เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 46 ตัวที่สอง
ตอนที่ 46 ตัวที่สอง
อำเภอหนิงอัน จุดที่อยู่ใกล้เขาโคเทพที่สุดนอกจากเมืองสุ่ยเซียนก็เป็นหมู่บ้านตรงเชิงเขาพวกนั้นแล้ว
ครั้งนี้จี้หยวนพาอิ๋นชิงกับจิ้งจอกเดินบนทางเล็กเป็นการเฉพาะ มุ่งหน้าสู่เขาโคเทพจากทางหมู่บ้าน
หลังทานอาหารกลางวันอย่างเรียบง่ายพร้อมจี้หยวน อิ๋นชิงที่กลับบ้านเปลี่ยนชุดลูกศิษย์กระโดดโลดเต้นตามจี้หยวนออกจากเมือง
ก่อนออกจากเมืองจิ้งจอกแดงซ่อนอยู่ในอ้อมแขนจี้หยวนตลอด หลังออกจากเมืองจึงถูกปล่อยออกมาเดินตามข้างกาย
จากอำเภอหนิงอันถึงเชิงเขาโคเทพซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ห่างกันเป็นทางตรงราวสิบกว่าลี้ ฝีเท้าจี้หยวนตอนนี้ ต่อให้ไม่ใช้พลังทั้งหมดก็ไม่ถึงหนึ่งเค่อ แต่มีจิ้งจอกกับอิ๋นชิงมาด้วย ถือว่าเที่ยวเล่นแล้วกัน
เด็กน้อยสมัยนี้โดยเฉพาะทายาทบัณฑิตอย่างอิ๋นชิง ไม่มีโอกาสออกจากบ้านไปไกลตอนยังเด็กเท่าไหร่ ต่อให้อยู่อำเภอหนิงอันเหมือนกัน สำหรับอิ๋นชิงแล้วทิวทัศน์หมู่บ้านชนบทน่าหลงใหลเป็นพิเศษ
เมื่อเด็กเล่นสนุกขึ้นมาพลังกายคล้ายหลุมลึกไร้สิ้นสุด ต่อให้เหนื่อยพักผ่อนหน่อยก็มีชีวิตชีวาทันที นับประสาอะไรกับอิ๋นชิงซึ่งเดิมก็มีคุณสมบัติทางกายไม่ธรรมดาอยู่บ้าง
เดี๋ยวส่งเสียงหัวเราะชอบใจกังหันน้ำ เดี๋ยวกระโดดลงทุ่งนาจับกบนาหนอนแมลงมาหยอกล้อจิ้งจอก เดี๋ยวอยากโดดลงแม่น้ำไปล้างตัวเหมือนเด็กชนบท ทั้งยังส่งเสียงตะโกนตรงทุ่งนากับป่าไม้กว้างใหญ่เป็นพักๆ
จี้หยวนยังเตรียมขนมเปี๊ยะกรอบมาอย่างไม่มีปิดบัง อยากให้เสี่ยวอิ๋นชิงซึ่งการอบรมทางบ้านเข้มงวดเพลิดเพลินกับอะไรที่เรียกว่าการเที่ยวนอกเมืองโดยไร้วิตกกังวล
มีของกินมีเครื่องดื่มทั้งพาสุนัขมา หืม พาจิ้งจอกมาด้วย!
เล่นสนุกพลางก้าวเดิน หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามครึ่ง สองคนหนึ่งจิ้งจอกมาถึงตรงเชิงเขาโคเทพ เดินตามทางภูเขาซึ่งคนเก็บของป่าย่างเหยียบ ใช้เวลาอีกราวครึ่งชั่วยามขึ้นเนินเขาลูกเล็กซึ่งไม่นับว่าสูง
เมื่อถึงบนเขาจี้หยวนไม่ให้อิ๋นชิงวิ่งเล่นแล้ว ถ้าถูกแมลงพิษงูพิษอะไรกัดคงพูดกับอิ๋นจ้าวเซียนลำบาก
สายลมกลางป่าดูหนาวเย็นกว่าเชิงเขา แม้ว่าเนินเขาไม่สูง แต่ต้นไม้สูงเด่นหินพิสดารแออัดเรียงราย
จี้หยวนมองจิ้งจอกแดงที่ตื่นเต้นไม่หยุดนานแล้ว ชี้ไปทางป่าเขาลำเนาไพรซึ่งอยู่ลึกห่างไกล
“เจ้าไปเถอะ แต่หวังว่าเจ้าจะไม่ใช่แค่คนผ่านทางในชีวิตของข้าจี้หยวน มีวาสนาค่อยพบกันใหม่!”
