เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 457 ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว
ตอนที่ 457 ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว
แม้ว่าองค์หญิงฉางผิงสังเกตเห็นความผิดปกติในเรือนเล็ก แต่ขอเพียงอิ๋นชิงนั่งนิ่งอยู่ข้างกาย ในใจนางย่อมไม่หวาดกลัว
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้หยวน หยางผิงซึ่งแน่ใจว่าผู้คุ้มกันสองคนพิงกำแพงไม่เป็นไรถอนสายตากลับมา กล่าวตอบจี้หยวน
“เดิมข้าเป็นหญิงสาวเชื้อพระวงศ์ แน่นอนว่าควรทำตัวสมเป็นเชื้อพระวงศ์”
อิ๋นชิงแย้มยิ้มอยู่ด้านข้าง
“ท่านจี้ ปีหน้าข้ากับหยางผิงจะแต่งงาน หวังว่าท่านมีเวลาว่างมาเมืองหลวงเพื่อร่วมงานแต่ง ถ้าพาหูอวิ๋นมาด้วยย่อมดียิ่ง”
อิ๋นชิงพูดพลางหยิบเทียบเชิญซองแดงออกมา มอบให้จี้หยวนด้วยสองมือ ฝ่ายหลังยื่นมือมารับแล้วลูบตัวอักษรทองบนนั้น จากนั้นค่อยมองอิ๋นชิงกับหยางผิง แววตาเจือความทอดถอนใจ
“ในที่สุดชิงเอ๋อร์ก็จะแต่งงานแล้ว!”
จี้หยวนลุกขึ้นยืน เดินมาข้างต้นพุทรา มองกิ่งก้านต้นพุทรากลางลาน ทั้งมองไปทางเขาโคเทพ
“คนอำเภอหนิงอันที่รู้จักข้าแก่ลงช้าๆ ผ่านไปอีกไม่กี่ปี พวกเขาคงกลับสู่ถิ่นเดิม จี้หยวนแห่งเรือนสันติยี่สิบปีอาจไม่แก่เฒ่า แต่ไม่อาจปล่อยให้ชาวบ้านคิดว่าข้าเป็นอมตะ ใช้ชีวิตแปลกแยกจากคนอื่น ผู้คนเริ่มลืมเลือนเช่นตอนนี้ บางทีอาจเป็นเรื่องดี”
“ท่านจี้ ข้าไม่มีทางลืมท่านแน่”
อิ๋นชิงกล่าวอย่างใสซื่อประโยคหนึ่ง
ได้ยินคำพูดนี้ของจี้หยวน หยางผิงใช้มือขวาใต้โต๊ะกำกระโปรงของตนแน่น สังเกตเห็นว่าตอนนี้อิ๋นชิงยื่นมือมากุมมือนาง
ยามนี้หยางผิงใจเต้นรัว แต่กลับฝืนทำท่านิ่งสงบ เอ่ยถามจี้หยวนด้วยเสียงราบเรียบ
“ความหมายของท่านคือ… ท่านเป็นเซียนหรือ”
จี้หยวนหันกลับมามองตรงโต๊ะหิน
“ถ้าพูดให้ถูกคือบนโลกไม่มีเซียนแท้จริง มีแต่ผู้ฝึกเซียนเท่านั้น ผู้หาเลี้ยงชีพด้วยวิชายันต์ พวกเจ้าเรียกพวกเขาว่านักพรต รวมถึงนักเวทบนยุทธภพด้วย ผู้เรียกลมเรียกฝนบนภูเขาสูง พวกเจ้าเรียกพวกเขาว่าเซียน ความจริงล้วนเป็นประเภทเดียวกัน แม้ว่าไม่มีเซียนแท้จริง แต่กลับมีเจตจำนงเซียน”
จี้หยวนกล่าวเช่นนี้เท่ากับยอมรับกลายๆ หยางผิงกุมมืออิ๋นชิงโดยใช้แรงยิ่งกว่าเดิม แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดว่าอะไรดี
ตระกูลหยางเคยมีประวัติทุ่มเทกำลังพลทั่วอาณาจักรแสวงเซียนช่วงหนึ่ง ตอนนี้กลับมีผู้คล้ายเซียนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
“องค์หญิง ด้วยความฉลาดของท่านย่อมรู้ว่าราชวงศ์หยางเคยแสวงเซียนมากี่ครั้ง แน่นอนว่าไม่เกิดผล อ้อ ไม่ใช่ทั้งหมด ควรกล่าวว่าไม่เกิดผลตามที่พวกเขาต้องการ”
เรื่องขอทานชราทำให้จี้หยวนไม่อาจพูดตายตัว แต่ความหมายยังพอกำกวม
