เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 459 ท่าเรือยอดเขาแห่งเขากวางจันทร์
ตอนที่ 459 ท่าเรือยอดเขาแห่งเขากวางจันทร์
จูหยวนจื่อแค่มาแจ้งจี้หยวน เดิมคิดว่าหากจี้หยวนยังต้องจัดการเรื่องบางอย่าง หลังจากถามจี้หยวนเขาอาจอยู่เรือนสันติอีกสองวัน เชื่อว่าจี้หยวนคงไม่มีความเห็นอะไร แต่ดูเหมือนว่าจี้หยวนคาดเดาไว้แล้ว จูหยวนจื่อมาถึงไม่นานก็ออกเดินทาง
“ท่านจี้ เหล่าสหายยุทธ์กับคนรุ่นเยาว์แห่งเขาล้อมหยกต่างล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ย่อมรวมตัวกับพวกเราที่เขากวางจันทร์ กลางป่าเขามีท่าเรือข้ามแดนแห่งหนึ่ง นามว่าท่าเรือยอดเขา พวกสหายยุทธ์ฉิวเดินทางไปเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าก้าวหนึ่งแล้ว คัดเลือกพาหนะข้ามแดน รอพวกเราไปถึงค่อยนั่งยานข้ามแดนจากท่าเรือยอดเขาไปพร้อมกัน”
ก่อนเดินทางจูหยวนจื่อบอกเส้นทางซึ่งเขาล้อมหยกวางแผนไว้แล้ว แน่นอนว่าย่อมถามจี้หยวนว่ามีความเห็นอะไรหรือไม่ เรื่องนี้จี้หยวนย่อมมอบให้พวกเขาตัดสินใจ เขาจะมีแผนอะไรได้เล่า
ตอนนี้เมื่อฟังจูหยวนจื่อบอกรายละเอียด จี้หยวนเผยความรู้สึกสนใจออกมา
“เขากวางจันทร์แห่งนี้อยู่ที่ไหน ท่าเรือยอดเขาเป็นของสำนักเซียนใด พาหนะข้ามแดนคือเรือเหาะหรืออย่างอื่น”
จูหยวนจื่อลูบเคราพลางกล่าวตอบ
“เขากวางจันทร์คือภูเขาไม่โด่งดังแห่งอาณาจักรเจ๋อหนาน บนนั้นมีสำนักมรรคเซียนแห่งหนึ่ง นามว่าสำนักกวางจันทร์ ท่าเรือยอดเขาครอบครองโดยพวกเขา แต่ตัวสำนักกวางจันทร์เองไม่มีพาหนะข้ามแดน แต่มียานข้ามแดนอื่นมาจอดเทียบท่าเรือยอดเขาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นข้าผู้ชราเลยไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นพวกเราจะโดยสารอะไร บางทีอาจเป็นเรือเหาะหรือเกาะลอย ทั้งอาจเป็นสัตว์ประหลาดมหึมาอะไรบางอย่าง”
“อ้อ… ตัวสำนักกวางจันทร์เองไม่มีพาหนะข้ามแดนหรือ”
ได้ยินคำพูดนี้ของจี้หยวน จูหยวนจื่อไม่กล้าคิดว่าเขาเป็นกบในกะลาแม้แต่น้อย หากแต่กล่าวตอบโดยละเอียด
“ท่านคงไม่รู้ พาหนะข้ามแดนแฝงซ่อนจักรวาล ค่ายกลแต่ละแห่งเชื่อมต่อสอดประสาน ยังไม่กล่าวถึงปริมาตรขนาดใหญ่ มันถือเป็นสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง ทั้งเป็นวัตถุวิญญาณสะสมของสำนักเซียน สามารถผูกวาสนามากมาย ถึงขั้นหากมีเรื่องวิกฤติ ยานข้ามแดนก็กลายเป็นอาวุธได้… สำนักกวางจันทร์อาศัยความได้เปรียบด้านพื้นที่ครอบครองท่าเรือยอดเขาถือว่าไม่เลวแล้ว ส่วนยานข้ามแดน พวกเขายังไม่มีศักยภาพเช่นนั้น”
