เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 461 คนดีคนเลวปะปนกัน
ตอนที่ 461 คนดีคนเลวปะปนกัน
สัตว์ปีศาจหรือสัตว์เซียนมหึมาเช่นนี้ ไม่พูดถึงเรื่องอื่น แค่ขนาดก็แสดงออกว่ามีแรงกดดันกับพลังทำลายล้างหาใดเปรียบ ทั้งยังเหาะเหินได้ นอกจากตัวมันมีอภินิหารพรสวรรค์พิเศษแล้ว ปราณวิญญาณกับพลังย่อมไม่เลวเช่นกัน
ด้วยมรรควิถีกับพลังตอนนี้ของจี้หยวน ต่อให้เห็นสัตว์กลืนนภาก็ยังห้ามความรู้สึกไม่อยู่ หลุดปากพึมพำอย่างอดไม่ได้
“สัตว์กลืนนภา… ดูเหมือนคุนอยู่บ้าง…”
แน่นอนว่าจี้หยวนไม่เคยเห็นว่าคุนตัวจริงเป็นอย่างไร แต่ลักษณะภายนอกเหมือนสัตว์น้ำประเภทปลา ขนาดมหึมาเช่นนี้ ทั้งมีสมญากลืนนภา แล้วเขาไม่คิดเชื่อมโยงถึงคุนได้อย่างไร
แต่จะว่าไปจี้หยวนเมื่อชาติก่อนเคยกระหน่ำเล่น ‘เกมเลี้ยงคุน’ ตามโฆษณาออนไลน์ช่วงหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาพบนเว็บไซต์ซึ่งเห็นผ่านตา
จูหยวนจื่อได้ยินจี้หยวนพึมพำกับตนเอง จึงลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม
“ท่านจี้ คุนคืออะไร ถือเป็นสัตว์ปีศาจมหึมาชนิดหนึ่งหรือ”
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย
“นับว่าใช่กระมัง เป็นปลายักษ์ประเภทหนึ่ง”
โดยรอบมีคนไม่น้อยส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา ทั้งมีผู้ฝึกเซียนไม่น้อย ต่อให้บางคนไม่ได้เจอสัตว์กลืนนภาเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่บ้างเช่นกัน
ห่างจากพวกจี้หยวนไปค่อนข้างไกล หน้าอาคารดินเหนียวปูกระเบื้องเคลือบแห่งหนึ่ง มีกลุ่มคนถูกสัตว์กลืนนภาเมื่อครู่ทำให้ตกใจจนทรุดลงบนพื้น
“ทะ ท่านอา… นั่นคืออะไร…”
“ขะ ข้าก็ไม่รู้!”
“นะ น่ากลัวนัก!”
“ข้าตกใจจนเกือบปัสสาวะราดกางเกงแล้ว!”
…
แม้ว่าผู้ฝึกปราณหนุ่มด้านข้างตกตะลึงเพราะสัตว์กลืนนภาเช่นกัน แต่เมื่อเห็นท่าทางพวกเขาแล้วกลับขบขัน
“รีบลุกขึ้นมาๆ ดูสภาพพวกเจ้าสิ นี่คือสัตว์เซียนของเซียนสวรรค์ มีเทพเซียนดูแลโดยเฉพาะ ไม่ทำร้ายคนหรอก”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งยังมองผู้ฝึกปราณคนนี้อย่างอึ้งงันก่อนเอ่ยปากถาม
“ถ้าเจ้าตัวนี้อ้าปากที คนทั้งเมืองมันพอกินหรือไม่”
“เขาแค่ดูดซับปราณวิญญาณยังชีพ ถ้ากินจริงคงกินพวกปีศาจมารร้าย ไม่กินคนธรรมดาหรอก”
ผู้ฝึกปราณหนุ่มอธิบายอย่างอดทน เขามีหน้าที่มารับหกคนนี้ เดิมรอมาช่วงหนึ่งไม่เห็นใครมา คิดอยู่ว่าควรไปอาณาจักรเจ๋อหนานสักรอบหรือไม่ สุดท้ายวันนี้ก็เจอพวกเขาแล้ว
ได้ยินพวกเขาหกคนบอกว่าป้ายคำสั่งสูญหายเพราะบรรพชน เกือบเข้ามาไม่ได้ ระหว่างทางเจอผู้ฝึกเซียนพาเข้ามา
ด้านข้างมีคนคอยมองพวกเขาตลอด แม้ว่าตอนนี้คนบนพื้นเข่าอ่อนอยู่บ้าง แต่ยังรีบลุกขึ้นมา ถึงอย่างไรก็เป็นท่าเรือเซียน เขาไม่กล้าหยาบคาย
“ผู้อาวุโสท่านนี้ พวกเรา…”
