เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 440 ผีโรคระบาด
ตอนที่ 440 ผีโรคระบาด
ผู้ฝึกเซียนทวีปเมฆาพากันใช้แสงธรรมเหาะไป เทือกเขาทั้งผืนเหลือเพียงจี้หยวนและฉางอี้แล้ว
จี้หยวนมองไปรอบๆ แม้ถูกไฟประกายหมอกเผามาก่อน ทว่าภูเขากลับไม่ได้มีรอยไหม้มากเท่าไหร่ ทว่ากลิ่นไหม้เจือจางอบอวลไปทั่วอย่างไม่อาจเลี่ยง สำหรับคนที่ประสาทสัมผัสไวอย่างพวกเขา ได้กลิ่นฉุนจมูกแล้วกลับไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเหมือนกับคนทั่วไป
เมื่อมองชีพจรดินอีกครั้ง แม้ปากทางยังคงอยู่ ทว่ามูลดินกระจายไปแล้ว ตอนนี้เป็นแค่หุบเหวลึกแห่งหนึ่ง ไม่แตกต่างอะไรกับทิวทัศน์ธรรมชาติทั่วไป
“น่าเสียดายเทพภูเขาที่นี่ เทือกเขาแห่งนี้ไม่นับว่าเล็ก มรรควิถีของเทพภูเขาผู้นั้นน่าจะไม่ต่ำต้อย ชีพจรดินปริแตกทำให้ปราณดั้งเดิมของเขาเสียหายอย่างหนักแน่นอน จากนั้นถูกปีศาจมารฉวยโอกาส…”
เขาทอดถอนใจ เทพภูเขาของที่นี่มีความสัมพันธ์อันดีกับเกาะหมอกเซียนสายรอง เมื่อเกิดเรื่องแล้วใช้วิชาบอกกล่าวอีกในทันที แต่ไม่คิดเลยว่าจะเจอหายนะสองด้าน
“ไปเถอะ วนรอบเขาดูสักรอบ”
จี้หยวนพูดจบแล้วบังคับเมฆเหาะไปกับฉางอี้ เหาะขึ้นบนท้องฟ้าสูงก่อนลาดตระเวนในภูเขา
เพราะการต่อสู้ของเซียน ปีศาจ และมาร ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ใจกลางเทือกเขาแตกแยกเสียหายอย่างชัดเจน รอบนอกดูดีกว่าเล็กน้อย แต่จี้หยวนกวาดสายตามองกลุ่มเขาแล้วเห็นซากสัตว์นับไม่ถ้วน ล้วนเป็นเพราะถูกดินชั่วร้ายจูโจม ถึงทำให้สัตว์ตายเป็นจำนวนมากขนาดนี้
และสิ่งที่กวนใจจี้หยวนใช่ว่าไม่มีอยู่ แม้ตอนนี้สองคนใช้ตาทิพย์มองดูรอบๆ อยู่บนท้องฟ้า และไม่พบร่องรอบปราณชั่วร้ายอะไรเลย ทว่าซากศพในเทือกเขากลับมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
จนกระทั่งเหาะอยู่รอบนอกได้ครู่ใหญ่ ถึงชายขอบเทือกเขาที่ยาวเหยียดหลายร้อยลี้ถึงเริ่มพบสิ่งมีชีวิตในที่สุด มองเห็นสภาพความเป็นอยู่ของสัตว์กินเนื้อและกินพืช
ฉางอี้ถอนหายใจอยู่บนเมฆเหนือท้องฟ้า กล่าวกับจี้หยวนว่า
“ท่านจี้ เห็นทีปราณชั่วร้ายชีพจรดินก่อนหน้านี้ไม่ได้แผ่ออกไปไกลมาก ไม่เช่นนั้นสัตว์ทั่วไปคงไม่รอดแน่”
“อืม ไปดูที่ไกลกว่านี้หน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าอาณาจักรของมนุษย์วุ่นวายหรือไม่”
“เรื่องนี้ข้าคนแซ่ฉางไม่แน่ใจเลย”
สองคนสนทนากันสั้นๆ ก็ขี่เมฆมุ่งหน้าไปยังทิศทางของอาณาจักรหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ทว่าไม่ได้ใช้ความเร็วมากเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ต้องสังเกตความเปลี่ยนแปลงและทิศทางชีพจรดินเบื้องล่างเช่นกัน
ดูจากเวลาแล้ว ตั้งแต่ผู้ฝึกเซียนเกาะหมอกเซียนสายรองตั้งค่ายกลที่รอยปริแตกของชีพจรดิน จนกระทั่งถูกปีศาจมารจู่โจม และถึงตอนที่เกาะหมอกเซียนเร่งเดินทางมาเป็นกำลังเสริม เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ผ่านไปแล้วอย่างน้อยเดือนกว่า
