายหวังเซียวข้างๆ เครียดเกร็งเสมอ ก่อนหน้านี้คิดว่านักพรตตู้อาจารย์ของตนเองเป็นไต้ซือที่เก่งกาจแล้ว ส่วนความรู้สึกที่มีต่อเทพเซียน โดยพื้นฐานแล้วหยุดอยู่ที่สิ่งเหล่านั้นในศาล คิดว่าไกลเกินเอื้อม
เรื่องนี้นับว่านักพรตตู้รู้จักประมาณตนอยู่บ้าง ไม่ได้พูดปดกับศิษย์ของตนเอง ยิ่งไม่มีทางพูดว่าตนเองเป็นเทพเซียนอะไร เขารู้ตัวดีว่าเทียบกับกลุ่มผู้ฝึกเซียนตัวจริงไม่ได้ หรือพูดได้ว่าอย่างน้อยก็เทียบกับระดับคำเรียก ‘เซียน’ ไม่ได้
แต่ตอนนี้หวังเซียวเห็นไป๋ฉีและจี้หยวนแล้ว ฝ่ายแรกเป็นเทพแม่น้ำวสันต์ ปกครองแม่น้ำช่วงนี้ เป็นเทพอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนฝ่ายหลังนั้น ดูจากท่าทางที่เทพแม่น้ำใช้วาจานอบน้อมและเคารพเขาอยู่หลายส่วนแล้ว เห็นทีน่าจะเป็นเซียนตัวจริงเสียงจริงกระมัง
สายตาของหวังเซียวไม่กล้ามองชายชราข้างกายมาก ทว่าชำเลืองมองจิ้งจอกแดงที่อยู่ข้างๆ นักพรตตู้อยู่หลายครั้ง จิ้งจอกแดงตัวนี้พูดได้ น่าจะเป็นปีศาจกระมัง ทว่าดูแล้วไม่มีท่าทางมีพิษมีภัยอะไร
ตอนนี้หูอวิ๋นกำลังเงยหน้ามองนักพรตตู้ เห็นเขาลูบศีรษะแล้ว อุณหภูมิร่างกายเพิ่มสูงขึ้นบ้าง กลับสู่สภาพปกติโดยสมบูรณ์แล้ว จึงยิ่งสนอกสนใจวิชาผนึกร่างของจี้หยวน กระโดดไปที่กาบเรือแล้วกล่าวกับสหายในน้ำว่า
“ชิงชิง เมื่อครู่เจ้าเห็นหรือไม่ ท่านจี้ตะโกนว่า ‘นิ่ง’ คนผู้นั้นก็ขยับไม่ได้แล้ว คนตัวแข็งค้าง ไม่มีชีพจร ตอนนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้ว”
จี้หยวนเกือบสำลักเพราะคำพูดของหูอวิ๋น อะไรเรียกว่ากลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้วกัน เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ฆ่านักพรตตู้เสียหน่อย
“บุ๋งๆๆๆ…”
ปลาชิงฮื้อรีบพ่นฟองอากาศ แม้แต่เสียงฟองอากาศแตกก็ดังขึ้นไม่น้อย บ่งบอกว่าเห็นด้วยกับหูอวิ๋น
ตอนนี้นักพรตตู้และหวังเซียวเพิ่งพบว่าในน้ำยังคงมีความเคลื่อนไหว แววตาเหลือบมองข้างๆ ครั้งหนึ่ง โอ้โห เห็นเต่าเฒ่าตัวใหญ่เท่าเรือประดับโคมครึ่งลำหนึ่งตัว เผยให้เห็นกระดองสีดำเหนือคลื่นน้ำ ลอยอยู่บนผิวแม่น้ำ และเห็นปลาชิงฮื้อตัวใหญ่เป็นอย่างยิ่งว่ายน้ำอยู่แถวกาบเรือ
อย่าว่าแต่หวังเซียวเลย แม้แต่นักพรตตู้ก็เพิ่งเคยเห็นปีศาจตัวจริงเป็นครั้งแรก สองคนทั้งกลัวและตื่นเต้น ทว่าทำได้เพียงอดกลั้นไว้
จี้หยวนเห็นแล้วนึกขัน ปรับน้ำเสียงก่อนกล่าว
