เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 444 ผีโรคระบาดที่รวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง
ตอนที่ 444 ผีโรคระบาดที่รวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง
จี้หยวนและฉางอี้เหาะไม่ช้า ทว่าเห็นปราณความตายแผ่ขยายอาณาเขตแต่ไกล ทำได้เพียงเหาะไปตรวจสอบสถานที่ที่ใกล้ที่สุด
เมื่อเข้าไปใกล้อีกหน่อย พวกเขามองเห็นโครงสร้างเมืองและหมู่บ้านจำนวนหนึ่ง ทว่าปราณเพลิงมนุษย์กลับค่อนข้างอ่อนกว่าปกติมาก
ลมยามราตรีส่งเสียงกลางอากาศ หมอกรุ้งวาดผ่านขอบฟ้ายามค่ำคืน เซียนทั้งสองบนก้อนเมฆใช้ตาทิพย์สอดส่ายสายตามองพื้นที่ขนาดใหญ่ แน่นอนว่ามองเห็นแสงสีดำจากผีที่พิเศษนั้นแล้ว
ฉางอี้มีประสบการณ์ทางด้านนี้มากกว่าจี้หยวน แน่นอนว่ามองสถานการณ์ออกในทันที
“แย่แล้ว ท่านจี้ ปราณชั่วร้ายฟ้าดินเมื่อครู่ส่งผลกระทบถึงผีพวกนี้ กอปรกับที่นี่มีกระดูกศพไม่น้อย ศาลมืดก็รับไม่ไหว ผีที่นี่จึงกลายเป็นหายนะแล้ว!”
แสงสีดำบนพื้นที่กว้างไกลออกไปออกไปหมายถึงผีชั่วร้าย ถึงขนาดมองเห็นเจ้าหน้าที่ผีและเทพผีจากศาลมืดกำลังใช้วิชาต่อสู้ แต่อย่างไรเสียก็มีความแตกต่างกันทางด้านปริมาณ
ในเมืองหนึ่งข้างหน้าตลบอบอวลไปด้วยหมอกแสงสีเขียวเข้ม มองแล้วรู้สึกไม่ชอบมาพากล และมีผีเดินไปมาอยู่ในเมืองด้วย นำปราณหยางของคนไปหลายกลุ่มอยู่เรื่อยๆ นอกจากนี้ยังส่งเสียงร้องแหลม เหมือนกับสุขใจทว่าทุกข์ใจอยู่ในที
ประกายหมอกในเวลากลางคืนชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง แม้คนทั่วไปมองไม่เห็น แต่สำหรับเทพผีกลับมีความรู้สึกว่องไว มีเทพผีหลายตนเงยหน้ามองท้องฟ้า ทว่านอกจากเมฆรุ้งก้อนหนึ่งแล้วก็มองเห็นอย่างอื่นไม่ชัด
จี้หยวนและฉางอี้เดินรอบอาณาเขตเมืองนี้ก่อน เข้าใจสถานการณ์ผีโดยคราวแล้วก็ไม่ลังเลอีก
“ท่านจี้คอยดูอยู่ข้างๆ เถอะ ข้าคนแซ่ฉางจะลงมือเอง!”
พูดแล้วฉางอี้ก็ใช้เคล็ดวิชา แกว่งแขวนหมุนข้อมือจนเกิดเสียง ทันใดนั้นประกายหมอกหลายสายหมุนเป็นเกลียวลงไปเบื้องล่าง ผีโรคระบาดมากมายที่ถูกมันล้วนมอดไหม้
เดิมทียมทูตดำกลุ่มหนึ่งกำลังสังหารผีโรคระบาดที่รวมตัวกันตามคำสั่งของผู้พอพากษา แม้บนท้องฟ้ามีเมฆหมอกเข้ามาใกล้ แต่ความจริงแล้วในใจเทพผีกระวนกระวายเช่นกัน ด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ใต้เท้าผู้พิพากษา ประกายหมอกตรงขอบฟ้าคืออะไร มีคนมาช่วยใช่หรือไม่”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ผู้มีประกายหมอกใช่ว่าต้องฝึกปราณสายตรง ปีศาจก็สำแดงออกมาได้เช่นกัน จำต้องระวังไว้!”
