เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 439 การซ่านสลายของดินชั่วร้าย
ตอนที่ 439 การซ่านสลายของดินชั่วร้าย
ไกลออกไปเกินร้อยลี้จากเทือกเขากว้างใหญ่ ปีศาจมารที่หนีไปได้ก่อนย่อมสังเกตเห็นอานุภาพกระบี่ทลายฟ้าที่จี้หยวนสำแดงออกมา
หรือพูดว่าความเคลื่อนไหวที่มีอภินิหารแรงกล้าอย่างยิ่งนี้ พวกมันจะสังเกตไม่เห็นคงยากมาก
ท่ามกลางปีศาจมารเหล่านั้นมีหัวหน้ามารชื่อว่าเป่ยมู่ อีกทั้งได้รับการเรียกขานว่ามารบูรพา เป็นจอมมารที่หนีไปตั้งแต่ตอนต้น ข้างกายมันยังมีหัวหน้ามารที่ตามมาไม่น้อยเลย
ความรู้สึกแตกสลายและกดดันที่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง เจตกระบี่กดอัดไร้สิ้นสุดนั่น ไปจนถึงประกายกระบี่จ้าตาตรงขอบฟ้า ทำให้ใครต่อใครล้วนรู้ว่านี่คืออภินิหารคุมกระบี่ที่อย่าได้ลิ้มลองแม้แต่ครั้งเดียว
ความจริงแล้วอย่าว่าแต่ทางเทือกเขา ถึงเป็นระยะห่างที่ดูเหมือนจะปลอดภัยนี้ ชั่วขณะที่กระบี่ทลายฟ้าตกลงมา แม้แต่หัวหน้ามารในคราบชายหนุ่มรูปงานเหมือนกับเผชิญหน้าศัตรูตัวฉกาจ โคจรแสงจรจากเร่งหลบหนีตามสัญชาตญาณ ถึงขนาดบินในระดับที่ต่ำมาก ความรู้สึกที่ว่าท้องฟ้าถล่มลงมาตามกระบี่นั้นสมจริงเกินไป น่ากลัวยิ่งนัก
พวกมันเข้าใจว่าตนเองอยู่ตรงที่ไกลขนาดนี้ ย่อมหลุดพ้นจากค่ายกลเกาะหมอกเซียนนานแล้ว กระบี่นั้นไม่มีทางพุ่งเป้ามาที่พวกมัน แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็ยังคงหวาดกลัว หากตัวอยู่กลางเทือกเขา เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่นี้คงจะน่าประหวั่นมากกระมัง
“นายท่าน โชคดีที่ท่านคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกข้าคงถูกกระบี่นั้น…”
ตอนนี้ชายหนุ่มรูปงามเกิดความรู้สึกนึกกลัวอย่างยากจะเลี่ยง ถึงระดับการฝึกปราณของตนค่อนข้างสูงส่ง อีกทั้งมันเป็นถึงหัวหน้ามารที่ใช้ภาพมายายากคาดเดา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่นั้น ใครเล่าจะกล้าพูดว่าตนเองจะหนีรอดปลอดภัยได้
“สำแดงอภินิหารคุมกระบี่ระดับนี้ได้ หรือว่าผู้มาเยือนเป็นเทพเซียนคนหนึ่ง”
ชายหนุ่มรูปงานครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ถึงเป็นผู้สูงส่งเซียนจริงแท้ ปีศาจมารมากมายขนาดนี้ ในนั้นยิ่งไม่ขาดจ้าวปีศาจจอมมาร ก็ใช่ว่าพูดว่าจะกำจัดก็กำจัดได้จนสิ้นซาก นี่ไม่ใช่เซียนจริงแท้ธรรมดาแล้ว!”