“ข้าด้วยๆ! จิ้งจอกน้อยเจ้าก็อย่าลืมข้า! อย่าลืมข้าเด็ดขาด!”
อิ๋นชิงข่มกลั้นมาตลอด เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมาจึงน้ำตาคลอเบ้า
“อืม ใช่ ยังมีเสี่ยวอิ๋นชิงด้วย”
จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย ในใจรู้สึกสับสน ท่าทางอิ๋นชิงทำให้เขานึกถึงเต่าสามตัวกระต่ายสองตัวกับนกแก้วหนึ่งตัวซึ่งตอนเด็กถูกตนเลี้ยงกระทั่งตายไปเมื่อชาติก่อน
จิ้งจอกแดงร้อง ‘หงิงๆ’ เดินจากข้างกายจี้หยวนไป กระโดดสองสามครั้งมาถึงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง จากนั้นค่อยหันหลังมามองหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กตรงหน้า แววตาเจือความอาวรณ์คล้ายคน
จี้หยวนกับอิ๋นชิงยืนสบตากับจิ้งจอกอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งแต่ไม่เห็นว่าจิ้งจอกจะจากไป
“ท่านจี้ จิ้งจอกน้อยไม่อยากไป!”
“บางทีคงอยากเห็นพวกเราจากไปกระมัง”
จี้หยวนพูดจบแล้วไม่อธิบายอะไรมากอีก จูงอิ๋นชิงซึ่งเดินไม่กี่ก้าวแล้วหันกลับไปลงเขา
แต่เมื่อเดินไปประมาณสิบกว่าก้าว จี้หยวนหันกลับมามอง จิ้งจอกแดงตัวนั้นยังนั่งบนหินพิสดารจ้องมองพวกเขาอยู่ดังคาด
“ในเมื่อรู้จักกันครั้งหนึ่ง ข้าคนแซ่จี้มอบของขวัญให้เจ้าสักชิ้นแล้วกัน…”
เขามองเมฆงามบนท้องฟ้าเล็กน้อย จี้หยวนกล่าวกับจิ้งจอกแดงตัวนั้น
“ในเมื่อก้าวสู่หนทางฝึกปราณก็ไม่ใช่สัตว์ป่าไม่รู้ประสาอีก ไม่ว่าอะไรล้วนขาดได้ แต่กลับขาดชื่อไม่ได้ ถ้าไม่รังเกียจ ภายหน้าเจ้าชื่อหูอวิ๋นเถอะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้หยวน จิ้งจอกแดงดวงตาวาววาบ ไม่สนใจคำกำชับซึ่งจี้หยวนเคยบอกกล่าวทันที ประสานกรงเล็บก้มกราบจี้หยวนต่อหน้าอิ๋นชิงไม่หยุด!
“อ๊ะ! ท่านจี้ จิ้งจอกน้อยกราบคนเป็นจริงด้วย! โอ้ๆๆๆ!”
อิ๋นชิงที่เดิมยังสงสัยเรื่องประหลาดในคำพูดท่านจี้ก่อนหน้านี้ เห็นจิ้งจอกแดงกราบคนแล้วตกใจจนร้องเสียงดังขึ้นมาทันที
“หึๆ กลับบ้านเถอะ!”