“เอาล่ะ นั่งลงเถอะ พูดคุยถึงที่มาที่ไปของบางเรื่องกันหน่อย”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง โต๊ะหนังสือเล็กบนเรือถูกย้ายไปยังที่หนึ่ง เมื่อถึงตำแหน่งที่กว้างขวางบริเวณประตูห้องโดยสารของเรือประดับโคม จี้หยวนและไป๋ฉีนั่งลงตามๆ กัน ส่วนนักพรตตู้และหวังเซียวนั่งลงฝั่งซ้ายกับขวาอย่างสำรวม
“ปรมาจารย์ตู้รู้ถึงความสัมพันธ์อันทรงพลังก็ดีแล้ว สำนักนี้ไม่ใช่ว่าจะยอมรับกันโดยง่าย ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเครียดเกร็งเกินไป พวกข้าล้วนเป็นผู้ฝึกเซียนสายตรง ไม่มีทางทำอะไรเจ้า เล่าสถานการณ์ของเจ้ามาเถอะ”
“ขอรับๆๆ!”
นักพรตตู้พยักหน้าหงึกหงัก ท่าทีเหมือนกับเด็กแก่เรียนคนหนึ่ง เขารู้ดีว่าแม้ตนเองอายุมากถึงเจ็ดสิบแปดสิบปีแล้ว แต่สองคนตรงหน้าเป็นดาวอายุยืนตัวจริง ถึงมีใบหน้าเยาว์วัยเหมือนกันทั้งคู่ ทว่าหากไม่ตั้งใจมองอย่างละเอียดก็มองไม่เห็นร่องรอยความชราสักเท่าไหร่ กระนั้นอย่างน้อยเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีอายุมาหลายร้อยปีแล้ว ถึงขนาดว่าอาจเกินจริงมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป
“หลังจากฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต แม้ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็สนใจในเรื่องอัศจรรย์ แต่เมื่อไปเห็นว่าปรมาจารย์หลายคนอย่างพวกข้าอยู่ที่เมืองหลวง ความสนใจก็ลดฮวบลง แน่นอนว่าถึงพวกข้ายังคงใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ที่เมืองหลวง ทว่าข้าคนแซ่ตู้ใช้วิชาสายตรง ต่อให้ตัดใจทิ้งความสะดวกสบายไม่ได้บ้าง ก็ยังรู้ว่าควรใช้วิชาฝึกปราณสายตรงเป็นสำคัญ จึงจากเมืองหลวงมา…”
พอรวบรวมคำพูดได้พักหนึ่ง นักพรตตู้เล่าเรื่องราวของตนเองโดยคร่าว ทว่าในคำพูดยังคงเลือกพูดถือหางตนเองบ้าง อย่างเช่นออกจากเมืองหลวงแล้วมีความคิดฝึกปราณอย่างดีและถูกต้องแน่นอน แต่เพราะว่าถูกปรมาจารย์หัวเราะเยาะจึงทนอยู่ต่อไม่ได้
“ปกติแล้วข้าคนแซ่ตู้คุ้นชินกับการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในเมืองหลวง ดังนั้นเงินที่เหลือจึงไม่นับว่ามากมาย จังหวัดชุนฮุ่ยก็ถือว่าเป็นจังหวัดมีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในช่วงแม่น้ำวสันต์ ค่าใช้จ่ายที่นี่ไม่นับว่าถูก ใช้ชีวิตที่นี่แล้วอัตคัดอยู่บ้าง…”
พูกถึงตรงนี้แล้ว นักพรตตู้รีบอธิบาย
“ข้าน้อยไม่ได้ใช้เงินมากมายเพื่อความสุข ท่านจี้และใต้เท้าเทพแม่น้ำอาจไม่รู้ความลำบากในการฝึกปราณของข้า ว่ากันว่าคนจนเรียนบุ๋นคนรวยเรียนบู๊ ผู้ฝึกปราณอย่างข้ายังคงมีแนวคิดเรื่องทรัพย์ วิชา และคู่ครองอยู่ ผู้สูงส่งโลกภายนอกตัวอยู่ในแดนอริยะถ้ำสวรรค์ย่อมไร้ความกังวล แต่ข้ากลับกลัดกลุ้มเพื่อเอาชีวิตรอด…”
