เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 447 อาณาจักรล่มสลายยังมีคนดี
ตอนที่ 447 อาณาจักรล่มสลายยังมีคนดี
เลี่ยวต้าหนิวมองจี้หยวนและฉางอี้ด้วยความตื่นเต้น
“ท่านทั้งสอง พวกท่านทำนายแม่นหรือไม่ ข้าหมายถึงว่าที่พวกท่านพูดเป็นความจริงหรือ เสี่ยวเป่า เขา เขายังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นใช่หรือไม่”
หมอดูทั่วไปทำนายดวงชะตา คนตระกูลเลี่ยวฟังมาแล้วนักต่อนัก แม้รู้สึกดีใจเป็นบางครั้ง ทว่าไม่มีทางดีใจมากขนาดนี้
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ท่านทั้งสองพูดแล้วทำให้คนเชื่อถืออย่างน่าประหลาด ราวกับสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาจากปากเป็นความจริง
เลี่ยวต้าหนิวจึงตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงเขาเท่านั้น ภรรยาที่ธรณีประตูห้องครัวก็เป็นเช่นเดียวกัน ความรู้สึกนี้เหมือนกับไม่ได้ตามหาคนทำนายชะตา ทว่าเจ้าหน้าที่นำจดหมายมาให้ บอกว่าบุตรชายคนโตของพวกเขายังมีชีวิตอยู่
บุตรชายคนเล็กตระกูลเลี่ยวที่ธรณีประตูเห็นท่าทางบิดามารดาในตอนนี้แล้วทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง จึงดึงแขนเสื้อฮูหยินเลี่ยวครั้งหนึ่ง
“ท่านแม่…”
คราวนี้ฮูหยินเลี่ยวถึงรู้สึกตัว นางลูบใบหน้าบุตรชายคนเล็กของตนเอง ทว่ายังคงสนใจทางเหล่าเลี่ยวและท่านทั้งสองคนนั้น
เห็นสองสามีภรรยาคู่นี้ตื่นเต้นมาก จี้หยวนและฉางอี้ย่อมเข้าใจได้ ฝ่ายแรกพยักหน้าอย่างจริงจังก่อนตอบ
“ถูกต้อง เลี่ยวเจิ้งเป่าบุตรชายคนโตของพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พวกข้าช่วยพวกท่านไปสืบดูที่กองทัพได้ ไม่แน่ว่าอาจเจอบุตรชายของพวกท่าน”
ได้ยินดังนั้นแล้วเลี่ยวต้าหนิวลุกขึ้นยืนทันที ชามในมือแทบร่วงหล่น โจ๊กขาวที่เป็นของมีค่าสำหรับเกษตรกรไหลลงสู่พื้นดินแล้ว
หลังจากมือถูกโจ๊กขาวลวก เลี่ยวต้าหนิวถึงรีบวางชามไว้บนเก้าอี้ จากนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าจี้หยวนและฉางอี้ทันที
“หากทั้งสองท่านช่วยพวกข้าตามหาเสี่ยวเป่ากลับมาได้ บุญคุณนี้ข้าไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต เกิดใหม่ก็ไม่มีทางลืม!”
ภรรยาบนธรณีประตูทางนั้นวางชามลงเช่นกัน วิ่งไปคุกเข่าร่วมกับสามี
“ขอท่านทั้งสองช่วยพวกข้าตามหาเสี่ยวเป่ากลับมาด้วย ข้าขอร้องพวกท่านแล้ว!”