จูหยวนจื่อกล่าวอย่างทอดถอนใจ ในใจคิดว่าไม่ต้องกล่าวถึงสำนักกวางจันทร์ แม้แต่เขาล้อมหยกยังยากจะสร้างสมบัติวิเศษอย่างยานข้ามแดนออกมาได้
ความจริงเขาล้อมหยกไม่ขาดแคลน ‘เงิน’ หากแต่ไม่ใช่จวนเซียนเชิงสำนัก ถือว่าเป็นเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์บำเพ็ญเพียร นอกจากสำนักสาขาบางแห่งแล้ว บรรดาสำนักพุทธหรือพันธมิตรอื่นล้วนไม่แข็งแกร่งนัก บางครั้งยากรวมกำลังพลทำเรื่องใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการร่วมกันหลอมยานข้ามแดนซึ่งสิ้นเปลืองสมาธิพลังและวัตถุดิบอย่างมาก
“ที่แท้เป็นเช่นนี้”
จี้หยวนไม่ถามอะไรมากอีก จูหยวนจื่อรับผิดชอบการควบคุมเมฆท่องเหิน ลอยไปทางตะวันตกเฉียงเหนือโดยตลอด
ศูนย์กลางเกาะเมฆามีทะเลสาบใหญ่ แม้ว่ามีฐานะเป็นทะเลสาบแห่งหนึ่ง แต่ความจริงเกิดจากทะเลสาบแม่น้ำใหญ่น้อยรวมถึงหนองบึงมากมายรวมตัวกัน ภายในนั้นมีสัตว์เปี่ยมจิตวิญญาณหลายหลากอาศัยอยู่ ทั้งมีมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นชุมชน ส่วนอาณาจักรเจ๋อหนานตั้งอยู่ทางใต้ของทะเลสาบ ตั้งชื่อแบบเรียบง่ายค่อนข้างหยาบ
ตั้งแต่เดินทางเหาะเหินจากอำเภอหนิงอัน ภายใต้สถานการณ์ซึ่งไม่ตั้งใจเร่งเดินทาง หลังจากนั้นหลายวันทั้งสองคนซึ่งอยู่เหนือเมฆเข้าใกล้เขากวางจันทร์แล้ว แม้ว่าอาณาจักรเจ๋อหนานอยู่ติดกับทะเลสาบตรงกลาง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นอาณาจักรหนึ่ง จี้หยวนอยากเห็นทะเลสาบจากตรงนี้คงเป็นไปไม่ได้
จูหยวนจื่อสะบัดแขนเสื้อแหวกเมฆหมอกบนท้องฟ้าโดยรอบ ชี้ไปตรงทางเขาเบื้องล่าง
“ท่านจี้ นั่นก็คือเขากวางจันทร์ ท่าเรือยอดเขามีค่ายกลป้องกัน แม้ว่าเข้าออกได้ แต่มองไม่เห็นจากตรงนี้”
จี้หยวนทอดมองเขากวางจันทร์ ภูเขานี้ไม่นับว่าสูงชัน แฝงทิวทัศน์งามครึ้มหมอกเขียวขจีทั่ว กวาดสายตามองแล้วรู้สึกว่าภูเขานี้เล็กกว่าเขาโคเทพอยู่บ้าง แต่ถือว่าเป็นภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง
ยามจี้หยวนสำรวจเขากวางจันทร์แห่งนี้ จูหยวนจื่อเหาะเหินพลางควบคุมเมฆโรยตัวลง หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งเค่อ ทั้งสองคนเหยียบลงบนพื้นดินตรงเชิงเขากวางจันทร์
“ท่านจี้ ขอเพียงเป็นสถานที่อย่างสำนักจวนเซียน หากว่าไม่มีเรื่องเร่งด่วน ท่องตระเวนอาณาเขตอื่นโรยตัวลงเดินเท้าดีกว่า นี่คือการแสดงความเคารพต่อสหายยุทธ์แห่งสำนักเซียนอย่างหนึ่ง”
“หึๆ แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเปรียบเทียบกันข้าคนแซ่จี้ชอบเดินท่องภูผายิ่งกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอร่วมท่องภูผากับท่านจี้ เชิญ!”