จี้หยวนพยักหน้า เรื่องนี้เขารู้ดี ดังนั้นโลกมนุษย์ทั่วทุกที่จึงไม่ขาด ‘นักพรต’ จำนวนหนึ่ง บางคนเล่นละครปาหี่ ทว่าคนที่มีความสามารถติดตัวบ้างก็ไม่ได้น้อยเลย จี้หยวนเคยเจอแล้วหลายครั้ง อย่างเช่นชายริมทะเลที่อาณาจักรจู่เยวี่ยในตอนนั้น และอย่างเช่นอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้วของนักพรตตู้และเขา ล้วนเป็นคนในเส้นทางเดียวกันทั้งสิ้น
“แม้ข้านักพรตตู้นับว่าถ่อมตนแช่นกัน แต่หลังจากจัดการเรื่องราวบางอย่างแล้วก็มีชื่อเสียงโด่งดังทางจังหวัดชุนฮุ่ยแห่งนี้ ต่อมาหลี่จินไหลมาหาข้า เล่าเรื่องรูปปั้นปลาเทพที่ตระกูลเว่ย จึงคิดวิธีการนี้ขึ้นมาได้…”
นักพรตตู้ชำเลืองมองปลาชิงฮื้อที่อยู่ข้างเรือก่อนกล่าวต่อ
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินเรื่องปลาตัวใหญ่ในแม่น้ำวสันต์ช่วยคนเหมือนกัน รู้ว่าหากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นต้องมีเผ่าวารีที่มีคุณธรรมอย่างแน่นอน แน่นอนว่าไม่อาจมีความคิดร้าย คิดค้นวิธีการหนึ่งขึ้นมา คิดไม่ถึงเลยว่าหลี่จินไหลจะประสบความสำเร็จจริงๆ ต่อมาใต้เท้าเทพแม่น้ำก็มาเยือน…”
จี้หยวนฟังจบแล้วไม่ได้พูดอะไร อีกทั้งไม่ได้คิดเรื่องที่นักพรตตู้กล่าวถึงปลาชิงฮื้อในช่วงหลัง ทว่ากำลังคิดถึงเรื่องปรมาจารย์หลายคนในเมืองหลวงที่นักพรตตู้พูดถึงในช่วงแรก
ไป๋ฉีที่อยู่ข้างๆ เพียงดื่มชา สำหรับเขาแล้วเรื่องเล็กน้อยเหมือนขนไก่เปลือกกระเทียมแบบนี้ไม่น่าสนใจอะไร ฝ่ายนักพรตตู้และหวังเซียวคอยอย่างเงียบๆ
ผ่านไปนานแล้วจี้หยวนถึงเอ่ยปาก
“ในเมื่อรปรมาจารย์ตู้ได้รับการแต่งตั้งจากราชวงศ์ต้าเจิน ก็ถือว่าขึ้นเรือของต้าเจินแล้ว สถานการณ์ภายในต้าเจินหลายปีนี้กำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อเจ้าตระหนักว่าตนเองและต้าเจินต่างก็รุ่งเรืองขึ้นพร้อมกัน ก็จะได้รับประโยชน์ในการฝึกปราณไปโดยปริยาย”
นักพรตตู้ฝืนยิ้ม
“หรือไม่ก็ตกต่ำลงทั้งคู่…”
ก่อนหน้านี้ไม่มีความหวังอะไร หากมีโอกาสได้รับการแต่งตั้งเป็นปรมาจารย์ แน่นอนว่าคิดสู้ดูสักตั้ง บัดนี้ตำแหน่งปรมาจารย์ไร้ประโยชน์แล้ว โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ฮ่องเต้หยวนเต๋อสวรรคตไปแล้ว