อาศัยความเร็วในตั้งค่ายกลและเหาะเหินของเกาะหมอกเซียน จากต้าเจินมาถึงที่นี่ใช้เวลามากกว่าสิบวัน แต่เกาะหมอกเซียนข้ามทะเลบูรพาก็ต้องใช้เวลา บวกกับสถานการณ์เฉพาะหน้าบางอย่าง หนึ่งเดือนกว่านับเป็นการคำนวณที่สมเหตุสมผล
แม้มูลดินในตอนนี้ไม่ได้ปะทะรุนแรงเหมือนตอนถูกปีศาจมารระเบิด อีกทั้งส่วนใหญ่ถูกผนึกอยู่ในเทือกเขา กระนั้นจี้หยวนก็ไม่คิดว่าจะไม่กระจายออกไปอย่างแท้จริง
…
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปเมฆาบูรพาเมื่อครึ่งเดือนก่อน ซึ่งก็คือทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรหยวนจ้าว
ตอนเช้าวันอากาศดีพลันเกิดแผ่นดินไหว คนจำนวนนับไม่ถ้วนทำอะไรไม่ถูก บางคนถึงขนาดอยู่ข้างนอกเรือนก็ยังคงวิ่งไปซ่อนตัวในเรือน
จนกระทั่งมีชายชราและคนที่มีประสบการณ์ตะโกนเสียงดังว่า ‘มังกรดินพลิกตัว…!’
และตะโกนบอกให้ทุกคนหนีออกมาจากในเรือนทั้งหมด ไม่นั้นต้องถูกบ้านถล่มทับตายเป็นแน่
ทว่าสุดท้ายเป็นการเตือนที่ผิดพลาด อย่างไรเสียทางเทือกเขาก็อยู่ไกลจากที่นี่อยู่บ้าง แม้ที่นี่มีแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน กระนั้นไม่ได้ทำให้เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ แม้แต่เรือนทำจากอิฐก็แทบไม่เป็นอะไร จะมีก็แต่เรือนผุพังอยู่แล้วหลายหลังถล่มลง
สองสามวันหลังจากแผ่นดินไหวจากไป ชาวบ้านส่วนใหญ่ลืมเรื่องแผ่นดินไหวไปแล้ว ทำมาหากินอย่างยากลำบากต่อไป
วันที่สามหลังจากแผ่นดิน วันนี้อากาศดีมาก
เลี่ยวต้าฉิวและเหล่าจางจากหมู่บ้านเดียวกันแบกคราด บังคับรถเทียมวัวมุ่งหน้าออกนอกหมู่บ้านทีละนิด วัวแก่ที่อยู่ข้างหน้าผอมมากอย่างชัดเจน ทว่าฝีเท้ากลับมั่นคงยิ่ง ลากรถคันใหญ่เดินบนถนนหมู่บ้านที่ขรุขระอยู่บ้าง
เหล่าเลี่ยวและเหล่าจางนั่งอยู่บนรถเทียมวัว ฝ่ายแรกใช้แส้ฟาดข้างลำตัววัวแก่อยู่เรื่อยๆ ฝ่ายวัวแก่รู้กันว่าควรเลี้ยวไปทางนั้น
ไม่นานก็มีแม่น้ำสายหนึ่งปรากฏให้เห็น เหล่าเลี่ยวมองไปแล้วถอนใจ
“เฮ้อ…สภาพสังคมสมัยนี้…”
เหล่าจางที่นั่งอยู่ด้วยกันมองตามเหล่าเลี่ยว เห็นริมแม่น้ำมีศพอยู่สองศพ ล้วนนอนหงายสีหน้าซีดขาว เนื้อหนังบวมขึ้นมาอยู่หลายจุด มองดูแล้วเหมือนกับสวมสิ่งที่คล้ายกับชุดเกราะ น่าจะเป็นพลทหารสองคน
เพราะอยู่ห่างจากริมแม่น้ำไม่ไกลเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเขาจึงมองเห็นคนที่นอนออยู่ริมแม่น้ำชัดเจน แน่ใจว่าแบบนี้เป็นศพอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีความจำเป็นต้องวิ่งไปช่วยเหลือแล้ว
“ไม่รู้เหมือนกันว่าจมน้ำตาย หรือตายเพราะสงคราม”
เหล่าจางทอดถอนใจ เหล่าเลี่ยวส่ายหน้าไม่อยากพูดเรื่องนี้ เขาตีก้นวัวครั้งหนึ่ง ให้รถเทียมวัวเลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นเล็ก ข้างหน้าเป็นทุ่งนาที่มีฟางกองอยู่หลายกองแล้ว
เลี่ยวต้าฉิวหันไปมองศพที่ริมแม่น้ำครั้งหนึ่ง จากนั้นมองเหล่าจางที่มาด้วยกัน
“เหล่าจาง…พอพวกเราเก็บฟืนกลับไป ข้าว่า…”
เหล่าจางรู้เช่นกันว่าเลี้ยวต้าฉิวคิดพูดอะไร จึงพยักหน้าอย่างจนใจ
“ได้ อีกเดี๋ยวนำฟางใส่รถ พวกเราไปริมแม่น้ำนำศพพลหทารสองคนขึ้นรถด้วย จากนั้นพาไปที่เดิม”
“อืม ตกลงตามนี้!”
