เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 453 ข้าสอนเจ้าเอง
ตอนที่ 453 ข้าสอนเจ้าเอง
กรรไกรกับเศษกระดาษบนโต๊ะล้วนหล่นลงบนพื้นแล้ว จี้หยวนเห็นหูอวิ๋นนอนหลับสนิทบนโต๊ะหิน คล้ายเห็นจิ้งจอกน้อยบาดเจ็บเมื่อตอนนั้น
ตอนนี้หูอวิ๋นหลับสนิทเหมือนปีนั้น ทั้งหลับสบายอย่างยิ่ง ด้วยหูอวิ๋นรู้ดีว่าไม่มีทางบาดเจ็บยามอยู่เรือนสันติ
“หลับสบายนัก”
จี้หยวนไม่ได้เก็บกวาดเศษกระดาษเหลืองมากมายบนพื้นกลางลาน คิดรอหูอวิ๋นตื่นก่อนค่อยให้มันดู ทั้งถือโอกาสให้มันเก็บกวาดด้วยตัวเอง ใช่ว่าจี้หยวนกลัวยุ่งยาก แต่เพราะจี้หยวนรู้ดีว่าสิ่งนี้ทำให้หูอวิ๋นสัมผัสถึงความสำเร็จอย่างเด่นชัดเช่นกัน
ความจริงความรู้สึกนี้เหมือนตอนเป็นนักเรียนชาติก่อน ทำข้อสอบสองสามฉบับหรือโจทย์ยากบางข้ออย่างลำบากเสร็จแล้วเห็นกระดาษทดแก้โจทย์กองพะเนินอยู่ด้านข้าง
ถ้าพูดถึงความลำบากยากแค้นของการเรียนวิชาจริง หูอวิ๋นใช้เวลาสามวันไม่นับว่ามากมายอะไร ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงคนอื่น แค่ตัวจี้หยวนหยั่งรู้แก่นแท้เสี้ยวหนึ่ง เขายังต้องนั่งบนยอดเขาเหนือเกาะกี่ปี
แต่ความต้องการแสวงมรรคของหูอวิ๋นซึ่งเผยออกมาสามวันนี้คือสิ่งล้ำค่าอย่างแท้จริง นี่คือความประทับใจจากการสังเกตผ่านตาทิพย์ของจี้หยวน จากความมุ่งมั่นสามวันของหูอวิ๋น จี้หยวนเชื่อว่าอนาคตย่อมส่งผลสามร้อยปีหรือมากกว่า
หลังจากขยับมือเท้ากับบิดขี้เกียจเล็กน้อย จี้หยวนคิดออกไปข้างนอก แต่เมื่อเดินมาถึงประตูเรือน เขาหันหน้ากลับมา กวาดมองทุกหนแห่งกลางลาน จากนั้นค่อยเอ่ยกล่าว
“พวกเจ้าอย่าปลุกเขาเล่า”
แน่นอนว่าคำพูดนี้กล่าวกับพวกอักษรจิ๋ว อย่าเห็นว่าปกติพวกอักษรจิ๋วเอะอะโวยวายและชอบหยอกล้อหูอวิ๋นอย่างมาก ทว่าไม่มีทางทำลายการฝึกปราณของหูอวิ๋นในช่วงเวลาสำคัญ ถือว่าเห็นจิ้งจอกตัวนี้เป็นพวกเดียวกันอย่างแท้จริง
“นายท่านวางใจเถอะ พวกเราดูแลเขาเอง”
เสียงนี้เบามาก ผู้ตอบคืออักษร ‘เจตจำนง’ กำลังเกาะติดประตูเรือน
“อืม”
จี้หยวนตอบรับก่อนเปิดประตูออกไป