สองคนแม้คิดโขกศีรษะ ทว่าจี้หยวนและฉางอี้ประคองศีรษะพวกเขาไว้ทั้งทางซ้ายและขวา พวกเขาไม่หลบไม่หลีกไม่ขวาง รับการคารวะจากสองคนได้ ทว่าโขกศีรษะกลับไม่จำเป็น
“ทั้งสองท่านรีบลุกขึ้นเถอะ พวกข้าย่อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องมากพอธีขนาดนี้”
“เอ่อ พวกข้าควรตอบแทนท่านทั้งสองอย่างไร พวกข้าไม่มีเงินและอำนาจ ควรตอบแทนอย่างไรดี”
ตามหาคนจากกองทัพและพาตัวกลับมา ชาวนาอย่างเหล่าเลี่ยวและภรรยารู้เช่นกันว่าต้องใช้เงินไม่น้อยเลย เพราะได้ยินเจ้าหน้าที่ในอำเภอพูดกันว่าต้องพนันกับทางการ เงินที่พนันนั้นเป็นจำนวนไม่น้อย ถึงขนาดว่าเมื่อครึ่งปีก่อนมีสองครอบครัวจากหมู่บ้านข้างๆ ไปขอร้องทางการด้วยม้าหนึ่งตัว สุดท้ายแพ้พนันเสียทั้งบ้านไม่ได้ทั้งม้า ต้องมอบทุกอย่างให้กับทางการ…
เหล่าเลี่ยวและภรรยารู้ดีว่าตนเองไร้กำลังรับผิดชอบอะไร แต่จะให้ท่านทั้งสองรับผิดชอบได้อย่างไร ยังไม่พูดว่าจี้หยวนและฉางอี้จะทำเช่นนั้นหรือไม่ ต่อให้ทำเช่นนั้นจริง สองสามีภรรยาตระกูลเลี่ยวก็ไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าโอกาสช่วยบุตรชายนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร
จี้หยวนเหมือนกับมองทะลุความคิดของสองสามีภรรยา คิดแล้วก็ชี้ปิ่นหยกดำบนมวยผมตนเอง
“ข้ากับท่านฉางไม่ได้ขาดเงิน อีกทั้งไม่ขาดเส้นสาย อีกอย่าง ช่วยพวกท่านถือว่าคู่ควรแล้ว”
เห็นปิ่นหยกดำของจี้หยวนแล้ว ทั้งสองคนแม้ไม่นับว่าเป็นคนรู้จักของมีค่าสักเท่าไหร่ก็รู้ว่ามีค่ามากเป็นอย่างยิ่ง หากงานนี้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือสำหรับจี้หยวนและฉางอี้จริง เช่นนั้นพวกเขาก็วางใจลงได้ไม่น้อย
“อืม หากพวกท่านอยากตอบแทนบุญคุณ มอบโจ๊กเต็มชามให้ข้าคนแซ่จี้อีกเถอะ”
“ฮ่าๆๆ ใช่ ข้าคนแซ่ฉางก็ต้องเติมอีกชาม เพิ่มผักดองเค็มอีกหน่อย ผักดองเค็มมีรสชาติสดใหม่ อร่อยมาก!”
บนใบหน้าเหล่าเลี่ยวและภรรยาปรากฏความปีติ
“ได้ๆๆ ข้าจะเติมให้พวกท่านจนเต็มชาม!”
สองสามีภรรยารีบลุกขึ้น ไม่สนใจปัดขากางเกง รับชามเปล่าจากมือจี้หยวนและฉางอี้ ไปเติมโจ๊กที่ห้องครัวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมพูดถึงผักดองของบ้านตนเอง
“ผักดองนี้น่ะ เป็นผักดองที่พวกข้าใช้ผักกาดขาวทำ เพิ่งเปิดไหเร็วๆ นี้ เป็นช่วงที่สดใหม่พอดี นำมาต้มน้ำแกงก็อร่อยมากเช่นกัน!”