ระหว่างพูดคุยกัน ชาวนาสองคนผูกรถเทียมม้าไว้ให้มั่น จากนั้นเข้าไปทำงานในที่นา ฟางเหล่านี้ใส่รถกลับไปใช้หุงหาอาหารได้ ในบางครั้งยังสามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ฉุกเฉินสำหรับวัวและผสมกับอาหารอื่นๆ เพื่อเลี้ยงวัวได้ด้วย
หลังจากยุ่งอยู่หนึ่งชั่วยามกว่า พวกเขาวางฟืนบนรถเทียมวัว ตอนนี้บนรถมีฟางแห้งกองขึ้นมาแล้ว ทว่าที่นายังคงมีหางจำนวนมากอยู่กดังเดิม ทว่านำที่เหลือไปไม่ได้ เพราะต้องถูกเผาเพื่อให้พืชผลเติบโตได้ดีในฤดูเพาะปลูก
“เอาล่ะๆ ไปเถอะ กลับกันได้แล้ว”
“อืม”
สองคนบังคับรถเทียมวัวเปลี่ยนทิศทาง ไม่นานก็กลับไปยังริมแม่น้ำตรงนั้น ศพสองศพยังคงนอนอยู่ดังเดิม คราวนี้รถเทียมวัวไม่ได้เดินผ่านไปโดยตรง ทว่าเลี่ยวต้าฉิวบังคับมันไปทางริมแม่น้ำ
“เฮ้อ…”
ทั้งสองคนถอนใจเล็กน้อย เริ่มใช้คราดลากศพขึ้นมาบนฝั่ง เพราะจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ การกระทำนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยกลัวว่าจะทำลายศพเข้า เช่นนั้นจะมีคราบเลือดอยู่เต็มพื้นไปหมด
ตอนนี้อากาศเย็น ศพยังไม่โชยกลิ่นเหม็น สองคนเปลืองแรงอย่างมาก เสื้อผ้าชุ่มเหงื่อไม่น้อยถึงวางศพลงบนกองฟางบนรถได้สำเร็จ จากนั้นค่อยบังคับรถม้าจากไป
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อกว่า รถเทียมวัวเข้าใกล้ด้านนอกของหมู่บ้านเหมาถานซึ่งเป็นที่อาศัยของเหล่าจางและเหล่าเลี่ยว
“เหล่าจางเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่หน่อย ข้าจะไปเรียกคน”
“รู้แล้ว ไปเถอะ!”