ตอนนี้เป็นช่วงเช้าตรู่ ชาวบ้านสัญจรผ่านตรอกเทียนหนิวไม่น้อย แต่ใบหน้าคุ้นตามีไม่เท่าไร คนส่วนใหญ่แค่สบตาจี้หยวน บางครั้งเจอคนรู้จักทักทาย จี้หยวนล้วนตอบรับอย่างจริงจัง
เมื่อเดินผ่านตรอกนอกบ่อน้ำคู่ เขาเจอชายชราคนหนึ่ง เห็นจี้หยวนแล้วอึ้งงันเล็กน้อย รีบเดินเข้ามาใกล้สองสามก้าว
“ท่านจี้? เป็นท่านจริงหรือ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ แม้ว่าช่วงอายุเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่จี้หยวนนึกถึงเจ้าของเสียงจากความทรงจำได้ทันที
“ข้าเอง น้องเฉียน”
ใช่ว่าคนผู้นี้สนิทสนมกับจี้หยวน แต่เมื่อเจอจี้หยวนย่อมทักทาย แน่นอนว่าเมื่อก่อนยังวัยฉกรรจ์ อย่างน้อยผมยังดำขลับ ตอนนี้กลับสันหลังโก่งงอแล้ว
“ท่านยังจำข้าได้ด้วยหรือ ดียิ่งนักๆ ข้าได้ยินว่าท่านกลับมาแล้ว แต่ไม่เคยเจอท่าน ทว่ากลิ่นดอกพุทราภายในตรอกซึ่งไม่ได้กลิ่นมาหลายปีกลับปรากฏ ข้าคิดว่าท่านต้องกลับมาแล้วแน่ กลิ่นบุปผานี้ทำให้กลางคืนหลับสบายนัก”
“หึๆ กลิ่นหอมจริงๆ”
จี้หยวนหยุดเท้าพูดคุยกับอีกฝ่ายสองสามประโยค จากนั้นค่อยบอกลากัน
อาจเป็นเพราะมาถูกเวลา หลังจากนั้นยังเจอคนรู้จักจี้หยวนอีกหลายคน เมื่อออกจากตรอกกเทียนหนิว ร้านบะหมี่ตระกูลซุนคนนั่งเต็มแล้ว แม้แต่ที่ว่างยังไม่มี
“ท่านปู่ ท่านจี้มาแล้ว!”
ซุนหย่าหย่าตาแหลม เห็นจี้หยวนก้าวออกจากประตูตรอกเทียนหนิวแต่ไกล นางรีบเอ่ยเตือนซุนฝูท่านปู่ของตน
ซุนฝูมองโต๊ะตรงแผงเล็กน้อย ตอนนี้คนนั่งเต็มอย่างหายากยิ่ง
“คราวนี้ทำอย่างไรดี ไม่มีที่นั่งแล้ว!”
บนโต๊ะตัวหนึ่งใกล้รถเข็นซึ่งทำจากไม้ หนึ่งในชายหนุ่มสี่คนหันมากล่าวซุนฝูทันที
“ท่านอาซุน พวกเรากินเร็วหน่อยย่อมสละที่นั่งให้ท่านจี้ทัน”
ชายหนุ่มผู้กล่าวคือคนที่เห็นซุนฝูจำจี้หยวนได้ ยามจี้หยวนเพิ่งกลับมาคราวก่อน นับว่าพอมีสายสัมพันธ์เป็นญาติกับซุนฝู พวกเขาจดจำจี้หยวนได้ขึ้นใจ ทั้งหวังว่าจะพบกันอีกสองสามครั้ง
สองคนในนั้นรีบพุ้ยบะหมี่ในชาม ส่งเสียงดังสวบสาบเป็นระลอก แต่ยามคีบบะหมี่เข้าปาก จี้หยวนกลับมาถึงหน้าแผงแล้ว
