เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 449 พบเทพเซียนแล้ว
ตอนที่ 449 พบเทพเซียนแล้ว
ปากจี้หยวนบอกว่าเป็นผู้ทำลายความไว้วางใจแล้ว แต่กลับไม่ได้มีสีหน้าไม่สบอารมณ์แต่อย่างใด
แม่ทัพยืนขึ้นจากที่เดิมอย่างอดไม่ได้ เดินไปยังตรงหน้าเลี่ยวเจิ้งเป่า ตบบ่าเขาอย่างแรง ทว่าฝ่ายหลังพยักหน้าให้แม่ทัพเช่นกัน
จี้หยวนพิจารณากระบี่ไม้ขนาดเล็กในมือ คิดแล้วถึงกล่าวกับเลี่ยวเจิ้งเป่า
“กระบี่ไม้เป็นของยืนยันที่บิดามารดาเจ้ามอบให้พวกข้า เจ้ามอบของยืนยันให้พวกข้าเช่นกันสิ บิดามารดาเจ้าจะได้รู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ”
“ใช่ๆ สมควรเป็นเช่นนั้น!”
เลี่ยวเจิ้งเป่าพับยันต์สงบสุขในมือสองทบแล้วยัดไว้ในอกเสื้อ จากนั้นถูมือพลางครุ่นคิดว่าควรมอบของยืนยันอะไรให้บิดามารดา ทว่าคิดอยู่นานแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าต้องเป็นอะไรถึงเหมาะสม
“ข้าคิดไม่ออะว่าต้องเป็นอะไรถึงเหมาะสม…”
เลี่ยวเจิ้งเป่ามองแม่ทัพอย่างขอความช่วยเหลือ ทว่าฝ่ายหลังก็คิดไม่ออกเช่นกัน ที่นี่ไม่ว่าอะไรล้วนขาด ยิ่งไม่มีของท้องถิ่นอะไร จะนำอาวุธบิ่นๆ ไปให้ครอบครัวคงไม่ได้เช่นกัน
“เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าเขียนจดหมายให้ที่บ้าน แม้คำพูดก็ใช้ได้เช่นกัน ทว่าก็ยังไม่สู้จดหมาย ด้วยอ่านคลายความคิดถึงได้ทุกเมื่อ ส่วนกระบี่ไม้ด้ามนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ”
จี้หยวนเสนอแล้วถือโอกาสคืนกระบี่ไม้ให้เลี่ยวเจิ้งเป่า ฝ่ายหลังเกาศีรษะแล้วเก็บกระบี่ไม้ไป จากนั้นกล่าวอย่างเขินอายอยู่บ้าง
“แม้ข้ารู้ตัวอักษรง่ายๆ จำนวนหนึ่ง แต่เขียนได้ไม่ดีเท่าไหร่ ท่านช่วยข้าเขียนหน่อยได้หรือไม่”
ตอนเขียนจดหมายกลับบ้านก่อนหน้านี้ เขาล้วนให้คนที่มีน้ำหมึกในกองทัพเขียนแทน อย่างเช่นทหารรักษาการณ์ประตูเหนือ ครั้งนี้จี้หยวนและฉางอี้อยู่ด้วย เรื่องนี้ย่อมต้องฝากฝังทั้งสองท่านแล้ว
“ได้ ข้าจะช่วยเจ้าเขียน”
จี้หยวนได้ยินแล้วรับปากทันที
บนโต๊ะวางแผนที่ภายในห้องโถง มีทหารหากระดาษพู่กันมาแล้ว จี้หยวนจึงเขียนจดหมายแทนเลี่ยวเจิ้งเป่า