เมื่อกระบี่นั้นออกมาก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกปราณคนอื่นของเกาะหมอกเซียนพากันตกลงบนยอดเขา หมอกรุ้งซ่านสลายจากที่ไกลอย่างชัดเจน ค่ายกลใหญ่ย่อมหยุดทำงาน กระบี่นี้จึงเป็นเพียงพลังของคนคนหนึ่ง
ผู้สูงส่งเซียนจริงแท้เก่งกาจจริง ทว่าต่อให้ระดับพลังสูงล้ำอย่างไรก็ไม่อาจสังหารจ้าวปีศาจจอมมารได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะตอนที่มีจำนวนไม่น้อย แม้กระบี่นี้ออมาแล้วจะส่งผลถึงผู้อื่นมาก แต่กลับเป็นสิ่งที่มาจากอานุภาพกระบี่ ปีศาจมารแทบไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้าน
พูดได้เพียงว่าท่ามกลางเซียนจริงแท้ทั้งหมดมีแบ่งแยกสูงต่ำ และระดับความสูงต่ำที่ว่ามีระยะระหว่างกันไม่น้อย
“นายท่าน กระบี่นั่นเหมือนจะตกลงมาแล้ว”
มารที่อยู่ตรงนี้มีขอบเขตที่มองเห็นได้ สะท้านใจเพียงใดก็ไม่อาจคิดว่าอานุภาพกระบี่ทำให้ฟ้าถล่มลงมาจริงๆ แม้ความคิดและการรับรู้ล้วนบอกตนเองว่าฟ้าจะถล่มตามกระบี่นั้นลงมา แต่สติปัญญายังดีอยู่ รู้ว่านี่เป็นเพียงเพราะอานุภาพกระบี่นี้หนักหนายิ่งนัก หนักหนายิ่งกว่าฟ้าทะลายลงมา
หากกระบี่แบบนี้ตกลงมาจริง อย่างอื่นล้วนไม่ต้องพูดแล้ว เทือกเขานั้นหรืออย่างน้อยพื้นที่ใจกลางภูเขาลูกใหญ่คงถูกกำจัดไปสิ้น ทว่าตอนนี้ยังห่างจากสภาพการณ์นั้นอยู่ไกลโข
ได้ยินหัวหน้ามารทางนี้พูดแล้ว ชายหนุ่มรูปงามหันศีรษะมองไปรอบๆ หัวเราะเสียงเย็นครั้งหนึ่ง
“ไม่ตกลงมา? ไม่ใช่ กระบี่นั้นตกลงมาแล้ว แม้ไม่ได้แสดงพลังทั้งหมด แต่ตกลงมาแล้วจริงๆ มันตกลงตรงนี้…”
ชายหนุ่มรูปงามชี้หน้าอก เข้าใจความนัยนั้นทั้งหมดดี ทำให้หัวหน้ามารไม่น้อยเผยสีหน้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ มันพูดพลางมองไปทางเมือกเขา ใช้ระดับเสียงเท่ากับการพึมพำพูดว่า
“กระบี่ไม่ได้แสดงพลังทั้งหมด…ฮ่าๆ จริงด้วย แค่มองเห็นสถานการณ์นี้ กลุ่มปีศาจและมารก็หัวใจแตกสลายแล้ว…”
ข้างๆ มีหัวหน้ามารพูดด้วยความกังวลใจ
“นายท่าน ชีพจรดินปริแตกทางนั้นจบลงแล้ว มีเซียนที่น่าครั่นคร้านเช่นนี้ประจำการอยู่ เจ้าพวกนั้นสร้างความเดือดร้อนอะไรไม่ได้แล้ว พวกเราควรหนีต่อไปใช่หรือไม่”
คำพูดนี้ทำให้ชายหนุ่มรูปงามฉุกคิดได้
“ถูกต้อง พวกเรารีบหนี หากคนผู้นี้ลุกขึ้นมาไล่ฆ่าพวกเราคงไม่ดีแน่!”