จูหยวนจื่อยิ้มพลางผายมือเชิญอย่างจริงจังยิ่ง จี้หยวนผายมือเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นทั้งสองเดินไปในเขาอย่างผ่อนคลาย ดูเหมือนก้าวเดินไม่เร็วไม่ช้า แท้จริงความเร็วกลับว่องไว
เนื่องด้วยเป็นช่วงเช้าหลังจากพระอาทิตย์ขึ้น หมอกกลางเขากวางจันทร์ซ่านสลายช้าๆ มีคนเดินเขาเก็บโอสถและคนตัดฟืนสัญจรผ่าน ทั้งมีนายพรานแบกธนูถือหอกมากับพวกพ้อง กลายเป็นภาพคนอยู่ร่วมกับธรรมชาติ มองไม่ออกว่ากลางป่าเขามีสำนักมรรคเซียนแห่งหนึ่ง
จี้หยวนกับจูหยวนจื่อคนหนึ่งสวมชุดเขียวผมยาวเกล้ามวยปักปิ่นหยก คนหนึ่งสวมชุดคลุมขาวเครายาวท่าทางมีสง่าราศี ยามชมภาพคนกับธรรมชาติระหว่างทาง คนเดินเขารวมถึงสัตว์กลางป่าบางส่วนล้วนมองพวกเขา
คนตัดฟืนสองคนแบกฟืนเดินลงมาจากทางเขาเล็กด้านข้าง บังเอิญเจอจี้หยวนกับจูหยวนจื่อเดินเข้าส่วนลึกของภูเขาพอดี คนตัดฟืนหนึ่งในนั้นจึงตะโกนบอกพวกเขา
“เฮ้ย… พวกท่านทั้งสอง… ทางเขาข้างหน้าเดินลำบาก หากมาท่องภูเขา เดินทางนี้สะดวกกว่าหน่อย”
คนตัดฟืนพูดพลางใช้มีดพร้าชี้เส้นทางด้านซ้ายมือ ตรงนั้นค่อนข้างกว้างกว่า
“ขอบคุณสำหรับความหวังดี ทางขรุขระหน่อยไม่ลำบากสำหรับพวกเรา”
จี้หยวนยิ้มพลางเอ่ยตอบ คนตัดฟืนกลับส่ายหัวเล็กน้อย
“คุณชาย ท่านยังหนุ่มแน่น แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ข้าหมายถึงผู้อาวุโสข้างกายท่าน อายุมากแล้ว ถ้าเข้าไปลึกแล้วเป็นอะไรไปทำอย่างไรเล่า แม้ว่าเขากวางจันทร์ดูเหมือนเงียบสงบ แต่กลางป่ามีสัตว์ร้าย ไม่พูดถึงอย่างอื่น พวกพังพอนย่อมมีแน่ ถ้าเกิดเรื่องจริงท่านคิดว่าจะมีเทพเซียนมาช่วยหรือ”
จูหยวนจื่อหัวเราะฮ่าๆ ประสานมือกล่าวกับคนตัดฟืน
“ขอบคุณที่เป็นห่วง ข้าผู้ชราดาวนำโชคเจิดจรัส หากเจอเรื่องกลับร้ายกลายเป็นดี ถ้าเกิดเรื่องย่อมมีเทพเซียนมาช่วยแน่”
คนตัดฟืนอีกคนฟังแล้วทำหน้าไม่ถูกเหมือนเพื่อนร่วมทาง ยื่นมือชี้ไปทางจูหยวนจื่อ
“โธ่เอ๋ย ผู้อาวุโสอย่างท่านนี่หนา… คุณชาย ท่านไม่โน้มน้าวเขาหน่อยหรือ”
ครึ่งประโยคหลังเขากล่าวกับจี้หยวน แต่จี้หยวนแค่ยิ้มอย่างจนปัญญา
“โน้มน้าวไม่อยู่ ท่านทั้งสองลงเขาไปเถอะ”