หลังจากรู้ว่าที่บ้านไม่ได้รับจดหมายใดมาตลอดหลายปี เลี่ยวเจิ้งเป่าเลือกเล่าเรื่องราวในหลายๆ ปีที่ผ่านมาโดยคร่าว ตั้งแต่ความงุนงงตอนเข้าร่วมกองทัพ ความหวาดกลัวหลังจากนั้น ความชินชาในเวลาต่อมา จนกระทั่งเกิดความรู้สึกต้องรับผิดชอบอันหนักแน่นในตอนสุดท้าย
แม้ตัวอักษรของจี้หยวนในครั้งนี้เล็กมาก แต่จดหมายถึงบ้านฉบับนี้เขียนไปห้าแผ่นเต็มๆ ทุกรอยขีดเขียนอยู่บนหน้ากระดาษ ล้วนทำให้คนข้างๆ เหมือนกับได้ชมงานศิลปะอย่างไรอย่างนั้น
ทุกครั้งที่เขียนเสร็จหนึ่งแผ่นแล้ววางไว้ข้างๆ เป่าหมึกแห้งเก็บไปอย่างรวดเร็ว จี้หยวนเขียนพู่กันในมือเสร็จแล้วหมุนข้อมือครั้งหนึ่ง เปลี่ยนกลับไปใช้พู่กันดั้งเดิมของในกองทัพ ส่วนพู่กันขนหมาป่าตอนเขียนจดหมายก่อนหน้านี้เก็บเข้าไปในแขนเสื้อ ฉางอี้มองเห็นทุกอย่างนี้ชัดเจน
“เอาล่ะ ดูสิว่ามีข้อผิดพลาดอะไรหรือไม่”
จี้หยวนออกจากโต๊ะ เลี่ยวเจิ้งเป่าและแม่ทัพข้างๆ ไปจนถึงพลทหารรีบเข้ามาดู เห็นตัวอักษรบนหน้ากระดาษห้าแผ่นเรียบร้อยเป็นระเบียบ มองแล้วรู้สึกว่าเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
แม่ทัพผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับจี้หยวนและฉางอี้
“ข้านับว่าเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดท่านทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกับทางการ แต่กลับได้รับเอกสารทางการเช่นนั้น อีกทั้งมีรถม้าคุ้มกันมาถึงดินแดนอันตรายทางนี้ ยิ่งกล้าพูดว่าช่วยซือหม่าเลี่ยวกลับบ้านไปได้อีกต่างหาก เพียงตัวอักษรนี้ ท่านทั้งสองต้องเป็นผู้มีความรู้น่ายกย่องอย่างแน่นอน ต้องมีคนในหมู่ข้าราชการประจบพวกท่านไม่น้อย”
ฉางอี้ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านแม่ทัพเป็นผู้มีวิจารณญาณ ทว่าข้าคนแซ่อี้ไม่กล้าเทียบเคียงกับท่านจี้ แม้ตัวอักษรของข้าค่อนข้างใช้ได้หากเทียบกับคนธรรมดา แต่หากเทียบกับท่านจี้ยังห่างชั้นอยู่มาก”
เลี่ยวเจิ้งเป่าถือกระดาษอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันมีสีหน้าปีติ อ่านตัวอักษรบนนั้นอย่างละเอียด แม้เขารู้จักตัวอักษรไม่มาก อธิบายได้แค่คำศัพท์ทางการทหารขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่บนกระดาษหลายแผ่นนี้ เขากลับอ่านได้ราบรื่นอย่างน่าประหลาด ทุกถ้อยคำซาบซึ้งกินใจ
“ดีๆ เขียนได้ดีจริงๆ ดีจริงๆ!”