ชายวัยกลางคนยังพูดไม่จบก็ถูกตัดบท
“เฮ้อ บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสของพวกเจ้า อายุของข้าไม่มากกว่าเจ้าเท่าไหร่นัก ข้าแค่ช่วยอาจารย์อามารับพวกเจ้าไปเท่านั้น…”
ผู้ฝึกปราณหนุ่มทำหน้าไม่ถูกอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ยามเพิ่งเจอคนกลุ่มนี้ เขาเข้าไปทำความรู้จัก พวกเขาถึงกับคุกเข่าคารวะก้มกราบยกใหญ่ ร่วมกันตะโกนว่า ‘คารวะผู้อาวุโส’ นั่นทำให้เขามึนงง
ได้ยินผู้ฝึกปราณหนุ่มกล่าวเช่นนี้ ชายวัยกลางคนรับรู้ว่าตนพูดผิดอีกแล้ว เขารีบแก้ไขให้ถูกต้อง
“ใช่ๆๆ ท่านเซียนๆ ข้าอยากถามว่า…”
“โครก…”
ชายวัยกลางคนยังไม่บอกว่าอยากถามอะไร ท้องเขาเหมือนเอ่ยคำที่อยากกล่าวแทนเขาแล้ว จากนั้นท้องคนรุ่นเยาว์ห้าคนด้านข้างดังขึ้นเช่นกัน
“โครก…”
…
“เอ่อ นะ นั่นคือสิ่งที่อยากถาม…”
“ฮ่าๆๆๆๆ… คนธรรมดาน่าสนใจจริง ที่แท้ยามคนหิวท้องร้องเช่นนี้เอง ฮ่าๆๆๆๆ…”
ด้านข้างพลันมีเสียงหัวเราะเกินกว่าเหตุดังมา คนท่าทางคล้ายเด็กหนุ่มถือกิ่งดอกท้อกำลังกุมท้องหัวเราะลั่นห่างไปไม่ไกล กิ่งดอกท้อในมือเขาส่ายสั่นไม่หยุดตามการหัวเราะของเขา
ผู้ฝึกปราณหนุ่มข้างกายชายวัยกลางคนประสานมือคารวะพลางกล่าวกับอีกฝ่าย
“สหายยุทธ์ท่านนี้ พวกเขาคือคนรุ่นหลังของอาจารย์อาข้า หากมีสิ่งใดเสียมารยาทสหายยุทธ์โปรดอภัย!”
ผู้ฝึกปราณหนุ่มพูดพลางกล่าวกับอีกหกคน
“เดินทางกลางป่าเขาผลาญพลังกาย หิวแล้วกระมัง ข้าพาพวกเจ้าไปกินอาหารก่อน รีบตามข้ามา!”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบผู้ฝึกปราณหนุ่มเดินไปก่อน แน่นอนว่าอีกหกคนก้าวตามจังหวะฝีเท้าไป พวกเขารู้ว่าสถานที่เช่นนี้ต้องเร่งตามคนข้างหน้า ถ้าพลัดหลงไม่แน่ว่าอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เด็กหนุ่มถือกิ่งดอกท้อคนนั้นหยุดหัวเราะ ทั้งไม่คารวะตอบผู้ฝึกปราณหนุ่มคนนั้นด้วย คอยมองพวกเขาจากไปไกลเช่นนี้ ยามสายตายังตามติดพวกเขากลับถูกเรื่องอื่นทำให้ตกใจ หันกลับมามองทิศทางอื่นทันที
พริบตานี้เด็กหนุ่มถือกิ่งดอกท้อเหมือนเห็นภาพมายาหนึ่งรางๆ ท่ามกลางความมืดสลัวมีคลื่นระลอก จากนั้นค่อยสงบลง จันทร์กระจ่างปรากฏอยู่ภายใน ต่อมาภาพมายาซ่านสลาย สายตาจับจ้องดวงตาสีเทาคู่หนึ่งซึ่งมองมา
มีผู้ฝึกเซียนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาทางอาคารดินเหนียวปูกระเบื้องเคลือบแห่งนี้ เด็กหนุ่มถือกิ่งดอกท้อถอนสายตากลับไป รีบเดินจากไปด้านข้าง
สายตาจูหยวนจื่อกวาดมองเด็กหนุ่มที่จากไป จากนั้นค่อยมองอาคารดินเหนียวซึ่งห่างไปไม่ไกล
“ท่านจี้ ที่นั่นคือสถานที่ตรวจสอบยานข้ามแดน ก่อนพาหนะข้ามแดนบางอย่างมาถึงจะส่งข่าวมา ทำให้คนทราบล่วงหน้า บ้างจอดเทียบยาวช่วงหนึ่งตลอดสี่ฤดู ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่อาคารหลังนี้ยังไม่เปลี่ยนไป”
“อืม พวกเราไปดูหน่อย!”