ผู้พิพากษาตอบไปพลาง สะบัดพู่กันพิพากษาไปพลาง ระหว่างนั้นแตะโดนผีโรคระบาดมากมาย ทำให้จิตวิญญาณของพวกมันกระเจิดกระเจิง จากนั้นยมทูตดำฟันดาบลงครั้งหนึ่ง ถือว่าสังหารผีโรคระบาดได้
ผีโรคระบาดมีจำนวนมาก อีกทั้งชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง ปราณโสมมบนตัวหนาหนัก เมื่อสังหารผีโรคระบาดแล้วปราณโสมมนั้นมักจะไม่ซ่านสลายไปด้วย กลับหลั่งไหลไปยังผีโรคระบาดตนอื่น ถึงขั้นอาจเกิดเป็นผีโรคระบาดที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม รับมือกับมันแล้วจำเป็นต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง
แม้ผีโรคระบาดทั่วไปไม่ถือว่าฆ่ายาก แต่หลังจากประมือกันนานแล้ว เทพผีจากศาลมืดล้วนรู้สึกเหนื่อย ทุกคนรู้อยู่ลึกๆ ว่าผีโรคระบาดจัดการบาก ไม่มีแรงเหลือไปควบคุมสถานการณ์
โดยเฉพาะปราณเพลิงมนุษย์ของมนุษย์ธรรมดาส่งผลต่อผีโรคระบาดได้ไม่มาก หรือพูดได้ว่าปราณโรคภัยที่อยู่ในความชั่วร้ายนี้ ปราณเพลิงมนุษย์ไม่ได้ต้านทานได้สักเท่าไหร่ และเมื่อปราณโรคภัยเกิดขึ้น ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเกิดโรคระบาด ปราณหยางก่อนตายของคนยิ่งถูกผีโรคระบาดกลืนกิน ทำให้พวกมันแกร่งกล้าขึ้นอีก
ปราณโรคภัยของศพคนที่ตายแล้วยิ่งหนักหนา กลายเป็นเตียงอบอุ่นของโรคระบาดในทันที ต่อให้ไม่มีผีโรคระบาดก็ทำให้คนติดโรคระบาดได้
เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ค่อยๆ เข้าใจในช่วงนี้ แต่ตอนนี้ศาลมืดไม่มีกำลังทำอะไรได้มาก นอกจากเข้าฝันหมอและเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งเพื่อบอกวิธีการรักษาโรคระบาด สิ่งสำคัญอยู่ที่การสังหารผีโรคระบาด หากสังหารผีโรคระบาดไม่หมด ไม่ว่าทำอะไรก็สูญเปล่าทั้งนั้น
ตอนที่เทพผียมทูตดำพูดถึงเมฆหมอกบนฟ้า ประกายหมอกหลายสายพลันเกิดขึ้น ขยายขอบเขตผ่านเทพผี เทพผีไม่เป็นอะไร ทว่าผีโรคระบาดมอดไหม้จนสิ้น
“อ้าก…”
“กรี๊ด…”
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าสังหารอย่างไร มีเสียงกรีดร้องแค่ไหนก็ทำอะไรผีโรคระบาดไม่ได้ ตอนนี้พวกมันกลับดิ้นทุรนทุราย ยิ่งส่งเสียงร้องแหลมอย่างควบคุมไม่ได้ ผีโรคระบาดที่ไม่ได้ถูกเผาตายในทันทีกลับเข้าใกล้ผีโรคระบาดตนอื่นจนเกิดเพลิงไหม้มากยิ่งขึ้น