ภรรยาเติมโจ๊ก เหล่าเลี่ยวเติมผักในชามทั้งสอง บนใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข น้ำตากลับไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง กระนั้นมือยังคงขยับไม่หยุด ทำได้เพียงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาแล้ว
แต่ตอนเดินออกจากห้องครัว ทั้งสองคนเช็ดน้ำตาบนใบหน้าสะอาดแล้ว ถือชามโจ๊กใส่ผักดองเค็มสองชามอย่างมั่นคง ส่งมันให้จี้หยวนและฉางอี้ด้วยควาระมัดระวัง ราวกับชามโจ๊กหนักมากอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาเพียงกินข้าวเช้าที่บ้านเลี่ยวต้าหนิวมื้อหนึ่ง จากนั้นออกจากหมู่บ้านเหมาทันไปก่อนในดวงตาของสองสามีภรรยาจะปรากฏความหวังและความกังวลอีก ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านที่มาหาจี้หยวนและฉางอี้โดยเฉพาะหลังจากนั้นคว้าน้ำเหลว
…
ตอนจี้หยวนและฉางอี้จากไปปฏิเสธเจตนาดีที่เลี่ยวต้าหนิวจะใช้รถเทียมวัวไปส่ง โดยเลือกเดินเท้าโดยตรง เมื่อออกจากหมู่บ้านได้ครู่หนึ่งค่อยเหาะขึ้นไปบนฟ้า
มีข้อมูลของเลี่ยวเจิ้งเป่าแล้ว อีกทั้งนำกระบี่ไม้ที่เลี่ยวเจิ้งเป่าเคยเล่นตอนเด็กๆ มาจากตระกูลเลี่ยวด้วย สำหรับจี้หยวนและฉางอี้นั้น การตามหาเลี่ยวเจิ้งเป่าไม่ใช่เรื่องยาก
ทั้งสองคนเหาะไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรหยวนจ้าวอย่างแม่นยำ ระหว่างนั้นกวาดสายตามองพื้นดินผืนใหญ่ พบว่าทุ่งนามากมายล้วนรกร้าง หมู่บ้านไปจนถึงเมืองหลายแห่งว่างเปล่า
นี่เหมือนกับภาพตอนจี้หยวนไปยังอาณาจักรจู่เยวี่ยครั้งแรก แม้สถานการณ์ภายในอาณาจักรจู่เยวี่ยย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง แต่ในฐานะอาณาจักรที่สามารถรบกับอาณาจักรต้าเจินมาได้นานหลายปี โดยรวมแล้วมีพื้นฐานดี ที่ดินกว้างใหญ่ ทว่าอาณาจักรหยวนจ้าวเล็กกว่าหน่อย ภายในและภายนอกอาณาจักรย่ำแย่ ครั้งนี้โรคระบาดกินพื้นที่หนึ่งในสามของอาณาจักร เกรงว่าโชคดีของอาณาจักรนี้คงหมดสิ้นแล้วจริงๆ
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม จี้หยวนและฉางอี้ถึงพื้นที่รกร้างทางตะวันออกเฉียงใต้ของอาณาจักรหยวนจ้าวแล้ว ที่นี่นับว่าเป็นายขอบของอาณาจักรหยวนจ้าว ทว่าเมืองชายขอบทางนี้ทรุดโทรมอยู่บ้างอย่างชัดเจน ด้านหลังและรอบข้างไม่ได้มีประชาชนอาศัยอยู่เท่าไหร่ ถึงมีทุ่งนาอยู่บ้าง กระนั้นเป็นฝีมือการปลูกของทหาร ใช้แก้ปัญหายามเสบียงขาดแคลนในกองทัพ
จี้หยวนและฉางอี้ไม่มีทางเหาะไปทางตัวเมืองโดยตรงแน่ ทว่าร่อนลงข้างนอกเมือง จากนั้นเลียบทุ่งนาข้างหลังเพื่อเข้าใกล้เมืองทีละนิด
“ท่านจี้ เลี่ยวเจิ้งเป่าผู้นั้นน่าจะอยู่ในเมือง พวกเราจะพาเขาไปอย่างไร หรือทำให้เขาหลับไป จากนั้นลักตัวเขาเหาะกลับหมู่บ้านเหมาทันเป็นอย่างไร”