ทันใดนั้นแสงมารกลิ่นอายเลือนรางหลายสายหนีไป ไม่หยุดต่อไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว ปีศาจมารที่โชคดีหนีรอดไปทางอื่นก็หยุดแค่ครู่เดียวเพราะกระบี่ทลายฟ้าของจี้หยวน จากนั้นใช้ความเร็วที่เร็วยิ่งกว่าเดิมหนีจากไปด้วยวิธีเร้นกาย
…
ใจกลางเทือกเขาที่มีชีพจรดินปริแตก บนยอดเขาสูงตรงนั้น จี้หยวนยังคงนั่งดื่มสุราอำพันมังกร
ผลลัพธ์พิเศษของอำพันมังกรทำให้จี้หยวนรู้สึกดีขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเจ็บแปลบไปถึงหัวใจที่มือซ้ายคลายลงแล้ว
เมื่อครู่ใช้พลังไปจนหมด บาดแผลจากเคราะห์สวรรค์กำเริบขึ้นมาทันที ทว่าถึงจี้หยวนใช้พลังไปจนหมด แต่ในร่างกายยังคงมีปราณวิญญาณเต็มเปี่ยม ปราณวิญญาณนี้กลายเป็นเตียงอุ่นๆ หล่อเลี้ยงอานุภาพที่เหลืออยู่ของเคราะห์อสนีทันที
ความเจ็บแสบในตอนนี้ทำให้จี้หยวนมุ่นคิ้วอย่างอดไม่ได้
โชคดีที่สุราอำพันมังกรให้ผลลัพธ์ดีมาก มีปราณโอสถใหม่ถูกหลอมอย่างรวดเร็ว ข้ามฟ้าดินสะพานทองถึงจุดตันเถียนก่อนเปลี่ยนผันเป็นพลัง ระงับบาดแผลที่แขนซ้ายไว้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนที่ยืนอยู่บนภูเขาต่างมีสีหน้าสะเทือนใจอย่างไม่มีข้อยกเว้น
เมื่อมองไปรอบๆ ผืนป่าที่สายตามองเห็นมีปีศาจมารตายเกลื่อน บ้างยังเหลือลมหายใจสุดท้าย บ้างไม่เหลือลมหายใจแล้ว จ้าวปีศาจจอมมารที่ลมปราณแก่กล้าบางตนถูกทับอยู่ใต้ภูเขาที่ถล่มลงมา ทว่าไม่ได้ดิ้นรนออกมา เพียงยืนตรงนั้นอย่างนั้นไม่กล้าขยับเขยื้อน
“หนึ่งกระบี่ทลายฟ้า…โลกนี้มีอภินิหารคุมกระบี่ระดับนี้ แม้เป็นกระบี่เซียน ทว่าน่ากลัวเกินไปแล้ว…”
“ใช่ อย่าว่าแต่ปีศาจมารที่เป็นเป้าหมายของกระบี่เลย ต่อให้เป็นข้าเผชิญหน้ากับกระบี่นี้ เมื่อครู่หายใจไม่ทัน ในใจยิ่งกดดันอย่างยิ่งยวด…”
ผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนที่พลังฝึกปราณไม่ธรรมดาพูดอยู่บนยอดเขา สายตาทอดมองปีศาจมารเกลื่อนพื้น ถึงตอนนี้แล้วพวกเขาเพิ่งพบว่าปีศาจมารที่ต่อสู้กันก่อนหน้านี้มีมากมายขนาดนี้เชียว
“ปีศาจมารพวกนั้น…หนีไม่รอดสักตนเลยหรือ”
ผู้ฝึกปราณข้างๆ พยักหน้า
“นอกจากพวกที่เห็นผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนพวกนั้นมาแล้วหนีไปตั้งแต่แรก พวกที่หนีไปหลังจากนั้นล้วนอยู่ที่นี่”
นอกจากผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนทั่วไปค่อนข้างตื่นตกใจ ผู้อาวุโสเกาะหมอกเซียนหกคนใช้อภินิหารสื่อสารกันจากระยะไกล หลังจากนั้นครู่หนึ่งทั้งหกเกาะขึ้นสู่ท้องฟ้าในที่สุด ตั้งค่ายกลเกาะหมอกเซียนขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่นานนักทุกที่ทั่วเทือกเขานี้ต่างก็มีแสงหมอกเป็นกลุ่มๆ ลอยขึ้น ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยแสงรุ้งงดงามอีกครั้ง ทว่าแสงรุ้งนี้ดูจืดจางอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับกระบี่เมื่อครู่นี้
“ศิษย์เกาะหมอกเซียนจงฟัง กวาดล้างปีศาจมาร เผาร่างปีศาจอย่าให้เหลือ กักขังวิญญาณปีศาจด้วย”