คนตัดฟืนสองคนส่ายหัวเล็กน้อย สุดท้ายก็เป็นเรื่องของคนอื่น แล้วแต่พวกเขาจัดการเถอะ ดังนั้นเลยเดินตามทางเขาเล็ก เลียบทางซึ่งจี้หยวนกับจูหยวนจื่อเดินมาเพื่อลงเขาไปทีละน้อย
แต่ยามเดินยังหันกลับมามองทั้งสองคนซึ่งยิ่งเดินยิ่งห่างไปตลอด
“หืม พวกลุงเฉินมักบอกว่าเขากวางจันทร์แห่งนี้มีเทพเซียนอยู่จริงไม่ใช่หรือ”
คนตัดฟืนคนหนึ่งพลันกล่าวเช่นนี้ อีกคนยิ้มพลางกล่าว
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าแค่อยากบอกว่าสองคนนี้มาตามหาเซียนหรือไม่ ถึงอย่างไรเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดแค่ครั้งสองครั้ง”
“เจ้าคิดมากทำไมเล่า”
ทั้งสองคนแบกฟืนเดินไปพลาง พูดคุยไปพลาง ไม่นานเมื่อหันไปมองอีกครั้งกลับไม่เห็นจี้หยวนกับจูหยวนจื่อแล้ว
อีกด้านหนึ่งเมื่อจี้หยวนกับจูหยวนจื่อเดินเข้าสู่ส่วนลึกของเขากวางจันทร์ไปเรื่อยๆ คนเดินเขาทั่วไปที่พบเห็นยิ่งน้อยลง บางครั้งรู้สึกว่ามีสัตว์เปี่ยมจิตวิญญาณจ้องมองตนอยู่
หลังจากเข้าป่ามาประมาณครึ่งชั่วยาม ด้วยความเร็วการเดินของจี้หยวนกับจูหยวนจื่อ ความจริงเดินมาถึงป่าซึ่งคนเดินเขาทั่วไปใช้เวลาทั้งวัน
เมื่อสัมผัสถึงค่ายกลปราณวิญญาณท่ามกลางความเลือนราง จี้หยวนเหมือนรู้สึกได้ เงยหน้ามองไปเบื้องหน้าทางขวามือ ลืมตาทั้งสองขึ้นเต็มที่ ภายใต้การจับจ้องด้วยดวงตาสีเทามีภาพยอดเขาแห่งหนึ่งปรากฏอย่างคลุมเครือ
หรือกล่าวว่าความจริงเป็นยอดเขาสองแห่ง บรรจบกันเป็นตัวอักษร ‘เข้า’ (入) ขนาดมหึมาตัวหนึ่ง ปลายยอดเขาเบื้องล่างชิดกับกลางยอดเขาด้านบน ส่วนยอดเขาด้านบนเอนเสียดยอดเมฆ
“มิน่าถึงชื่อท่าเรือยอดเขา”
แน่นอนว่าจูหยวนจื่อสังเกตเห็นการกระทำของจี้หยวน เมื่อได้ยินคำพูดอีกฝ่ายเขารู้ว่าจี้หยวนคงเห็นท่าเรือยอดเขาแล้ว แม้ว่าเขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลกับปราณวิญญาณ ทั้งทราบทิศทางการไหลวน แต่ระยะห่างเพียงเท่านี้มองด้วยสายตาย่อมไม่เห็นอะไร
‘สมเป็นท่านจี้!’
จูหยวนจื่อเลื่อมใสจี้หยวนมาตลอด เมื่อเขากำลังเสนอว่าเดินเร็วหน่อย ด้านข้างพลันมีเสียงดังมาแต่ไกล
“รอประเดี๋ยว… สองท่านตรงนั้น โปรดรอสักครู่…!”