ซุนฝูเห็นชัดว่าจี้หยวนเดินเนิบช้า คิดไม่ถึงว่ามาเร็วขนาดนี้ ยามคิดบอกจี้หยวนว่ารอที่นั่งสักครู่ จี้หยวนยิ้มพลางเอ่ยปาก
“พวกเจ้าสองคนนั่งบนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งก็พอแล้ว ไม่ต้องกินเร็วขนาดนั้น ถ้าสำลักจะทำอย่างไร”
ชายหนุ่มอึ้งงันเล็กน้อย รีบดึงชามไปข้างพวกพ้อง ฝ่ายหลังรีบย้ายก้นเว้นที่ให้ ได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับท่านจี้ แน่นอนว่าดีกว่ายืนอยู่ด้านข้าง
ซุนฝูรีบมาเช็ดโต๊ะเช่นกัน
“ท่านจี้เชิญนั่ง แบบเดิมกระมัง”
“อืม ใช่ ขอแบบเดิม”
ส่วนใหญ่ลูกค้าคนอื่นไม่รู้จักจี้หยวน แค่มองมาทางนี้ก่อนกินบะหมี่ตัวเองต่อ จี้หยวนนั่งลงข้างโต๊ะ เขาพยักหน้าให้เหล่าชายหนุ่มซึ่งทำหน้าสงสัย จากนั้นค่อยเคลื่อนสายตามองไปทางซุนหย่าหย่าที่อยู่ข้างรถเข็น
จำได้ว่าคราก่อนยามกลับมาเด็กหญิงอยู่ข้างแผงเช่นกัน ตอนนั้นเป็นวันหยุดงานพอดี จี้หยวนไม่คิดมาก แต่วันนี้กลับไม่ใช่ เด็กสาวคนนี้น่าจะอยู่สำนักศึกษาถึงจะถูก
จี้หยวนกวักมือเรียกซุนหย่าหย่าเบาๆ ฝ่ายหลังสะบัดกิ่งไม้แทนกระบี่ภายในมือของตน ก่อนหันหลังกลับมาขานรับทันที วิ่งแผ่วเบามาถึงข้างกายจี้หยวนอย่างยินดี
“ท่านจี้ ท่านเรียกข้าหรือ”
จี้หยวนมองกิ่งไม้ในมือเด็กหญิง เรียวยาวและลอกเปลือกออก เห็นชัดว่าเล่นมานานมากแล้ว ทั้งมองใบหน้าเล็กจ้ำม่ำกับดวงตาโตฉลาดเฉลียว อนาคตคิดว่าคงเป็นยอดหญิงงามท่าทางองอาจ
‘ตระกูลซุนถือว่ามีพันธุกรรมไม่เลว’
“หย่าหย่า ทำไมเจ้าไม่ไปเรียนเล่า วันนี้สำนักศึกษาไม่หยุดงาน หรือว่าครอบครัวเจ้าไม่ส่งเจ้าไปสำนักศึกษา”
ซุนหย่าหย่าเบะปากส่ายหัวตัวโยน
“ท่านปู่ส่งข้าไปสำนักศึกษาแล้ว แต่ข้าไม่อยากไป”
“เพราะเหตุใดเล่า”
ซุนหย่าหย่าก้มหน้าแกว่งกิ่งไม้ในมือ อิดออดไม่อยากตอบ ซุนฝูเพิ่งคิดเอ่ยวาจา แต่จี้หยวนกลับยกมือปรามเขาว่าอย่าพูดโดยไม่เงยหน้า
“บอกท่านจี้ได้หรือไม่”
ซุนหย่าหย่าแกว่งตัวเล็กน้อย ลังเลครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“ข้าไม่อยากไปเรียนแล้ว พวกเขารังแกข้า!”