นี่ทำให้เทพผีหยุดมือโดยสัญชาตญาณ พากันออกห่างผีโรคระบาดไปไกล จากนั้นเงยหน้ามองท้องฟ้า ตอนนี้มองเห็นเซียนสองคนยืนอยู่บนเมฆหมอก คนหนึ่งในนั้นกำลังใช้เคล็ดวิชา ประกายหมอกสีรุ้งงามตาทว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่งหลายสายออกมาจากมือเขา
ไม่นานนักผีโรคระบาดส่วนใหญ่ในเมืองก็ถูกเผาด้วยประกายหมอก ทันใดนั้นเองเคล็ดวิชาในมือฉางอี้เปลี่ยนแปลง เขายื่นมือขึ้นข้างบน
ฮูม…
ผีโรคระบาดข้างล่างติดไฟทั้งหมดในทันที ถูกเผาจนเป็นจุณภายในสองลมหายใจสั้นๆ
จี้หยวนนอกจากสังเกตผีโรคระบาดข้างล่าง ก็ใช่ว่าไม่สนใจกระบวนการสำแดงวิชาของฉางอี้ ฉางอี้ยามสำแดงวิชางามสง่าน่ามอง เป็นศิลปะอย่างหนึ่งอย่างแท้จริง หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ในปัจจุบัน จี้หยวนคนอารมณ์ดีมากกว่านี้ และอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาของอีกฝ่ายมากกว่านี้
“ขอบคุณท่านเซียนที่ใช้วิชาช่วยเหลือ ไม่ทราบว่าท่านเซียนทั้งสองเป็นเซียนจากที่ใด พวกข้าเป็นเทพผีจากศาลมืดท้องถิ่น ประมือกับผีโรคระบาดเหล่านี้มาหลายวันแล้ว แต่ที่นี่เป็นเพียงหนึ่งในผีโรคระบาดที่บุกมาเท่านั้น ยังมีอีกหลายที่ที่มีผีโรคระบาดอาละวาด…”
ผู้พิพากษาประสานมือพลางบอกกล่าวสถานการณ์กับเซียนบนเมฆหมอกสองคน หวังว่าพวกเขาจะยื่นมือช่วยเหลือ และความจริงเป็นเช่นที่เขาคิดไว้
จี้หยวนและฉางอี้คารวะกลับตามมารยาท ฝ่ายแรกกล่าวว่า
“เรียกผีนี้ว่าผีโรคระบาดนับว่าเหมาะสมทีเดียว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามันเกิดจากปราณชั่วร้ายชีพจรดิน พวกข้าย่อมวางแผนช่วยแก้ปัญหา รบกวนเทพผีแห่งศาลมืดเสาะหาอีกสักครั้ง ดูว่ามีปลาหลุดออกจากแหหรือไม่”
พูดจบแล้วจี้หยวนค่อยพูดกับฉางอี้
“ท่านฉาง ท่านกับข้าสองคนแยกกันเคลื่อนไหว เสาะหาผีเหล่านี้ กำจัดให้มากที่สุดอย่างเต็มกำลัง ผีที่เกิดขึ้นจากโรคระบาดส่งผลร้ายกับมนุษย์ยิ่งกว่าปราณปีศาจทั่วไปเสียอีก”
ประสบการณ์เมื่อชาติก่อนของจี้หยวนบอกว่าผีประเภทนี้ค่อนข้างรับมือยากจริงๆ กำจัดปีศาจมารอาจเป็นเรื่องง่าย ทว่ากำจัดผีพรรค์นี้กลับอาจทำให้เกิดโรคระบาด เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจถูกพายังไปยังสถานที่ที่อยู่ไกลกว่านี้ จากการแพร่กระจายโดยผีเป็นการแพร่กระจายโดยมนุษย์
“จัดการตามที่ท่านว่า!”