เสียงตะโกนสะท้อนก้องกลางป่าเล็กน้อย จี้หยวนกับจูหยวนจื่อมองไปตามเสียง เห็นว่าสันเขาด้านข้างมีกลุ่มคนเร่งเดินมา หนึ่งในนั้นก้าวเดินพลางโบกมือมาทางจี้หยวนกับจูหยวนจื่อ ทิศทางการเดินของพวกเขาก็เช่นกัน
“ท่านทั้งสองโปรดหยุดก่อน…”
คล้ายกลัวว่าจี้หยวนกับจูหยวนจื่อจะเดินต่อไป พวกเขาคอยตะเบ็งเสียงตะโกนเป็นระยะๆ ความรู้สึกร้อนรนนั้นจี้หยวนกับจูหยวนจื่อล้วนฟังออก
“ท่านเห็นว่าอย่างไร”
จูหยวนจื่อเอ่ยถาม จี้หยวนกล่าวตอบ
“รอดูก่อนเถอะ บางทีอาจเจอเรื่องลำบากอะไร”
เมื่อเห็นทั้งสองคนที่ห่างไกลยืนอยู่บนทางเขาไม่เดินต่อ กลุ่มคนซึ่งรีบเร่งลงสันเขาข้ามหุบเขาตรงนั้นมาสบายใจไม่น้อย แต่ความเร็วของฝีเท้ากลับไม่เสื่อมถอย
ดังคำกล่าวว่าเห็นว่าใกล้แต่ห่างไกล ต่อให้ดูเหมือนระยะห่างไม่ไกลนัก แต่ความจริงไม่อยู่ใกล้ กอปรกับทางเขาขรุขระทั้งมีอุปสรรคอย่างพุ่มไม้หญ้ารกชัฏ รอเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้จี้หยวนกับจูหยวนจื่อ เวลาพลันผ่านไปครึ่งเค่อแล้ว
ผู้มาเยือนรวมแล้วมีหกคน ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพาชายหญิงหน้าตาอ่อนเยาว์ อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีห้าคนมา บนตัวพวกเขามีร่องรอยจากการเดินเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งดินโคลนและเศษหญ้า มีคนถูกกิ่งไม้พุ่มหนามเกี่ยวจนบาดเจ็บด้วย
เมื่อชายวัยกลางคนเห็นจี้หยวนกับจูหยวนจื่อ ทั้งสองคนสุภาพเรียบร้อยมีบุคลิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีผู้อาวุโสคนหนึ่ง พวกเขาเดินกลางป่าลึกเส้นทางลำบากเช่นนี้ แต่บนตัวกลับไม่แปดเปื้อนมลทิน ชายวัยกลางคนมั่นใจทันที
“พวกเจ้าอย่ามัวแต่หอบหายใจ คารวะท่านเซียนพร้อมข้า”
ชายวัยกลางคนพูดพลางค้อมตัวประสานมือคารวะก่อน
“คารวะท่านเซียนทั้งสอง!”
เหล่าคนหนุ่มสาวรีบคารวะตาม
“คารวะท่านเซียนทั้งสอง!”
จูหยวนจื่อกับจี้หยวนมองพวกเขา แต่กลับไม่คัดค้าน ฝ่ายแรกลูบเคราพลางเอ่ยถาม
“เหตุใดถึงเรียกพวกเราว่าท่านเซียน”
“เอ่อ ท่านเซียนล้อเล่นแล้ว ท่านดูคนธรรมดาอย่างพวกเราสิ ข้ายังมีวิชาติดตัวอยู่บ้าง มาถึงตรงนี้ยังมีสภาพเช่นนี้…”
ชายวัยกลางคนเผยให้เห็นเสื้อผ้าซึ่งสกปรกอยู่บ้าง จากนั้นค่อยกล่าวต่อ
“มีแค่ท่านเซียนที่เข้าป่าเขาอย่างผ่อนคลายโดยไม่แปดเปื้อนมลทิน ไม่ขอปิดบังท่านเซียนทั้งสอง พวกเราเดินวนเขากวางจันทร์มาสามวันแล้ว ขอร้องท่านเซียนพาพวกเราไปท่าเรือยอดเขาด้วย ขอร้องท่านเซียนด้วย!”
ชายวัยกลางคนพูดพลางคารวะอย่างมีมารยาท
ใช่ว่าท่าเรือเซียนห้ามคนธรรมดาใช้งาน ถึงขั้นว่าแค่คนธรรมดาบางส่วนยืนกรานบอกเหตุผล ย่อมนั่งพาหนะข้ามแดนได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร แต่การหาท่าเรือเซียนกลับไม่ง่ายดาย
จี้หยวนมองพวกเขาเล็กน้อย
“ในเมื่อรู้จักท่าเรือยอดเขา พาพวกเจ้าไปด้วยก็ย่อมได้ ตามพวกเรามาเถอะ”