จี้หยวนตบหลังของเสี่ยวอิ๋นชิง พาเด็กซึ่งตื่นเต้นจนเจือจางความเศร้าอาดูรลงเขา
จี้หยวนก็ดีใจมาก ดีใจกว่ารอยยิ้มที่เผยออกมามากนัก แม้ยังสับสนมึนงงอยู่บ้าง แต่เมื่อครู่แขนภายในเสื้อรู้สึกเหมือนไฟดูดอีกครั้ง มายาหมากตัวหนึ่งวาบผ่านปลายนิ้ว
…
บางทีอาจเป็นเพราะเหนื่อยมากแล้ว เส้นทางขากลับเสี่ยวอิ๋นชิงหลับบนหลังจี้หยวน
สิ่งนี้ส่งผลให้ตอนกลับไปความเร็วว่องไวกว่าตอนมาไม่รู้กี่เท่า จี้หยวนใช้ปราณวิญญาณโคจรท่าร่าง ไม่ทันไรก็กลับมาสู่อำเภอหนิงอัน
ยามส่งอิ๋นชิงกลับบ้านยังไม่ถึงเวลาอาหารของตระกูลอิ๋น ครึ่งวันก็กลับจริงดังว่า
แต่หลังจากจี้หยวนกลับบ้านเขากลับออกไปทันที ทั้งเปลี่ยนชุดเขียวที่ใส่ประจำเป็นชุดผ้าหยาบรัดแขน ใช้ผ้าคาดรวบผมยาวสยายของตนไว้ด้านหลัง
หลังจากเตรียมตัวเสร็จอย่างรวดเร็ว จี้หยวนใช้วิชาตัวเบากระโดด อาศัยแรงดีดจากกิ่งพุทรากระโดดออกจากเรือนสันติ จากนั้นค่อยดีดตัวบนหลังคาบ่อยครั้ง ออกจากเมืองไปในทันที
จี้หยวนรู้แค่วิชาบังตาเรียบง่ายสองอย่าง อย่างแรกชื่อว่าล่องหนหวนคืน อย่างสองชื่อว่าหนึ่งใบบังตา ค่อนข้างคลุมเครือทั่วไปแต่ก็อยู่ในขอบเขตที่นำมาใช้ได้
วิชาบังตาเป็นแค่วิธีบดบังหรือเคลื่อนสายตาคนอื่นจนทำให้เขาเห็นความจริงไม่ชัด พูดตามตรงคือไม่อาจพึ่งพามากเกินไป อย่างน้อยจี้หยวนไม่คิดว่าตนล่องหนแล้วอำพรางตัวจริง ต่อให้อยู่ตรงหน้าคนทั่วไป หนึ่งใบบังตาอาจเข้าท่ากว่าหน่อย
ที่เรียกว่าหนึ่งใบเป็นแค่แนวคิด หมายถึงสิ่งเล็กจ้อย วิชาหนึ่งใบบังตาเกิดจากการบดบังของสิ่งเล็กๆ กระทั่งตั้งแต่ต้นจนจบเห็นภาพรวมหรือความจริงไม่ชัด
จี้หยวนใช้ผมปรกหน้าของตนมาบดบัง ทำให้คนที่เคยเห็นหน้าตาเขามองไม่ชัดหรือเห็นเป็นคนอื่น เพราะการนำผมปรกหน้ามาเป็น ‘ใบไม้’ คือสิ่งที่มีอยู่จริง ดังนั้นแม้ว่าวิชานี้จะเล็กจ้อยแต่กลับพึ่งพาได้มาก
ยามนี้จี้หยวนออกมาอย่างรีบเร่ง เพราะระหว่างทางกลับเห็นรถม้าคันหนึ่งขับอยู่บนทางหลวงแต่ไกล สองคนซึ่งขี่ม้าตามข้างรถคือชายสวมชุดรัดรูปตรงทางเข้าที่ว่าการอำเภอตอนเที่ยง เสียงพูดคุยนั้นจี้หยวนไม่มีทางจำผิด ดังนั้นภายในรถเป็นใครไม่ต้องบอกก็รู้
แน่นอนว่าจี้หยวนไม่ใจแคบถึงขั้นว่าคนอื่นคุยเรื่องเขาลับหลังแล้วมาแก้แค้น ใช่ว่าพูดว่าร้ายเขาด้วย สิ่งสำคัญคือตอนเที่ยงได้ยินบทสนทนาของนายอำเภอกับชายร่างท้วมคนนั้น มองพวกเขาตามจิตใต้สำนึก การมองนี้ทำให้จี้หยวนเห็นว่าคอเสื้อของชายร่างท้วมนั่นมีแสงวิญญาณซ่อนเร้น
นั่นไม่ได้มีสาเหตุจากเจ้าอ้วนคนนี้เองแน่ น่าจะเป็นเพราะบนตัวพกของไม่ธรรมดาอะไรไว้
ช่วงนี้จี้หยวนโหยหาเรื่องการฝึกปราณมาก แค่สติทำให้เขาไม่เอ่ยถามหาการแสวงเซียนไปทั่วเท่านั้น ตอนนี้มีโอกาสเขาไม่มีทางปล่อยไป แย่เพียงใดก็ต้องยืนยันด้วยตัวเองว่าคืออะไร สืบความเป็นมาให้แน่ชัด