เหล่าจางขดตัวอยู่กลางกองฟืน ก่อนหน้านี้เสื้อผ้าเปียกเหงื่ออยู่บ้าง เมื่อครู่ทำงานร่างกายอบอุ่นจึงไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้กลับหนาวขึ้นมาเล็กๆ
เลี่ยวต้าฉิวลงจากรถเพียงลำพัง วิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน ระหว่างทางเห็นคนคุ้นเคยจึงทักทายกันสองคำ จากนั้นไปเรียกคนในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งเค่อ เลี่ยวต้าฉิวนำทางชายฉกรรจ์สี่ห้าคนกลับมา และไม่ได้กลับมามือเปล่า บ้างก็ถือพลั่ว บ้างก็ถือคราด บ้างก็ถือเสื่อรุ่งริ่ง
“ไอ้หยาท่านอาเลี่ยว เรื่องพรรค์นี้หลังจากนี้พวกเราไม่ทำแล้วดีหรือไม่ ศพคนนอกหมู่บ้าน ปล่อยไปตามยถากรรมดีกว่า…”
ชายหนุ่มคนหนึ่งถือจอบ ยังไม่ทันเข้าใกล้รถก็บีบจมูกตามสัญชาตญาณ เขากลัวกลิ่นเหม็นจากศพ
“เสี่ยวหลิว สิ่งที่เหล่าเลี่ยวพูดตอนนั้นมีเหตุผลเช่นกัน ไกลแค่ไหนพวกเราก็ไม่สน ศพริมถนนนอกหมู่บ้านไปจนถึงริมแม่น้ำ พวกเราช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือเถอะ อีกอย่างหมู่บ้านเราต้องใช้น้ำจากแม่น้ำ หมอในอำเภอบอกว่ามีศพอยู่มากจะเกิดโรคระบาด นี่เป็นทั้งการทำความดีและช่วยเหลือตนเองด้วย”
“ใช่ๆๆ นับว่าข้าปากมากเอง…”
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีก ตามทุกคนเดินไปทางนั้น ทั้งหมดนำกองฟางลงจากรถก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นบังคับรถเทียมวัวไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ไม่นานเท่าไหร่นักก็มาถึงสถานที่ที่คล้ายกับหลุมฝังศพ กองดินฝังศพมากมายล้วนมีให้เห็นทุกที่ บ้างตั้งป้ายไม้ต่างป้ายหลุมศพอย่างเรียบง่าย บ้างก็ไม่มีอะไรเลย
เลี่ยวต้าฉิวรู้สึกเศร้าโศกอยู่บ้าง สถานที่ฝังศพนี้ เมื่อสืบย้อนกลับไปแล้วต้องขอบคุณเขา แน่นอนว่าเขาไม่อาจฆ่าคน พื้นที่ฝังศพนี้มีไว้สำหรับศพไร้ชื่อที่ตายใกล้ๆ หมู่บ้านเหมาทัน เหล่าเลี่ยวเป็นคนเสนอช่วยฝังพวกเขาลงดินตั้งแต่ต้น
ในสภาพสังคมที่ไม่สงบสุขนี้ ศพที่ตายริมทางแบบนี้มีอยู่ทั่วทุกที่จริงๆ
ทั้งคำนึงถึงหมู่บ้านและเห็นใจผู้ตายเหล่านี้ เมื่อเจ็ดแปดปีก่อนเลี่ยวต้าฉิวเริ่มจากการเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ตามหาคนรู้จักแล้วไปปรึกษากับอีกฝ่ายเรื่องนี้ สุดท้ายได้พื้นที่ฝังศพตรงนี้มา
จำต้องพูดว่าคนส่วนใหญ่ล้วนเห็นแก่ตัว แต่ถึงจะอยู่ในสภาพสังคมที่อัตคัด คนดีก็ยังคงมีอยู่
เริ่มแรกหลายคนกราบไหว้ศาลเจ้าที่สูงเท่าครึ่งตัวคนข้างนอกพื้นที่ฝังศพ ขอให้เทพเจ้าที่คอยดูแล จากนั้นก็เริ่มลงมือทำงานอย่างรวดเร็ว
พวกเขาเป็นเกษตรกรที่ขุดดินเพื่อทำมาหากิน แรงที่ใช้ในการขุดดินมีเหลือเฟือ หลายคนผลัดกันขุด ไม่นานนักก็ขุดหลุมขนาดใหญ่ออกมาได้ แล้วกลิ้งศพที่ห่อด้วยเสื่อไว้ด้วยกัน
ไม่ต้องพลิกศพเท่าไหร่ พวกเขาแบกศพวางลงในหลุมโดยตรง
“เป็นหนี้ต้องจ่าย เป็นคนร้ายต้องชดใช้กรรม พวกข้าไม่ใช่คนที่ทำร้ายพวกเจ้า แต่ทนเห็นศพพวกเจ้าอยู่ตามลำพังไม่ได้ จึงหาสถานที่ฝังศพให้พวกเจ้า สมัยนี้ตายแล้วมีดินกลบหน้าก็ไม่เลวแล้ว พวกข้าไม่มีแรงเหลือเซ่นไหว้พวกเจ้า ล้วนหลับให้สบายเถอะ!”