“ชิงเอ๋อร์ปฏิบัติตัวกับเจ้าอย่างจริงใจ ดังนั้นเลยพาท่านมาเรือนสันติพร้อมกัน ข้าเคยบอกเขาว่าสามีภรรยาอยู่ร่วมกันมีเรื่องส่วนตัวเล็กน้อยได้ แต่ทางที่ดีอย่ามีความลับใหญ่อะไรต่อกัน”
หยางผิงมองอิ๋นชิงตามจิตใต้สำนึก ฝ่ายหลังจ้องมองนางเช่นกัน เมื่อหยางผิงแต่งเข้าตระกูลอิ๋น มีผลลัพธ์เพียงสองอย่าง หากไม่ตัดขาดนางจากเรื่องอัศจรรย์ทั้งหมดก็ต้องทำให้ผู้อาวุโสเห็นนางเหมือนบุตรหลาน สามีภรรยาจึงเกื้อกูลกันได้
เห็นชัดว่าอิ๋นชิงยินดีเชื่อหยางผิง
“ตอนนี้องค์หญิงอาจคิดว่าตระกูลอิ๋นประสบความสำเร็จเช่นนี้ ด้วยรู้จักข้าหรือไม่”
จี้หยวนรู้ว่าคนทั่วไปคงคิดเช่นนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ไม่อาจปฏิเสธว่ามีส่วนบ้างอย่างยากหลีกเลี่ยง แต่กลับไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด ความเลื่อมใสบัณฑิต ปราณต้านทานยิ่งใหญ่ นี่คือภาพสะท้อนแห่งฟ้าดิน อย่าพูดว่าข้าเป็นพวกพ้องกับตระกูลอิ๋น ต่อให้ทุ่มเทช่วยเหลือเต็มกำลังก็ไม่อาจปั้นอิ๋นจ้าวเซียนซึ่งชาวบ้านเคารพเลื่อมใสโดยไม่มีเหตุผล หรือทำให้เทพผีนับถือได้”
ขณะกล่าวบนหน้าจี้หยวนเผยรอยยิ้ม กลับมาข้างโต๊ะแล้วกดมือซ้ายลงบนเทียบเชิญซองแดง ก่อนเปิดมันออกมาเบาๆ เงยหน้ามองอิ๋นชิงกับหยางผิง
“องค์หญิงอย่ากังวล ท่านแต่งกับอิ๋นชิง ภายหน้าถือเป็นคนรุ่นหลังของข้าแล้ว ข้าคนแซ่จี้อวยพรให้พวกท่านครองคู่นิรันดร์ รักใคร่กันตลอดไป!”
จี้หยวนพูดพลางยื่นมือขวาออกมา แสงสายหนึ่งลอยออกมาจากแขนเสื้อ กลายเป็นพู่กันขนหมาป่าด้ามหนึ่งตรงปลายนิ้ว ปลายพู่กันชุ่มหมึกท่ามกลางประกายแสงเลือนราง
ยามหมึกตรงปลายพู่กันจรดเทียบแดง กลิ่นหมึกเลือนรางลอยออกมา ตัวอักษรเปี่ยมท่วงทำนองมากมายปรากฏบนกระดาษแดงตามการเขียนอักษรของจี้หยวน กลายเป็นคำว่า ‘ครองคู่นิรันดร์ รักใคร่กันตลอดไป’
เมื่อตัวอักษรสุดท้ายสิ้นสุด บนเทียบเชิญมีแสงวาบผ่าน
จี้หยวนส่งเทียบเชิญคืนอิ๋นชิง
“รับไว้ หากเจ้าแต่งภรรยาอีก ข้าคงไม่มอบให้แล้ว”
“เขากล้าหรือ!”
องค์หญิงฉางผิงหยิกอิ๋นชิงเล็กน้อย จากนั้นค่อยลุกขึ้นมาคารวะจี้หยวนด้วยท่าว่านฝูหลี่
“ในเมื่อท่านเป็นผู้อาวุโส เรียกข้าว่าผิงผิงหรือผิงเอ๋อร์ก็พอแล้ว”
“ก็ดี ภายหน้าหากมีแค่คนกันเอง ข้าจะเรียกเช่นนั้น”
ตอนนี้อิ๋นชิงตบเข่าฉาด รีบหยิบสุราไหเล็กขึ้นมาจากใต้โต๊ะ
“ท่านจี้ สองไหนี้คือวสันต์พันวันบ่มยี่สิบปี กว่าจะซื้อจากร้านในสวนได้ลำบากยิ่ง ข้ารู้ว่าท่านชอบดื่ม นำมามอบให้ท่านโดยเฉพาะ”
จี้หยวนหัวเราะหึๆ
“ตระกูลตงแห่งร้านในสวนเฉลียวฉลาด หากเปลี่ยนเป็นเมื่อยี่สิบปีก่อน วสันต์พันวันบ่มยี่สิบปีอาจหายากจริงๆ ปัจจุบันไม่รู้ว่าซ่อนไว้เท่าไหร่ ครั้งหน้าเจ้าหาซื้อแบบบ่มสามสิบปีขึ้นไป อืม ถึงอย่างไรเงินเดือนของเจ้าย่อมพอซื้อได้”
อิ๋นชิงกล่าวเกินจริงเล็กน้อย
“หากไม่พาท่านไปด้วย เงินเดือนของข้าคงหมดเกลี้ยง!”