ฉางอี้ตอบรับเสียงหนึ่ง ทันใดนั้นกลายเป็นแสงท่องนภาสองสายร่วมกับจี้หยวน เหาะไปยังสถานที่ที่แตกต่างกัน ไม่ได้สนทนากับเทพผีข้างล่างมากเท่าไหร่โดยสิ้นเชิง
พื้นที่ขนาดเล็กทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรหยวนจ้าว โรคระบาดแพร่ไปแล้วอย่างชัดเจน ผีโรคระบาดยิ่งมีอยู่ไม่น้อย
ความจริงแล้ววิธีกำจักผีโรคระบาดของจี้หยวนไม่ได้ร้ายกาจเท่าฉางอี้ แต่จี้หยวนมีวิธีของตนเองซึ่งมีประสิทธิภาพสูง จุดที่เขาผ่าน เขาจะใช้ปราณกระบี่เซียนสังหารผีโรคระบาด โดยไม่สนใจว่าตนเองยิงปืนใหญ่ใส่ยุงหรือไม่ เขาเพียงรู้ว่าวิธีการนี้ได้ผลดีอย่างแน่นอน
อาณาเขตที่มีผีโรคระบาดเร่ร่อนใหญ่กว่าที่พวกเลี่ยวต้าหนิวคิดไว้จริงๆ ช่วงนี้พวกเขาได้ยินว่าเป็น ‘อำเภออื่น’ หรือ ‘เมืองอื่น’ เหมือนกับเป็นขอบเขตของอำเภอบางอำเภอ แต่วันนี้จี้หยวนและฉางอี้เหาะตระเวนดู พวกมันเร่ร่อนกันในระดับจังหวัดได้เลย แม้ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอยู่ในระดับอาณาจักรได้หรือไม่ ทว่าจี้หยวนถึงขนาดสงสัยว่าตนเองสังหารผีผ่านพื้นที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของรัฐจีหรือไม่
กระนั้นโชคดีที่ตาทิพย์ของจี้หยวนพิเศษมาก ตอนนี้อาศัยพลังบริสุทธิ์ กวาดสายตามองพื้นที่ขนาดใหญ่พร้อมกับเปิดตาทิพย์เต็มที่ ขอเพียงมีสถานที่ที่ดูน่าสงสัยเพียงเล็กน้อยก็จะเหาะไปถึงในทันที จากนั้นชักกระบี่สังหาร เมื่อปราณกระบี่กวาดล้างย่อมไม่มีผีโรคระบาดตนไหนรอดได้
แรกเริ่มอาจสนทนากับเทพผีที่พบเจอบ้าง ทว่าภายหลังจี้หยวนไม่สนใจโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่ว่าเขาหยิ่ง ทว่าเขาไม่มีเวลาพูดเล่นกับพวกเขาต่างหาก
วุ่นวายเกือบค่อนคืน แสงธรรมวาบผ่านบนท้องฟ้า ครั้งนี้จี้หยวนมาถึงอำเภอต้าหยวน เห็นว่าผีโรคระบาดกำลังโหมกระหน่ำอยู่ในอำเภอ จึงชักกระบี่เข้าสังหารโดยไม่สนใจสายตาของเทพผีจากศาลมืด
ชิ้ง…
เสียงกระบี่เสนาะหูดังขึ้น จี้หยวนถือกระบี่แกว่งไปหลายครั้ง เทพผีและผีโรคระบาดทั้งหมดเพียงรู้สึกว่ามีแต่สีขาวสว่างในดวงตา ถึงตระหนักได้ว่าความคมปลาบถึงกระดูกไม่ได้คงอยู่นาน ทุกอย่างก็จบลงแล้ว
เสียงกรีดร้องน่ารำคาญตลอดเวลาของผีโรคระบาดหายไปไม่ได้ยินเช่นเดียวกัน
ที่นี่อยู่ตรงขอบของพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยผีโรคระบาด ทว่าจวบจบลงแล้ว จี้หยวนยืนอยู่บนก้อนเมฆพลางมองไปรอบๆ ในตาทิพย์แทบมองไม่เห็นพื้นที่ที่ปราณผีของผีโรคระบาดรวมตัวกันแล้ว ขณะกำลังผ่อนลมหายใจ เขาพลันพบแสงสีดำที่จุดหนึ่ง
อำเภอต้าเหอไม่มีเทพหลักเมืองเหมือนๆ กับอำเภอมากมายที่นี่ ในอำเภอตอนนี้มีเทพราตรีสองคนและยมทูตดำกลุ่มหนึ่ง เมื่อเห็นจี้หยวนชักกระบี่กำจัดผีจึงประสานมือคารวะทันที
“ขอบคุณท่านเซียนมาก พวกข้า…เอ่อ…”
เทพราตรียังพูดไม่จบ จี้หยวนเหยียบเมฆกลายเป็นแสงหายไปจากตรงหน้าแล้ว ไม่ได้ทิ้งคำพูดอะไรไว้ทั้งนั้น
แสงสีดำสุดท้ายในตาจี้หยวนอยู่ทางหมู่บ้านเหมาทัน บังคับเมฆไม่นานก็เข้าใกล้หมู่บ้านเหมาทันแล้ว อีกทั้งได้ยินเสียงตะโกนฆ่าฟันกันอย่างคาดไม่ถึง เมื่อก่อนส่วนใหญ่ยมทูตดำศาลมืดต่อสู้กับผีไม่มีทางเกิดเสียงดัง กระนั้นเสียงร้องในตอนนี้ล้วนมาจากผีโรคระบาด
‘วิญญาณทหาร? ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย!’