เมื่อเห็นสัตว์กลืนนภาข้ามแดน จี้หยวนไม่อยากไปท่าเรือเซียนตรงยอดเขาด้านนอกเพื่อเฝ้ามองอีก แค่มองผ่านตาทิพย์เขาก็เห็นสัตว์กลืนนภาลอยกลางอากาศผ่านหมอกมายาแล้ว เขาสนใจพาหนะข้ามแดนอื่นมากกว่า ถือว่าเรียนรู้จากสถานที่นี้พอดี ทั้งลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้าด้วย
เมื่อก้าวเข้าอาคารดินเหนียวปูกระเบื้องเคลือบ จี้หยวนจึงถอนสายตากลับ ชัดเจนว่าเขาไม่เห็นเด็กหนุ่มถือกิ่งดอกท้อแล้ว แต่เหมือนสายตายังตามเขาอยู่
กระทั่งจี้หยวนละสายตาจากตน เด็กหนุ่มซึ่งเดินอ้อมคดเคี้ยวไปไกลรู้สึกเหมือนคลายแรงกดดัน เป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่
‘ให้ตายเถอะ สัตว์ประหลาดเฒ่าจากไหนกัน’
อีกด้านหนึ่งผู้ฝึกปราณหนุ่มพาพวกคนตระกูลเยี่ยนกับตระกูลจงเดินมาสักพัก กระทั่งถึงหน้าหอสุราซึ่งเปิดโดยคนธรรมดา เขาหันกลับไปมองโดยรอบเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นอะไรค่อยเผยรอยยิ้มมองคนด้านหลังใหม่อีกครั้ง
“เข้าไปกินอาหารที่นี่เถอะ ข้ารู้สึกว่าอาหารที่นี่อร่อยนัก ต้องถูกปากพวกเจ้าแน่!”
ทั้งหกคนเงยหน้ามองหอสุรามีระดับแห่งนี้ ลังเลครู่หนึ่งแต่ยังตามผู้ฝึกปราณหนุ่มเข้าไป ถึงอย่างไรก็ตามเซียนมากินข้าว ไม่ถึงขั้นจ่ายไม่ไว้กระมัง
บางทีอาจเป็นเพราะหิวมาก รอเมื่ออาหารมาส่งถึงโต๊ะ ทั้งหกคนเอ่ยถามผู้ฝึกปราณหนุ่ม ก่อนกินอย่างตะกละตะกลามบนโต๊ะสำหรับแปดคน ไม่สงวนท่าทีแม้แต่น้อย กินจนสมใจอยาก
“ดูจากระดับความหิวโหยของพวกเจ้าแล้ว สหายยุทธ์สองคนซึ่งพาพวกเจ้าเข้ามาก่อนหน้านี้ต้องแอบช่วยพวกเจ้าแน่นอน มิฉะนั้นพวกเจ้าคงมาไม่ถึงท่าเรือยอดเขา”
“อืม อร่อย… ขะ ขอรับ… อึก… เรื่องนั้น…”
“พวกเจ้ากินก่อนเถอะ กลืนแล้วค่อยพูด”
“ขอรับ… อึก ท่านเซียนกินด้วยสิ!”
“ได้ๆๆ ข้ากินด้วย…”
ผู้ฝึกปราณหนุ่มยื่นตะเกียบออกมาอย่างเรียบร้อย คีบผักบางส่วนกับเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก จากนั้นค่อยรินสุราดื่มจอกหนึ่ง หันมองนอกหอสุราตามจิตใต้สำนึก ก่อนเผยสีหน้าใคร่ครวญ
ผ่านไปนานค่อยหันกลับมา อาหารบนโต๊ะน้อยลงส่วนหนึ่งเหมือนเล่นกล
“จริงสิ ท่านเซียน คนเมื่อครู่มีปัญหาอะไรหรือ ข้าเห็นท่านสังเกตเห็นว่าเขามองพวกเรา จากนั้นค่อยรีบพาพวกเราจากมา”
เด็กสาวคนหนึ่งกลืนเนื้อไก่ลงคอก่อนดื่มน้ำแกงตาม นางเอ่ยถามอย่างระวัง ทำให้ผู้ฝึกปราณหนุ่มมองนางอย่างอดไม่ได้ ขณะเดียวกันยังพยักหน้าพลางกล่าวเสียงเบา
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ความจริงท่าเรือยอดเขาซึ่งคึกคักไม่ธรรมดาแห่งนี้มีคนดีคนเลวปะปนกัน เวลาส่วนใหญ่ล้วนปลอดภัย แต่พึงระวังคนคิดร้ายเราก่อนดีกว่า แม้ว่าข้ามองเด็กหนุ่มคนเมื่อครู่ไม่ออก แต่รู้ว่าเขาไม่ใช่คนแน่ ชั่วพริบตายามสบตาเขาแล้วรู้สึกว่าแปลกประหลาด แม้ว่าเพียงผ่านตา แต่ข้าไม่มีทางเข้าใจผิด”
เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่คน การขยับปากของพวกเขาช้าลงส่วนหนึ่ง ทั้งมีคนเผยความนึกกลัวเสี้ยวหนึ่ง นึกถึงเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นมาโดยปริยาย
“พวกเจ้าจำไว้ สถานที่เช่นนี้พวกเดินเล่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเป็นตัวประหลาด ส่วนใหญ่ไม่ค่อยสร้างเรื่องชัดเจนเกินไป แต่พวกรูปร่างเหมือนคนทั้งงามสมบูรณ์แบบ อาจเป็นพวกซ่อนอะไรไม่ดีไว้ บางครั้งยังขาดสติอยู่บ้าง…”
“อ้อ…”
“อย่างนี้นี่เอง!”