ตอนฉางอี้เดินไปพลาง ถามจี้หยวนไปพลาง จี้หยวนกลับสังเกตเห็นเมืองชายขอบแห่งนี้ ด้วยตาทิพย์ที่แสนพิเศษของเขา ทหารในเมืองรวมตัวกันหนาแน่น ยิ่งมีปราณเลือนรางทว่าไม่ธรรมดาสายหนึ่งก่อตัวอยู่ในนั้นอย่างมั่นคง ไม่ค่อยเหมือนกับคุณลักษณ์ ‘อาณาจักรทรุดโทรม’ ของอาณาจักรหยวนจ้าวเลย ในใจครุ่นคิดแล้วมองไปทางฉางอี้
“นี่ต้องดูว่าเลี่ยวเจิ้งเป่าคิดอย่างไรแล้ว”
ฉางอี้มุ่นคิ้วแล้วมองไปทางเมืองเช่นกัน ไม่เข้าใจความหมายของจี้หยวนเท่าไหร่ ทว่าไม่ได้ถามอะไรมาก
ยิ่งสองคนเข้าใกล้เมืองนี้ ไม่นานก็ถูกพลทหารจำนวนหนึ่งพบเข้า อีกทั้งเดินอยู่ข้างทุ่งนาอีกต่างหาก เมื่อตะโกนเสียงดังให้หยุดฝีเท้าแล้ว ทหารห้าคนก็ลอดออกจากพงหญ้าข้างทุ่งนา
ชิ้ง
ชิ้ง
ชิ้ง
ชิ้ง
ชิ้ง
ห้าคนล้วนชักดาบชี้จี้หยวนและฉางอี้ มองสองคนด้วยสีหน้าระแวดระวัง ทหารผู้นำกลุ่มมองจี้หยวนและฉางอี้อย่างละเอียด จากนั้นเอ่ยปากถามว่า
“พวกท่านเป็นใคร มาพื้นที่ค่ายทหารด้วยธุระใด รีบพูดมาอย่าได้ปิดบัง!”
ทหารคนอื่นข้างๆ ก็ตะโกนซ้ำอีก
“รีบพูดมาอย่าได้ปิดบัง!”
จี้หยวนและฉางอี้ไม่มีสีหน้าตื่นตระหนกเลยสักนิด ฝ่ายแรกเพราะปัญหาทางสายตา เห็นเพียงทหารเหล่านี้มีใจอยากต่อสู้ ฝ่ายฉางอี้มองเห็นเกราะพังๆ บนตัวทหารเหล่านี้ มองเห็นรอยเย็บปะด้วยตนเองอยู่หลายแห่ง แม้แต่บนคมดาบก็มีรอยบิ่น ทว่านอกจากรอยบิ่นแล้ว ตรงอื่นกลับขัดจนเงาวับ ดาบคมปลาบดีทีเดียว
“ข้าน้อยจี้หยวน ท่านนี้คือท่านฉางอี้ พวกข้าสองคนรับคำไหว้วานมาจากคนอื่น มาที่นี่เพื่อส่งจดหมายให้พลทหารคนหนึ่ง หวังว่าพลทหารทั้งหลายจะอำนวยความสะดวก”
“ส่งจดหมาย?”
ทหารผู้นำกลุ่มชะงักไปเล็กน้อย ส่วนทหารคนอื่นข้างๆ สบตากันอยู่หลายครั้ง
“ส่งจดหมายให้ใคร เป็นจดหมายจากทางการใช่หรือไม่”
จี้หยวนใคร่ครวญดู มือซ้ายทำท่าทางควักบางอย่างออกจากแขนเสื้อข้างขวา ปากไม่หยุดตอบ
“มีจดหมายจากทางการ มีอยู่แล้ว พลทหารรอสักครู่”
ฉางอี้มองท่านจี้ข้างกายด้วยสีหน้าประหลาดใจ อยากรู้ว่าท่านจี้ได้จดหมายจากทางการมาตั้งแต่เมื่อใด ปรากฏว่าเห็นจี้หยวนควักกระดาษเซวียนจื่อว่างเปล่าแผ่นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ จากนั้นยื่นให้ทหารผู้นำกลุ่มโดยตรง
อีกฝ่ายรับ ‘จดหมายจากทางการ’ จากมือจี้หยวน อ่านดูอย่างละเอียด ด้านข้างยังมีพลทหารสองคนยื่นหน้ามาเช่นกัน
พวกเขาอ่านตั้งแต่แรกจนจบอยู่หลายรอบ สุดท้ายค่อยพยักหน้าและส่งมันคืนให้จี้หยวน
“ท่านมีจดหมายจากทางการจริง แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจดหมายจากทางการนี้เป็นของจริงหรือของปลอม ท่านเก็บไว้ให้ดีก่อน อีกเดี๋ยวให้ทหารรักษาการณ์ดูดีกว่า ตอนนี้ตามพวกข้ามา!”