“ด้วยสถานการณ์ของต้าเจินในตอนนี้ หากไม่ใช่เพราะปัจจัยภายนอกโดยทั่วไปแทรกแซง อย่างน้อยยังมีโชคอาณาจักรนับร้อยปี ถ้าเจ้าได้ย่างเข้าสู่เส้นทางสายตรงของการฝึกเซียนได้ก่อนหมดอายุขัย เช่นนั้นย่อมต้องทุ่มเทจิตใจให้กับการฝึกฝนฝึกปราณที่ยากลำบาก เมื่อมรรควิถีมั่นคงแล้ว เจ้าจะได้เป็นปรมาจารย์แห่งต้าเจินผู้ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์”
นักพรตตู้มุ่นคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นฉุกคิดขึ้นได้ เงยหน้ามองไปทางจี้หยวน
“ความหมายของท่านจี้ก็คือโชคอารณาจักรต้าเจินจะเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากสองร้อยปีหรือ”
จี้หยวนยิ้ม ทว่าไม่ได้พูดอะไร ไป๋ฉีข้างๆ วางจอกชาลง เอ่ยเสียงเนิบช้า
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องชะตาที่หอความลับสวรรค์ทำนายว่าต้าเจินจะเจริญรุ่งเรืองหรือไม่”
นักพรตตู้ส่ายหน้าอย่างซื่อๆ
“ไม่เคยได้ยิน ข้าคนแซ่ตู้ถึงขนาดไม่รู้ว่าหอความลับสวรรค์คืออะไร”
“ฮ่าๆ เรื่องนี้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นความลับอะไรภายในมรรคเซียนต้าเจิน ส่วนหอความลับสวรรค์กลับเป็นจวนเซียนที่มีชื่อเสียงในการสืบค้นความลับสวรรค์ ตั้งอยู่ในถ้ำสวรรค์สักแห่งหนึ่ง”
นักพรตตู้ทำได้เพียงพยักหน้า ฟังดูแล้วยอดเยี่ยมยิ่ง
ทว่าพูดเรื่องเหล่านี้จบแล้ว นักพรตตู้ไม่มีอะไรพูดอีก เมื่ออยู่กับผู้สูงส่งทั้งสองแล้วยิ่งพูดแทรกไม่ได้ โชคดีที่จี้หยวนถือว่าคำนึงถึงเขาทีเดียว ยอมให้เขาถามจุดที่ไม่เข้าใจในการฝึกปราณ อีกทั้งชี้แนะเขาอยู่หลายคำ หลังจากนั้นบอกให้เขากลับไป
ส่งนักพรตตู้กลับครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้เทพแม่น้ำอย่างไป๋ฉีลงมือด้วยตนเองแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าแถวนี้มีเรือประดับโคมลอยอยู่อีกลำหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ โดยให้นักพรตตู้และศิษย์เขาโดยสารเรือประดับโคมลำนี้กลับไป ฝีพายย่อมเป็นสัตว์น้ำที่แปลงกายมาตัวหนึ่ง
พอนักพรตตู้ไปแล้ว ในที่สุดไป๋ฉีก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ตาแก่ผู้นี้!”
“ฮ่าๆ มีเพียงตาแก่เจ้าเล่ห์ประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถปะปนอยู่ในราชสำนักและมีชีวิตอยู่รอดได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ใครเล่าจะยอมผูกตนเองกับราชวงศ์โดยมีการฝึกปราณเป็นเดิมพัน”
เห็นนักพรตตู้ไปแล้ว จี้หยวนนึกถึงขบวนเรือที่เขาเจอในทะเลก่อนหน้านี้ ขบวนเรือนั้นออกตามหาเกาะหมอกเซียนตามคำชี้แนะของโหรหลวงแห่งอาณาจักร