“เอาล่ะ มีข้าอยู่ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าเกิดเรื่องใดตามข้ามาก็พอ พวกเราไม่ออกจากท่าเรือยอดเขา นั่งเรือเหาะไปทวีปนิรันดร์แล้วค่อยตรงไปหาอาจารย์อา”
…
“ดูไปดูมาสัตว์กลืนนภาถือว่าอาจหาญที่สุด ถ้ามันอ้าปากกินข้าว คำเดียวจะกินมากเท่าไหร่”
คนของเขาล้อมหยกเดินออกมาจากอาคารดินเหนียวปูกระเบื้องเคลือบ ศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งในนั้นพูดคุยอย่างสนุกสนาน เว่ยหยวนเซิงที่อยู่ด้านข้างพูดแทรกขึ้น
“เรือนทางโลกของข้ามีลานเลี้ยงม้าขนาดใหญ่ ข้ากล้าพูดว่าม้าหนึ่งพันตัวคงไม่พอให้สัตว์กลืนนภาตัวนั้นกิน!”
จี้หยวนกับจูหยวนจื่อเดินอยู่ตรงกลางข้างหน้าสุด แม้ว่าไม่เอ่ยวาจา แต่จี้หยวนยังฟังคนด้านหลังคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น พวกเขากลับเผชิญหน้ากับหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง
หญิงสาวกลุ่มนี้บ้างพาดกระบี่บ้างถือกระบี่ บ้างมือถือแส้หางม้า บ้างสวมผ้าโปร่งบดบังใบหน้า บ้างเกล้าผมยาวเป็นมวย ยามก้าวเดินมีบุคลิกโดดเด่น
หญิงสาวที่เป็นผู้นำถือแส้หางม้า ผมยาวถึงเอว จอนผมซ้ายขวาพันด้วยเชือกมัดผมสีแดง เชือกทิ้งตัวลงมาถึงข้างเท้า หน้าตางามผุดผ่อง ความจริงมรรควิถีสูงยิ่ง
“ท่านจี้ พวกนางล้วนเป็นสหายยุทธ์จากสำนักยรรยง มีบุรุษน้อยนัก ไม่ชอบสมาคมกับแวดวงผู้ฝึกปราณ”
จูหยวนจื่อกล่าวเสียงเบากับจี้หยวน ฝ่ายหลังพยักหน้าตามจิตใต้สำนึก แต่ยังไม่ถอนสายตากลับ ทั้งสองกลุ่มเดินเฉียดผ่านกันไปเช่นนี้ ไม่มีการทักทายกัน
ยามคนจากเขาล้อมหยกมองคนของสำนักยรรยง หญิงสาวพวกนั้นมองขบวนเขาล้อมหยกเช่นกัน บางคนกวาดมองหยกประดับช่วงเอวของคนจากเขาล้อมหยก เท่านี้ก็ทราบว่าอีกฝ่ายมาจากไหนแล้ว
“บรรพจารย์ พวกเขาคือคนจากเขาล้อมหยก อืม ผู้ดวงตาประหลาดนั่นไม่มีหยกประดับ”
หญิงสาวคนหนึ่งสื่อจิตบอกผู้ฝึกปราณหญิงข้างหน้า ยามฝ่ายหลังพยักหน้าเล็กน้อย นางพลันพบว่าเมื่อคนรุ่นเยาว์ของสำนักกล่าวว่า ‘ดวงตาประหลาด’ คุณชายชุดเขียวคนนั้นหันมองมาเล็กน้อย ยิ้มพลางจากไปพร้อมคนของเขาล้อมหยก