…
กำหนดการเดิมของอิ๋นชิงกับองค์หญิงฉางผิงคือกินอาหารโรงเตี๊ยมในอำเภอ แต่อาหารเย็นคืนนั้นกลับกินที่เรือนสันติ โดยจี้หยวนเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง
ยามจากไปท้องฟ้ามืดแล้ว แม้ว่าเรือนเก่าตระกูลอิ๋นมีคนดูแลเป็นครั้งคราว แต่เห็นชัดว่าไม่เหมาะอยู่อาศัย พวกเขาจึงไปพักโรงเตี๊ยมในเมือง
เมื่อออกจากตรอกเทียนหนิว ได้กลิ่นดอกพุทราตลอดทาง หยางผิงเข้าใกล้อิ๋นชิงพลางเอ่ยถามเบาๆ
“ท่านพี่ ท่านจี้เป็นเทพเซียนจริงหรือ เขาเรียกลมเรียกฝนได้หรือไม่ ทำให้คนเราเป็นอมตะได้หรือไม่”
“เรื่องนั้นข้าไม่แน่ใจ ทั้งไม่เคยเห็นท่านสำแดงวิชาเช่นนั้น ข้ารู้แค่ว่ามีผู้อาวุโสเช่นนี้ข้าอุ่นใจมาก เรียกลมเรียกฝนได้หรือไม่ ทำให้คนเราเป็นอมตะได้หรือไม่สำคัญด้วยหรือ ตอนข้ายังเด็กท่านเคยบอกว่าความเป็นอมตะคือสิ่งที่ไม่อาจแสวงหา”
หยางผิงลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยคำถามซึ่งวนเวียนในใจออกมา
“ถ้าอย่างนั้นข้าบอกเรื่องนี้กับเสด็จพ่อได้หรือไม่”
เมื่อฟังคำพูดนี้สีหน้าอิ๋นชิงไม่เปลี่ยนเป็นกังวลเหมือนหยางผิง หากแต่แย้มยิ้มมองนาง
“ข้าจะไม่พูดเรื่องผลประโยชน์ของอาณาจักร หากมีเซียนคอยช่วยเหลือต้าเจินจริง ฝ่าบาทย่อมฉลาดหลักแหลมเพียงพอ แน่นอนว่าได้เปรียบมากกว่าเสียเปรียบ แต่เรื่องนี้เจ้าถามผิดคนแล้ว ควรถามท่านจี้ต่างหาก เจ้าคิดว่าเขาเห็นว่าอย่างไรเล่า”
หยางผิงเข้าใจกระจ่างทันที ทั้งไม่มีปมในใจอีก
เมื่อดื่มชาหวานของเรือนสันติ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางพลันหายไป ตั้งแต่วันที่สองพวกอิ๋นชิงเริ่มส่งเทียบเชิญให้ญาติอาวุโสที่ค่อนข้างสนิทกับบิดามารดา ทั้งบอกพวกเขาว่าไม่ต้องห่วง เมื่อถึงเวลาเดินทางจะเตรียมรถม้ากับเรือมารับอย่างดี
กระทั่งวันที่สี่อิ๋นชิงซึ่งทราบข่าวพิเศษพาองค์หญิงฉางผิงไปเขาโคเทพ ภายนอกคือท่องภูเขา ความจริงคือไปเจอสหายสนิทหูอวิ๋น ครั้งนี้ภายใต้การเอ่ยเตือนของอิ๋นชิง หูอวิ๋นเผยตัวต่อหน้าหยางผิง ทำให้ฝ่ายหลังรู้ว่า ‘แมวแดง’ ตอนนั้นคือจิ้งจอกนี้
หยางผิงซึ่งเห็นจิ้งจอกเซียนตื่นเต้นกว่าตอนอยู่เรือนสันติ เมื่ออยู่ต่อหน้าอิ๋นชิงหูอวิ๋นปล่อยตัวมาก สำแดงวิชาแยกผู้คุ้มกัน เผยวิชาปีศาจต่อหน้าหยางผิง ถึงขั้นมอบยันต์คนกระดาษราวสมบัติของเขาให้ เขาเรียกยันต์คนกระดาษที่ตนหลอมว่า ‘ภูตเงา’