หลังจากเข้าใกล้หมู่บ้านเหมาทัน เขาพบว่าในหมู่บ้านขนาดเล็กไม่มีผีโรคระบาดบุกรุก ทั้งหมดถูกต้านไว้ข้างนอก มีผีถืออาวุธหลายสิบตนกำลังต่อสู้กับผีโรคระบาดอยู่
แม้ผีโรคระบาดทางนี้แตกต่างกับเมืองเหล่านั้นก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับดิน ทว่าสถานการณ์นี้ภาพนี้น่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง โดยเฉพาะจี้หยวนมองเห็นทัพผีตั้งกระบวนรบ
“ฆ่า! พี่น้องชายหญิงทุกท่านอย่าไปกลัว พวกเราตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ความตายมีอะไรน่ากลัวกัน!”
“ฆ่า…”
“มือธนูทัพหลัง ยิงธนูเสร็จแล้วทิ้งคันธนูเสีย จับดาบบุกไปข้างหน้า!”
ในทัพหลังมีทั้งผีชายและหญิง พวกมันที่เดิมทีมีควรมีปราณผีเข้มข้น เมื่อรับคำสั่งเรียบร้อยพลันเกิดปราณวิญญาณผู้กล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
มือธนูพากันทิ้งคันธนูในมือตนเอง ชัดดาบเข้าต่อสู้ หรือไม่ก็เก็บหอกขึ้นจากพื้น พุ่งไปยังทัพหน้าที่กำลังตกอยู่ในอันตราย
เจ้าที่ที่อยู่ข้างๆ ใช้วิชาช่วยเหลือดูร้อนใจ แม้ไม่ได้มีผีโรคระบาดเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ทว่าผีโรคระบาดข้างนอกหมู่บ้านน่าจะมีมากกว่าหลายร้อย
วิญญาณผีเนินดินฝังศพที่เหลือเกรงว่าจะต้านทานผีโรคระบาดเหล่านี้ไม่ไหว ฝ่ายเจ้าที่สูญเสียพลังไปมากแล้วเช่นเดียวกัน
ชิ้ง…
เสียงกระบี่ดังไปทั่วสี่ทิศ จากนั้นประกายกระบี่แผ่ขยาย วิญญาณผีไม่น้อยหรี่ตาตามสัญชาตญาณ เมื่อมองเห็นรอบข้างชัดเจนอีกครั้ง ผีโรคระบาดก็หายไปไม่เห็นแล้ว เหลือเพียงแสงสีดำเป็นกลุ่มๆ ที่กำลังซ่านสลาย
เจ้าที่มองหน้าหมู่บ้านด้วยความงุนงง ไม่อาจแน่ใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในทันที จากนั้นเขาเหมือนกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง พลันเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงบนก้อนเมฆขาวบนท้องฟ้ามีเซียนในชุดสีขาวถือกระบี่ยืนอยู่