จากนั้นเลี่ยวเจิ้งเป่าหยิบพู่กันขึ้นมา เขียนชื่อของตนเองลงไป แม้ลายมือเรียบร้อย กลับยังคงเอียงอยู่บ้าง เทียบกับตัวอักษรของจี้หยวนแล้วย่ำแย่มาก กระนั้นทำให้จดหมายฉบับนี้จริงแท้อย่างน่าประหลาด
จดหมายยาวเหยียดหนึ่งฉบับ เงินสิบแปดตำลึงหกเหรียญที่เก็บไว้ เป็นสิ่งของทั้งหมดที่เลี่ยวเจิ้งเป่าต้องการให้จี้หยวนและฉางอี้นำกลับไป เขารู้ว่าโอกาสแบบนี้ไม่น่ามีอีกเป็นครั้งที่สอง จึงยืมเงินจากแม่ทัพอีกจำนวนหนึ่ง
ตอนจี้หยวนและฉางอี้กลับไป แม่ทัพกับเลี่ยวเจิ้งเป่าล้วนไปส่งพวกเขาที่ประตูเหนือ อีกทั้งสั่งทหารกลุ่มหนึ่งและรถม้าคันหนึ่งคุ้มกันพวกเขาไป อย่างน้อยคุ้มกันพวกเขาจนถึงชายขอบอาณาเขตในความดูแล
เมื่อรถม้าของจี้หยวนและฉางอี้หายไปจากประตูเมืองทางเหนือ เลี่ยวเจิ้งเป่าเซื่องซึมอยู่บ้าง ทว่าไม่นานก็ปลุกใจตนเองขึ้นมาใหม่ กลับมามีท่าทางแข็งขันเหมือนวันวาน
ตอนนี้เอง ทหารรักษาการณ์ประตูเหนือเขียนเอกสารราชการอยู่ในห้องของตนเอง จดบันทึกจัดระเบียบทหารและการตรวจสอบที่ตนเองรับผิดชอบในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อเขียนถึงสองคนที่มาเยี่ยมเยียน ไม่ว่าอย่างไรก็นึกชื่อเจ้าหน้าที่บนเอกสารไม่ออก เขาลากกล่องไม้ที่อยู่ข้างๆ มาเปิดออกเพื่อค้นหาเอกสาร คิดว่าจะเขียนตามสักหน่อย
ปรากฏว่าค้นหานานแล้วก็ไม่เจอเอกสารฉบับนั้น
“แปลกจริง ข้าวางไว้ในนี้แท้ๆ เหตุใดหาไม่เจอเสียที…เอ๋? นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ทหารรักษาการณ์ประตูเหนือพลันเจอกระดาษขาวแผ่นหนึ่งจากในกองเอกสาร เขาหยิบออกมาแล้วพลิกอ่านดู บนนั้นไม่มีตัวอักษรเลยแม้แต่ตัวเดียว กอปรค้นหาอยู่นานแล้วก็ไม่เจอเอกสารของจี้หยวนฉบับนั้น ทำให้ทหารรักษาการณ์เกิดความคิดน่าเหลือเชื่ออย่างอดไม่ได้
พอบอกเรื่องนี้กับแม่ทัพและเลี่ยวเจิ้งเป่า พวกเขาตกใจเป็นอย่างยิ่ง รับกระดาษเซวียนจื่อที่ชัดเจนว่าไม่ใช่กระดาษคุณภาพสูงในกองทัพ พลิกไปมาอยู่นานมาก…
“ท่านแม่ทัพ ต้องตามท่านทั้งสองกลับมาหรือไม่”
ทหารรักษาการณ์ประตูเหนือถามเสียงหนึ่ง แม่ทัพและเลี่ยวเจิ้งเป่าล้วนมองเขา ฝ่ายแรกส่ายหน้า
“ตระกูลเลี่ยวคงหาคนแปลกๆ มาช่วยเหลือ อย่าทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่โดยการทำอะไรไม่จำเป็นเลย”
…
จี้หยวนและฉางอี้ออกจากเขตชายแดนแล้วย่อมเหาะขึ้นบนอากาศไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาเคยพูดกับเลี่ยวเจิ้งเป่าว่าไม่นานก็ส่งจดหมายและเงินตำลึงถึงตระกูลเลี่ยวแล้ว แต่คาดว่าให้ตายอย่างไรเลี่ยวเจิ้งเป่าและพลทหารที่รู้เรื่องนี้จำนวนหนึ่งก็คิดไม่ถึงว่าไม่นานหมายถึงรวดเร็วขนาดนี้
วันนี้ฟ้ายังไม่มืด มีเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการขี่ม้าคนหนึ่งมาถึงหมู่บ้านเหมาทัน นี่คือคนที่จี้หยวนและฉางอี้หามาโดยเฉพาะ แปลงกายเป็นผู้ ‘มีฐานะ’ และสั่งเขามาส่งจดหมาย
เสียงกีบม้ามุ่งตรงมาที่หน้าหมู่บ้าน จากนั้นลดความเร็วลง เมื่อสอบถามตำแหน่งตระกูลเลี่ยวแล้ว สุดท้ายให้เหล่าจางที่กำลังเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านนำทางไปที่บ้านของเลี่ยวต้าหนิว
เหล่าจางนำทางอยู่ข้างหน้า ฝ่ายเจ้าหน้าที่ขี่ม้าตามอยู่ข้างหลัง
“เจ้าหน้าที่ อยู่ข้างหน้านี้แล้ว”
“นำทางๆ”
“ขอรับๆๆ!”