“รังแกเจ้าได้อย่างไร อาจารย์ไม่สนใจหรือ”
ในเมื่อพูดแล้วซุนหย่าหย่าจึงเผยออกมาหมด
“อาจารย์สนใจเจ้าค่ะ แต่อาจารย์ไม่ได้อยู่ด้วยตลอด ยิ่งอาจารย์สนใจพวกเขายิ่งไม่พอใจ เรื่องนี้ยังดี เรื่องน่าโมโหที่สุดคือในสำนักศึกษารวมข้าแล้วมีเด็กสาวสามคน โดนพวกเขาล้อว่าเป็นนางหนูไม่รู้ความทั้งวัน อ่านตำราไม่เป็นช่างน่าขัน ยามเข้าเรียนถูกอาจารย์ถามตอบไม่ได้ก็หัวเราะเยาะพวกเรา เขียนอักษรไม่ดีก็หัวเราะ ทั้งชอบสาดน้ำบนที่นั่งพวกเรา… ข้าออกหน้าแทนอีกสองคน ต่อยเด็กชายที่สาดน้ำคนนั้น ผลคือวันก่อนพวกนางยังซาบซึ้ง สองสามวันหลังกลับเหมือนเด็กชายพวกนั้น หมางเมินข้าเช่นกัน…”
ซุนหย่าหย่าพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ ก้มศีรษะลงตลอด ฟังการเปลี่ยนแปลงของน้ำเสียง น่าจะอยากร้องไห้แล้ว
ซุนฝูที่อยู่ตรงนั้นปวดใจมาก ยกบะหมี่มาวางตรงหน้าจี้หยวน รีบไปปลอบหลานสาวตัวเอง
“ไม่เป็นไรๆ หย่าหย่าไม่อยากไป ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ไปแล้ว”
จี้หยวนส่ายหัวเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก
“หย่าหย่า ไม่ต้องสนว่าเพื่อนร่วมชั้นเป็นอย่างไร ท่านจี้ถามเจ้า การเรียนหนังสือเดิมเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี”
ซุนหย่าหย่าใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าเล็กน้อย ก่อนเงยหน้ามองจี้หยวน
“เป็นเรื่องดีเจ้าค่ะ…”
“อืม การเรียนหนังสือคือหนทางถูกต้อง ไม่ใช่แค่เด็กหญิง เด็กชายหลายคนยังไม่มีโอกาสเช่นนี้ เจ้ากับเพื่อนร่วมชั้นแค่ยังไม่คุ้นเคยกัน รอคุ้นเคยกันแล้ว ทุกคนย่อมกลายเป็นสหายสนิท”
ซุนหย่าหย่าอิดออดไม่พูดจา มองบะหมี่บนโต๊ะก่อนกล่าวเตือน
“ท่านจี้รีบกินบะหมี่เถอะ อีกเดี๋ยวเส้นอืดจะไม่อร่อย”
“หึๆ”
จี้หยวนหัวเราะเล็กน้อย ลูบศีรษะของซุนหย่าหย่า ก่อนหันมาหยิบตะเกียบเริ่มคลุกบะหมี่ ทำให้น้ำพะโล้กับบะหมี่เข้ากัน กินบะหมี่สองคำแล้วก้มมองซุนหย่าหย่าพลางกล่าว
“เอาอย่างนี้ หย่าหย่าไปเข้าเรียน รอเลิกเรียนจากสำนักศึกษาแล้วมาเรือนสันติได้ ท่านจี้จะสอนเจ้าคัดอักษรอ่านตำราเอง เด็กพวกนั้นล้อเจ้าไม่ใช่หรือ ถ้าผลการเรียนเจ้าดีกว่าพวกเขา ทำให้อาจารย์เห็นเจ้าเป็นสมบัติ พวกเขายังหัวเราะออกหรือไม่!”
จี้หยวนพูดพลางกล่าวเสริมประโยคหนึ่ง
“อักษรของข้าดีนัก ดีกว่าอาจารย์ของเจ้าแน่!”