วันนั้นทำให้เหล่าผู้คุ้มกันที่คุ้มครององค์หญิงกับว่าที่ราชบุตรเขยเสียขวัญ เมื่อได้ยินว่ากลางป่าเขาเคยมีเสือร้ายกินคน เหล่าผู้คุ้มกันวิชายุทธ์แกร่งกล้าพลัดหลงกับว่าที่ราชบุตรเขยและองค์หญิง เรื่องนี้โทษหนักเกินไปแล้ว
โชคดีว่าผ่านไปครึ่งวันอิ๋นชิงกับหยางผิงออกมาจากป่าอย่างปลอดภัย ทำให้เหล่าผู้คุ้มกันกับข้ารับใช้ซึ่งเหงื่อโชกวางใจลง เมื่อรู้ว่าทั้งสองคนไม่ลงโทษถึงขั้นปิดบังเรื่องนี้ให้ พวกเขายิ่งสบายใจอย่างมาก
แต่เรื่องนี้ทำให้ยามออกจากอำเภอหนิงอันกลับเมืองหลวง เหล่าผู้คุ้มกันไม่ละความสนใจออกจากเจ้านายทั้งสองอีก
จากนั้นเมื่อครบหนึ่งปี การแต่งงานของอิ๋นชิงกับหยางผิงเลื่องลือทั่วเมืองหลวง วันแต่งงานจวนตระกูลอิ๋นกับวังหลวงอึกทึกครึกครื้นอย่างยิ่ง
จี้หยวนอยู่ภายใต้บรรยากาศเฉลิมฉลองนี้เช่นกัน ทั้งพาหูอวิ๋นไปเจอตระกูลอิ๋นด้วย เขากล่าวคำอวยพร แต่ครั้งนี้ไม่อยู่นาน ผ่านไปแค่สามวันก็กลับอำเภอหนิงอัน
…
เวลารวดเร็วดั่งลูกธนู แต่เมื่ออยู่อำเภอหนิงอันจี้หยวนกลับไม่รู้สึกว่าเวลาเหมือนสายน้ำไหลผ่าน โดยเฉพาะยามที่เขาไม่ได้นอนหลับยาว
คราวนี้จี้หยวนอยู่อำเภอหนิงอันเกือบสามปี ถือเป็นการอาศัยอยู่นานที่สุดตั้งแต่มาโลกนี้
สองสามปีมานี้ไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ถึงขั้นว่าคนมารบกวนจี้หยวนยังไม่มาก มีเพียงตระกูลเว่ยทยอยส่งชามาจนเคยชิน ทุกปียามชาใหม่ผลิใบก็จะเลือกส่วนดีที่สุดส่งมาเรือนสันติ
เพียงพริบตาก็ถึงต้นเดือนยี่ปีจอธาตุดิน วันนี้ซุนหย่าหย่าซึ่งตัวสูงขึ้นเล็กน้อยยังคัดอักษรอยู่กลางลาน อากาศหนาวชัดๆ แต่เด็กสาวกลางลานกลับมืออุ่นเท้าอุ่น ความคิดยิ่งแจ่มชัด
จี้หยวนจับเหรียญทิพย์เล่นอยู่ในห้อง นี่คือผลจากการหลอมโดยละเอียดหลายครั้ง แสงยิ่งรางเลือนมรรคซ่อนเร้นยิ่งลึกล้ำ คล้ายเหรียญทองแดงขนาดใหญ่ ทั้งมีน้ำหนักอย่างยิ่ง
ก๊อกๆๆ…
ประตูเรือนถูกเคาะจนเกิดเสียง ซุนหย่าหย่ารีบวางพู่กันบนแท่นวาง จากนั้นค่อยวิ่งไปเปิดประตู
เสียงเปิดประตูดังแอ๊ด ซุนหย่าหย่าพบว่าข้างนอกมีท่านปู่เคราขาวคนหนึ่งยืนอยู่ ท่าทางเมตตาเป็นมิตร
“เจ้าคือซุนหย่าหย่ากระมัง”
ซุนหย่าหย่าขมวดคิ้ว
“ท่านปู่ ท่านเป็นใคร ข้าไม่เคยเจอท่าน เหตุใดท่านถึงรู้จักข้า”
“หึๆๆ ไม่เคยเจอก็รู้จักได้…”
จูหยวนจื่อมองจี้หยวนซึ่งเดินออกมาจากห้อง เขาประสานมือแต่ไกลพลางกล่าว
“ท่านจี้ ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว!”