“ตกลง รบกวนทุกท่านนำทางแล้ว!”
จี้หยวนพยักหน้าให้ฉางอี้เล็กน้อย จากนั้นยัดกระดาษเซวียนจื่อไว้ในแขนเสื้อ ฝ่ายหลังเข้าใจในทันที นี่เป็นผลจากการใช้วิชาบังตาเล็กๆ น้อยๆ ‘จดหมายจากทางการ’ ที่พลทหารทั้งหลายเห็นเป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาอยากเห็นเท่านั้น
ตอนเข้าใกล้เมือง แม้เป็นด้านหน้าที่มุ่งหน้าไปย้งด้านหลัง ทว่าประตูเมืองเปิดไว้เพียงเสี้ยวเดียว อีกทั้งข้างนอกตั้งสิ่งกีดขวางเอาไว้ อย่างน้อยต้องผ่านการตรวจสอบสองครั้ง จี้หยวนกับฉางอี้ถึงจะมองเห็นทหารรักษาการณ์ผู้รับผิดชอบประตูเหนือ
ภายในเรือนที่อยู่ติดกับประตูเมือง ทหารรักษาการณ์ผู้นั้นอ่าน ‘จดหมายจากทางการ’ อย่างละเอียดเช่นกัน อีกทั้งนำมาเทียบกับจดหมายจากทางการอีกหลายฉบับด้วย เมื่อแน่ใจแล้วว่าจดหมายจากทางการไม่มีข้อผิดพลาดก็ไม่ได้คืนมันให้กับจี้หยวน ทว่าวางไว้ในกล่องไม้รวมกับจดหมายจากทางการฉบับอื่น
“พวกเจ้ามาส่งจดหมายหรือ แปลกจริง เบื้องบนมอบอาหารเครื่องดื่มเงินเดือนให้ไม่เพียงพอด้วยซ้ำ แต่ออกเอกสารทางการเพื่อให้ส่งจดหมายอย่างนั้นหรือ…”
ทหารรักษการณ์ผู้นี้พูดพึมพำเสียงหนึ่ง จากนั้นถามจี้หยวนและฉางอี้อีกครั้งด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
“มีจดหมายกี่ฉบับ มีของข้าบ้างหรือไม่ ข้าชื่อว่าหลี่ชิวหยาง พลเมืองจากเมืองเน่ยเหอ มีบ้างหรือไม่”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว พลทหารบางคนภายในเรือนพากันมองจี้หยวนและฉางอี้อย่างมีความหวังเช่นกัน ชัดเจนว่าอยากให้มีจดหมายของตนเองบ้าง
แต่จี้หยวนทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างจนใจ
“ไม่มีจดหมายของผู้อื่น มีเพียงคำบอกเล่าและจดหมายจากตระกูลของเลี่ยวเจิ้งเป่า”
ทหารรักษาการณ์ผู้นี้ถอนใจ พยักหน้าก่อนกล่าวกับนายทหารข้างๆ
“พาทั้งสองท่านไปพบซือหม่า[1]เลี่ยวเถอะ”
“ขอรับ!”
จี้หยวนกับฉางอี้ตามนายทหารผู้นั้นเดินไปในเมือง เห็นนายทหารคนอื่นไม่น้อย บ้างได้รับบาดเจ็บ บ้างกำลังฝึกซ้อม ทั้งหมดสวมชุดเกราะอย่างไม่มีข้อยกเว้น
“ท่านฉางว่าอย่างไร”
ได้ยินจี้หยวนถามแล้ว ฉางอี้ส่ายหน้าแล้วทอดถอนใจกล่าว
“ทหารร่วมรบในสงครามนับร้อย นักรบตัวจริง น่าเสียดายนัก!”
[1] ซือหม่า เป็นตำแหน่งทาการทหาร ทำหน้าที่คล้ายทหารดูแลชายแดน