เหล่าจางเร่งฝีเท้าเข้าใกล้บ้านของเหล่าเลี่ยว ก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“เหล่าเลี่ยว เหล่าเลี่ยว! มีจดหมายของบ้านพวกเจ้า บอกว่าส่งมาจากกองทัพของเสี่ยวเป่า เหล่าเลี่ยว…”
“อะไรนะ”
เหล่าต้าหนิวลนลานพุ่งออกมาจากบ้าน มองไปทางเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังจูงม้าอยู่ทางนั้น ฝ่ายหลังให้เหล่าจางช่วยจับบังเหียน จากนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วประสานมือให้เหล่าเลี่ยวเล็กน้อย
“ท่านนี้คือผู้เมตตาเลี่ยวกระมัง บุตรชายท่านเลี่ยวเจิ้งเป่ามีจดหมายส่งมาให้ อีกทั้งของยืนยันติดตัวด้วยถุงหนึ่ง ล้วนอยู่ที่นี่แล้ว ระหว่างทางมานี้ข้าไม่เคยเปิดดูเลย!”
เจ้าหน้าที่พูดพลางหยิบถุงผ้าปิดผนึกออกมาจากในอกเสื้อ ส่งให้เลี่ยวต้าหนิว ฝ่ายหลังรับไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นเปิดออกอย่างอดรนทนไม่ไหว ทว่าการเคลื่อนไหวของเขาพลันหยุดชะงัก รีบเรียกเจ้าหน้าที่ให้เข้าไปในลานบ้าน
“เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่เชิญข้างในเถอะ ดื่มชาข้างในก่อน!”
เจ้าหน้าที่รีบโบกมือ
“ไม่ดีกว่า ข้ายังมีหน้าที่ติดตัว ขอไม่รบกวน ครั้งนี้โรคระบาดรุนแรงนัก คนตายไปเป็นจำนวนมาก ข้าเองก็ยุ่งเช่นกัน…หมู่บ้านพวกเจ้าไม่มีผู้ป่วยเลยสักคนหรือ เป็นเรื่องแปลกจริงๆ เห็นทีทำความดีเง็กเซียนฮ่องเต้จึงคอยดูแลพวกเจ้าเป็นแน่”
“ขอรับๆ ไม่กล้ารบกวนเจ้าหน้าที่เช่นกัน เจ้าหน้าที่เดินทางดีๆ เดินทางดีๆ!”
เจ้าหน้าที่โบกมือบอกพวกเขาว่าไม่จำเป็นต้องไปส่ง เหวี่ยงตัวขึ้นมาคิดจากไป ทว่าตอนกำลังจะไปนึกอะไรบางอย่างได้จึงรีบหันไปพูดกับเลี่ยวต้าหนิว
“จริงสิ ผู้มีเมตตาเลี่ยว ข้าชื่อว่าตู้คุน เป็นเจ้าหน้าที่จากอำเภอต้าเหอ”
เหล่าเลี่ยวชะงักไปก่อนจะดึงสติกลับมาทันที ลังเลแล้วกัดฟันกล่าว
“เจ้าหน้าที่วางใจ ข้าไปในอำเภอครั้งหน้าต้องไปเยี่ยมเยียนถึงที่ ข้า…”
“ไม่ๆๆๆ…ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”
เจ้าหน้าที่หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง
“ข้าจะบอกว่าผู้มีเมตตาเลี่ยวอย่าลืมข้าก็พอ ข้าไม่ได้ต้องการฉวยโอกาสหรือเงินทองจากเจ้า ต่อให้เจ้าให้ข้า ข้าก็ไม่กล้ารับอยู่ดี…”
พูดจบแล้วเจ้าหน้าที่ไม่ทิ้งท้ายอะไรอีก ควบม้าออกจากหมู่บ้านไปอย่างช้าๆ จากนั้นสะบัดแส้เร่งความเร็วจากไป
พอเจ้าหน้าที่ไปแล้ว เหล่าจางเรียกขึ้นทันที
“เหล่าเลี่ยว เจ้ายังตะลึงอะไรอยู่ อ่านจดหมายสิ!”