เมื่อค่ายกลตั้งขึ้น เสียงของผู้อาวุโสผู้นั้นดังทั่วผืนป่าในทันที ผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนทั้งหมดฮึกเหิมขึ้นในตอนนี้ บังคับแสงหมอกไปพลางสำแดงอภินิหารกำจัดปีศาจมาร
ปีศาจมารบนภูเขาตายเกลื่อน พวกที่ยังมีชีวิตอยู่ส่วนใหญ่แววตาล่องลอย บางตนยังต่อต้าน ทว่ากล้าวิ่งหนีไม่กล้าจู่โจมกลับ
จากการต่อสู้อันขมขื่นระหว่างความดีและความชั่วมาจนถึงตอนนี้ กลายเป็นว่าผู้ฝึกเซียนฝ่ายธรรมะสังหารปีศาจมารสัตว์ประหลาดเพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะหลังจากประกายหมอกเกิดไฟแล้ว ประกายหมอกทั่วเขากลายเป็นไฟทั่วเขา กลางไฟร้อนรุ่มยิ่งทำให้ปีศาจมารยากจะมีชีวิตรอด
จี้หยวนได้ถอนใจโล่งอกเสียที โชคดีที่ผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนยังพอมีความสามารถ เก็บกวาดสนามรบแล้วดูไม่เหนือบ่ากว่าแรง และไม่หวังให้เขาคนแซ่จี้ช่วยเก็บกวาดเช่นกัน
แน่นอนว่าจี้หยวนไม่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยเลยสักนิด ไม่เพียงปีศาจมารเหล่านั้นไม่กล้ามุ่งหน้ามาทางเขา ต่อให้กล้ามา กระบี่เครือเขียวก็ยังคงอยู่ตรงนี้ และพักเหนื่อยมาหลายลมหายใจขนาดนี้แล้ว เขามีพลังเหลือให้ใช้ยันต์จอมพลัง พ่นเพลิงสมาธิออกมาสองสามครั้งก็ทำได้เช่นกัน
เขาเขย่าสุราในกาเชียนโต่ว ของล้ำค่านี้มหัศจรรย์จริงๆ เขย่าดูแล้วเหมือนเหลือของเหลวอยู่ครึ่งหนึ่ง ความจริงแล้วเป็นปริมาณหลายโต่ว มองกาสุรานี้แล้วจี้หยวนนึกถึงกาสุราเก่าที่มอบให้เถ้าแก่ร้านในสวนเมื่อตอนนั้นอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเถ้าแก่ผู้นั้นรู้มูลค่าของมันหรือไม่
อาจเป็นเพราะใช้พลังกับอานุภาพกระบี่ทลายฟ้าเมื่อครู่นี้มากเกินไป ความคิดจี้หยวนเตลิดไปไกล เห็นปราณชั่วร้ายถูกผนึกไว้ในรอยแตกใต้ดินแล้วจึงเหม่อลอยอยู่บ้าง
ประกายหมอกหกสายมาใกล้ยอดเขาที่จี้หยวนอยู่ เห็นจี้หยวนนั่งอยู่บนพื้นดินอย่างสบายๆ มือขวายันหัวเข่ารองใบหน้าด้านข้าง กาเชียนโต่วถูกแกว่งไปมาด้วยนิ้วชี้ของมือซ้าย สายตายังคงมองชีพจรดิน เหมือนกับงุนงงเหม่อลอย กลับสู่สภาพที่กลิ่นอายบนปราณสงบนิ่งอีกครั้งแล้ว
“ท่านจี้”
ผู้อาวุโสแต่งกายเป็นบัณฑิตที่สนิทสนมกับจี้หยวนที่สุดประสานมือกล่าวเป็นอันดับแรก ทว่าไม่เห็นจี้หยวนมีปฏิกิริยาใดๆ
“ท่านจี้? ท่าน…”
ตอนคิดส่งเสียงดังกว่าเดิมหน่อย ชายชราผู้นำกลุ่มยกมือขึ้นห้ามเขา กล่าวเสียงเบากับคนข้างๆ ว่า
“อย่ารบกวนท่านจี้ พวกเรารอก่อน!”
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนมีท่าทีต่อจี้หยวนต่างไปจากเดิมมาก แน่นอนกว่าก่อนหน้านี้เคารพนบน้อม ทว่าตอนนี้กลับเลื่อมใสยิ่งอย่างชัดเจน
สำหรับเรื่องนี้ ผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนล้วนไม่มีความเห็นเป็นอื่น
จี้หยวนคิดว่าเหตุใดปราณชั่วร้ายชีพจรดินถึงถูกอานุภาพกระบี่ทลายฟ้ากดกลั้นไว้ คิดแล้วคิดอีกถึงสังเกตได้ว่าเสียงการต่อสู้โดยรอบค่อยๆ เงียบลง จากนั้นสัมผัสทั้งห้ากลับมาว่องไวตามเดิม ตระหนักได้ว่าผู้อาวุโสหกคนจากเกาะหมอกเซียนยืนอยู่ที่ยอดเขาของตนเองแล้ว ทว่าห่างออกไปเล็กน้อย
“ขออภัย เมื่อครู่ข้าเหม่อไป!”