ด้วยอิ๋นจ้าวเซียนเคยเป็นอาจารย์สำนักศึกษาอำเภอหนิงอัน ดังนั้นบรรยากาศการเรียนของสำนักศึกษาย่อมเข้มข้นมาก เด็กที่มีผลสอบดีย่อมได้รับการยกย่อง
เมื่อได้ยินจี้หยวนกล่าวเช่นนี้ ซุนหย่าหย่าดวงตาวาววาบทันที ซุนฝูซึ่งกำลังลวกเครื่องในแพะต้มสุกมือสั่นตามจิตใต้สำนึก แต่กลับแสร้งว่าไม่มีอะไร ตักเครื่องในสองสามกระบวยใส่ชามเดียว
“เป็นอย่างไร”
จี้หยวนกลืนบะหมี่ในปากลงคอ ทั้งยิ้มพลางเอ่ยถาม ซุนหย่าหย่ามองท่านปู่ของตน พบว่าอีกฝ่ายขยิบตาให้นางเล็กน้อยก่อนยุ่งง่วนกับงานในมือทันที จากนั้นเด็กหญิงมองจี้หยวนอีกครั้ง มองไปทางตรอกเทียนหนิว ได้กลิ่นบุปผาลอยมาเป็นระลอก สุดท้ายนางค่อยเผยรอยยิ้มออกมา
“ท่านจี้อย่าหลอกกันนะ!”
“ฮ่าๆๆๆ ข้าท่านจี้จะหลอกเจ้าได้อย่างไร!”
ซุนฝูที่อยู่ข้างรถเข็นสงบใจลง รีบจัดการเครื่องในชามนั้นแล้วยกมา
“ท่านจี้ เครื่องในแพะของท่านเสร็จแล้ว มาๆๆ ระวังร้อน แหะ เชิญทาน!”
ซุนฝูแย้มยิ้มเดินมา วางเครื่องในแพะตรงหน้าจี้หยวน
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย คีบขึ้นมาบางส่วน แบ่งใส่ชามชายหนุ่มสองคน
“ขอบคุณน้องชายทั้งสองที่ยกที่นั่งให้”
“อะ อ้อ ไม่ต้องเกรงใจๆ”
“ขอบคุณท่านจี้!”
ชายหนุ่มสองคนรู้สึกแปลกใจเพราะได้รับการโปรดปราน ด้วยท่าทีก่อนหน้านี้ของท่านอาซุน พวกเขาคุยเรื่องท่านจี้แห่งเรือนสันติกับผู้อาวุโสในบ้าน ได้ยินว่าเป็นบุคคลเยี่ยมยอดคนหนึ่ง ทั้งสนิทสนมกับดาวบุ๋นอิ๋นด้วย แน่นอนว่านับเป็นบุคคลชั้นยอดแห่งอำเภอหนิงอัน แค่ตอนนี้หลายคนไม่รู้จักเท่านั้น
พวกเขากินเครื่องในแพะซึ่งจี้หยวนมอบให้ เมื่อเห็นจี้หยวนคุยกับซุนหย่าหย่าเสร็จแล้ว ชายหนุ่มสองคนสบตากันคราหนึ่ง คนหนึ่งในนั้นลองถามหยั่งเชิง
“ท่านจี้ ข้าขอล่วงเกินถามได้หรือไม่ว่าท่านอายุเท่าไหร่”
จี้หยวนพลันหยุดตะเกียบ คำถามนี้ทำให้เขาลำบากใจจริงๆ เขาไม่รู้ว่าขอทานที่เดิมอยู่ในอารามเทพภูเขาอายุเท่าไหร่ หากถามแค่ตน ถ้าอย่างนั้นควรนับจากชาติก่อนหรือไม่
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนยิ้มพลางกล่าวตอบ
“ถึงอย่างไรคงมากกว่าที่พวกเจ้าคิด”
“อ้อๆ”
ซุนฝูซึ่งอยู่ด้านข้างยิ้มด่าประโยคหนึ่ง
“เจ้าพวกเด็กเวร ถามสุ่มสี่สุ่มห้าอะไร วันนี้บะหมี่ของพวกเจ้าข้าเลี้ยง กินเสร็จแล้วรีบไสหัวไป!”
“ไอ้หยา ท่านอาซุนไล่แขกแล้ว!”
“ใช่ กินเสร็จค่อยไสหัวไป แต่พวกเรายังกินไม่เสร็จ!”
ทั้งสองคนกล่าวกระหยิ่มยิ้มย่อง เบียดกันอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งพลางเล่นสำบัดสำนวน