“อ้อๆๆ จริงด้วยๆๆ แต่ แต่ข้าไม่รู้จักตัวอักษร…”
“ไอ้หยา สามี เจ้าสนใจอะไรมาก ดูก่อนค่อยว่ากล่าวเถอะ!”
“อืมๆ ดูก่อนค่อยว่ากล่าว!”
หลายคนเข้ามาในลานบ้านแล้วนั่งลง รีบเปิดถุงออกเพื่อหยิบสิ่งของข้างในออกมา ถุงเล็กถุงหนึ่งในนั้นหนักอยู่บ้าง ฮูหยินเลี่ยวเปิดออกดู พบพวงเงินและก้อนตำลึงเงินจำนวนมาก
“ซี้ด…เงินเยอะเลย…”
“ดูจดหมายๆ!”
เลี่ยวต้าหนิวเปิดซองจดหมายอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะทำมันขาด จากนั้นถึงค่อยหยิบกระดาษจดหมายห้าแผ่นออกมา
ที่น่าแปลกคือเขา ‘อ่าน’ จดหมายนี้รู้เรื่องอย่างน่าประหลาด ไม่รู้จักตัวอักษรส่วนใหญ่แท้ๆ กลับอ่านเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าเขียนอะไร อีกทั้งอ่านออกเสียงให้ฮูหยินเลี่ยว เหล่าจาง ไปจนถึงบุตรชายคนเล็กที่เข้ามาใกล้ฟังด้วย
“ท่านพ่อท่านแม่ ลูกอกตัญญูเลี่ยวเจิ้งเป่าขอท่านจี้เขียนจดหมายแทน ตั้งแต่เข้าร่วมกองทัพมาเก้าปี ข้าลำบากลำบนเดินทางหลายพันลี้ เก้าปีมานี้ไร้ข่าวคราวจากทางบ้าน ในใจลูกทรมานเป็นอย่างยิ่ง…ชีวิตนี้เกิดมายังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณท่านพ่อท่านแม่ที่เลี้ยงดูมา วันนี้ลูกเห็นกระบี่ไม้ น้ำตาพลันหลั่งไหลเหมือนสายน้ำ…”
เขาอ่านกระดาษห้าแผ่นในระยะเวลาหนึ่งเค่อกว่า บนใบหน้าฮูหยินเลี่ยวเต็มไปด้วยน้ำตา แม้แต่เหล่าจางฟังแล้วก็ยังขอบตาแดง
แม้เสี่ยวเลี่ยวยังอายุน้อย กอปรกับไม่เคยพบพี่ชายคนนี้มาก่อน จึงไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งมากสักเท่าไหร่ กลับปีนขึ้นตักมารดาแล้วถามอย่างไร้เดียงสา
“ท่านพี่บอกว่าเขาอยู่ในที่ไกลแสนไกล ส่งจดหมายกลับมาต้องใช้เวลาหลายเดือน จดหมายนี้ท่านจี้เป็นคนเขียนให้ แต่ท่านจี้กับท่านฉางเพิ่งไปเมื่อเช้าไม่ใช่หรือ”
ผู้ใหญ่สามคนชะงักงันไปในทันที
“จริงด้วย ท่านทั้งสองเพิ่งไปได้ไม่นานนี่! อาจจะเขียนจดหมายไว้นานแล้ว วันนี้จึงมาหาเจ้าที่หมู่บ้านเป็นการเฉพาะกระมัง”
เหล่าจางกล่าวด้วยความสงสัย จากนั้นคิดหาคำพูดที่เหมาะสมกว่าเดิมหน่อย เดิมทีฮูหยินเลี่ยวคิดออกแล้ว ทว่าเสี่ยวเลี่ยวที่มีสีหน้าไร้เดียงสากล่าวอีกว่า
“ไม่ถูกต้องๆ ท่านพี่พูดถึงกระบี่ไม้ในจดหมายด้วย ท่านพ่อเพิ่งให้ท่านจี้ไปเมื่อเช้านี้!”
ทันใดนั้นผู้ใหญ่ในลานบ้านเพียงมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรบ้างดี
เนิ่นนานให้หลัง เหล่าเลี่ยวค่อยพึมพำว่า
“นี่ข้าพบเทพเซียนแล้วกระมัง…”