เลี่ยวต้าหนิวพูดยาวเหยียด จากนั้นเริ่มกลบดินร่วมกับทุกคน ราวกับว่าการฝังดินหลุมศพไม่ใช้งานมีกฎเกณฑ์อะไรซับซ้อน
ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่นานนักก็กลบหลุมฝังศพเสร็จสิ้น เลี่ยวต้าหนิวและหัวหน้าหมู่บ้านชราใช้คราดกดดินอย่างแรงเพื่อให้ดินแน่นสนิทดี
ตอนกลับไป ทุกคนรู้สึกได้ว่าตัวเบาหวิว แม้แต่ชายหนุ่มที่บ่นอุบก่อนหน้านี้ ถึงก่อนหน้านี้พูดไปหลายคำ แต่ตอนนี้มีความรู้สึกว่าทำความดีสำเร็จลุล่วง
“นี่ เหล่าจาง พวกเราต้องไปจัดการกองฟางให้เรียบร้อย”
“ได้สิ!”
“จริงสิท่านลุงหลี่ ได้ยินมาว่าอำเภอข้างเคียงเกิดโรคระบาดหรือ”
“เฮ้อ เข้าอย่าพูดเลย ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ครั้งก่อนข้าไปทำงานในอำเภอ เจอคนที่บ้านของภรรยาข้า คนผู้นั้นเป็นหมอ เขาบอกข้าว่าช่วงนี้เกิดโรคระบาดที่อำเภอข้างเคียง”
หัวหน้าหมู่บ้านแบกจอบมองพวกเขาแล้วมองเลี่ยวต้าหนิว
“ดังนั้นพวกข้าและเหล่าเลี่ยวจึงจำเป็นต้องฝังศพ ได้ยินมาว่าโรคระบาดนี้เป็นพิษที่เกิดจากศพเหล่านั้น เป็นความโกรธแค้นของคนตายที่ไม่ได้รับการฝังศพ!”
“ซี้ด…ท่านลุงหลี่ไม่ต้องพูดแล้ว…”
“ฮ่าๆๆๆ…นั่นสิ เสี่ยวหลิวหากเจ้าเป็นแบบนี้ไม่ได้แต่งภรรยาแน่!”
“ไปๆ ใครบอกว่าข้าขี้กลัวกัน!”
คนกลุ่มหนึ่งสนทนากัน กลับหมู่บ้านอย่างปีติแม้จะลำบาก ถึงวันนี้เหนื่อยล้า แต่เทียบกับศพที่อยู่ข้างทางเหล่านั้นคงดีกว่ามากโข
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างช้าๆ เข้าสู่ช่วงเวลาดึกสงัด พื้นที่ฝังศพนอกหมู่บ้านมีแต่ความวังเวง ศาลเจ้าที่ซึ่งอยู่ด้านข้างมีแสงสีเหลืองเลือนรางอบอวล
ท่ามกลางยามราตรีที่เงียบสงบ พลันมีพังพอนปรากฏตัวขึ้นตรงพื้นที่รกร้างห่างไกล จากนั้นห้อตะบึงไปยังพื้นที่ฝังศพอย่างว่องไวราวกับบิน สุดท้ายหยุดอยู่ที่หน้าศาลเจ้าที่
“จี๊ดๆๆๆ…จี๊ดๆๆ…”
พังพอนส่งเสียงอยู่ที่หน้าศาลเจ้าที่อย่างต่อเนื่อง มีทั้งเสียงสูงและเสียงต่ำ บางครั้งเสียงแหลมจนเหมือนนกับร้องไห้
“อะไรนะ ผีโรคระบาด? ร้ายกาจจนศาลมืดก็ต้านไว้ไม่อยู่? แพร่กระจายไปแล้ว?”
หลังจากเสียงของความตื่นตกใจ ชายชราหลังค่อมเดินออกมาจากในศาลเจ้าที่ มองพังพอนด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“จี๊ดๆๆ…จี๊ดๆๆ…”
“เจ้า…ช่างเถอะๆ เจ้าไปได้แล้ว!”
ได้ยินเจ้าที่พูดแล้ว พังพอนคารวะเขาครั้งหนึ่งทันที จากนั้นหันกายห้อตะบึงไป หายไปในความรกร้าง
เจ้าที่ถอนใจเสียงหนึ่งก่อนจะหันไปมองพื้นที่ฝังศพ ความวังเวงเข้มข้น
ในยุคสมัยที่วุ่นวาย ศาลมืดอ่อนกำลัง ไม่เหลือเรี่ยวแรงไปเก็บกวาดผีเร่ร่อน เจ้าที่ของพื้นที่ฝังศพบอกกล่าวเทพหลักเมืองที่คอยดูแลอยู่มานานแล้ว แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ก็ยังคงทำได้เพียงรักษาสภาพการณ์ปัจจุบันเอาไว้
“เฮ้อ ผีโรคระบาด…ครั้งนี้ต้องตายกันกี่คนนะ…”