แต่ตอนเที่ยงได้ยินว่าสามนายบ่าวจะไปวันที่สองชัดๆ ตอนนี้กลับเคลื่อนรถม้าอยู่บนทางหลวงแล้ว
สายลมโดยรอบพัดผ่านหน้าไม่หยุด ในเมืองยังออมแรง หลังออกจากเมืองจี้หยวนสำแดงท่าร่างเต็มที่ ไล่ตามทางในภาพจำเมื่อครู่เต็มกำลัง ผ่านไปประมาณสองเค่อ สุดท้ายในสายตามองเห็นรถม้าซึ่งเกือบออกจากอาณาเขตอำเภอหนิงอันแล้ว
ยามนี้ท้องฟ้ามืดลงช้าๆ จี้หยวนคอยตามอยู่ด้านหลังห่างออกไปโดยไร้สุ้มเสียง กลัดกลุ้มอยู่บ้างว่าจะบรรลุเป้าหมายของตนอย่างไร
‘ตามไปพูดอย่างเป็นมิตรโดยตรงหรือคิดหาวิธีอื่น หรือกำราบพวกเขาแล้วค้นของออกมาก่อนค่อยถาม การกระทำเหี้ยมโหดไปหน่อยหรือไม่’
จี้หยวนแยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนคนบ้ารอบหนึ่ง ทำหน้าเหี้ยมโหดเล็กน้อย เขาคิดเองว่าตนมีพรสวรรค์ด้านการแสดงอยู่บ้าง
แต่ไม่รอให้จี้หยวนคิดมากอีก สถานการณ์เกิดตัวแปรใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง ในป่าด้านซ้ายหน้าทางหลวง เงาร่างสวมชุดผ้าหยาบสีเข้มมากมายพุ่งออกมาทันที สะบัดอาวุธจู่โจมไปทางรถม้า
“แย่แล้ว! มีผู้แข็งแกร่ง!”
ผู้คุ้มกันสองคนตบหลังม้าห้อตะบึง ประมือกับผู้บุกโจมตี
ชายสวมชุดรัดรูปสีเหลืองคนนั้นเผชิญหน้ากับผู้บุกโจมตี ยามกระโจนออกจากหลังม้า เท้าข้างหนึ่งยังเหยียบบนตัวม้าอาศัยแรงส่ง กำหมัดแน่นซัดใส่โจรคนหนึ่งในนั้นเต็มแรง
“ตายซะ!”
ตึง…
หมัดอานุภาพยิ่งใหญ่ทรงพลังถึงกับถูกสันดาบอีกฝ่ายต้านทาน ทั้งยังตวัดดาบทิ้งห่างกำปั้นชั่วพริบตา คมดาบตวัดเฉียงฟาดฟันคู่ต่อสู้ เงาดาบคล้ายแบ่งจากหนึ่งเป็นสาม
ฟุ่บๆ ฉัวะ…
สามดาบแหวกพลังหมัดของผู้คุ้มกัน ดาบหนึ่งในนั้นยังทำให้ไหล่เขาเลือดกระฉูด
“ขนห่านสามหน! เจ้าคือเซี่ยงเฟิง สิบสามโจรแดนเยี่ยน!”
ผู้คุ้มกันชุดเหลืองกระโดดถอยหลังพลางหลบโจรอีกสองคนซึ่งโจมตีมาพร้อมกัน ตกตะลึงตวาดลั่น
ตรงจุดที่แสงส่องถึง ตอนนี้พวกพ้องสู้หนึ่งต่อสี่อย่างล่อแหลมอันตราย บนตัวบาดเจ็บหลายจุดแล้ว
เสียงกระทบดังสนั่น ผู้คุ้มกันอีกคนย่ำเท้าลงบนรถม้าซึ่งยังขับเคลื่อนอยู่ดังตึง
“หยุดรถซะ!”
โจรคนหนึ่งในนั้นคำราม
“ไอ๊หยา…”
ผู้คุมรถม้ารีบดึงบังเหียน คุกเข่าตัวสั่นอยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับ คนภายในรถม้าตกใจจนไม่กล้าส่งเสียง
เซี่ยงเฟิงไม่มองผู้คุ้มกันสองคนซึ่งเหมือนเจอศัตรูผู้แข็งแกร่ง ถือดาบยิ้มมองรถม้า
“เว่ยอู๋เว่ย เล่าลือว่าตระกูลเว่ยมีหยกฟ้าตกทอดชิ้นหนึ่ง สามารถป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้กล้ำกรายได้ เจ้าน่าจะพกติดตัวกระมัง”