จี้หยวนเก็บกาสุรา ลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือให้กับทั้งหกคนเป็นการขอโทษ จากนั้นถามคำหนึ่ง
“สหายยุทธ์ของเกาะหมอกเซียนสายย่อยเป็นอย่างไรบ้าง”
ชายชราผู้นำกลุ่มถอนหายใจ
“สหายเหล่านั้นที่ตั้งค่ายกลยังอยู่ดี แม้มีคนได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่เกาะหมอกเซียนย่อมมีวิชาอัศจรรย์รักษาได้ ทว่าสำนักสายรองนั้นถูกปีศาจทำลายแล้ว”
จี้หยวนทำได้เพียงถอนหายใจ ยิ่งไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
“ปราณชั่วร้ายชีพจรดินถูกผนึกแล้ว พวกข้าต้องเตรียมตัวกลับเกาะหมอกเซียน หากท่านจี้มีเวลาว่าง จะกลับเกาะกับพวกข้าก็ย่อมได้ ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านจี้ลงมือช่วยเหลือด้วย!”
จี้หยวนอยากไปเกาะหมอกเซียนที่ลึกลับมาโดยตลอดอยู่แล้ว ตอนกำลังจะตอบตกลงกลับนึกอะไรขึ้นได้ มุ่นคิ้วถามว่า
“ปราณชั่วร้ายชีพจรดินตรงนี้สงบแล้ว แต่ปราณชั่วร้ายที่แผ่ออกไปก่อนหน้านี้เล่า”
“ท่านจี้โปรดวางใจ ปราณชั่วร้ายที่แผ่ออกไปก่อนหน้านี้ถูกไฟประกายหมอกชำระล้างแล้ว ปราณชั่วร้ายที่แผ่ออกไปจำนวนน้อยก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเช่นกัน นานวันเข้าก็จะซ่านสลายอยู่ระหว่างฟ้าดินเอง”
ปราณชั่วร้ายชีพจรดินถูกเรียกว่า ‘มูลดิน’ ในโลกของการฝึกเซียนมีหลักการ ‘ฟ้าดินไร้ปราณี’ และ ‘ฟ้าดินมีเมตตา’ อยู่เสมอ มูลดินเป็นหลักฐานของ ‘ความมีเมตตา’ เข้าใจกันว่าชีพจรดินปริแตกทำให้ดินเกิดความเจ็บปวด เกิดเป็นมูลดิน ปราณชั่วร้ายของมูลดินที่เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้จึงร้ายกาจมาก
ได้ยินคนเกาะหมอกเซียนพูดเช่นนี้ จี้หยวนสบายใจขึ้นเช่นกัน ทว่าในใจกลับคิดถึงเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นบ่อน้ำอำเภอหนิงอันมีผีร้าย เป็นเพราะดินชั่วร้ายก่อเกิดเช่นกัน ปีศาจมารที่หนีไปเหล่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าหนีไปได้ไกลเท่าไหร่แล้ว
“ใกล้ๆ นี้มีที่อยู่ของมนุษย์หรือไม่”
ผู้อาวุโสในชุดบัณฑิตตอบทันที
“ที่นี่คือดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปเมฆา ย่อมต้องมีอาณาจักรของมนุษย์อยู่แล้ว ภายในหกร้อยลี้นอกเทือกเขาแห่งนี้มีที่อยู่ของมนุษย์”
น่าจะเป็นเพราะตระหนักได้ว่าจี้หยวนกำลังคิดอะไรอยู่ ผู้อาวุโสในชุดบัณฑิตจึงถามคนข้างๆ
“มิเช่นนั้นข้าลาดตระเวนดูสักรอบดูที่นี่ร่วมท่านจี้เป็นอย่างไร ส่วนศิษย์ชายและหญิงทั้งหลายพาเพื่อนร่วมสำนักสายย่อยกลับไปรักษาที่เกาะก่อน”
คนข้างๆ มองหน้ากัน จากนั้นพยักหน้า
“เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ทราบว่าท่านจี้คิดเห็นอย่างไร”
จี้หยวนเพียงประสานมือ
“ส่งหลายท่านกลับไปทำการรักษาเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่นี่มีข้ากับท่านฉางก็พอ”
ได้รับการจู่โจมจากปราณชั่วร้ายชีพจรดินแบบนั้น ถึงเป็นผู้ฝึกเซียนก็ทรมานเป็นอย่างยิ่ง และเงื่อนไขของที่แห่งนี้มีจำกัด ไม่เหมาะทำการรักษา
เมื่อได้ฟังคำจี้หยวนแล้ว ชายชราผู้นำกลุ่มพยักหน้าให้ฉางอี้เล็กน้อย จากนั้นประสานมือคารวะจี้หยวนก่อน ถึงค่อยพาผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนทั้งหมดตั้งแสงหมอก เหาะไปทางทะเลบูรพา