เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 463 ท่าเรือยอดเขาอันตรายเกินไปแล้ว
ตอนที่ 463 ท่าเรือยอดเขาอันตรายเกินไปแล้ว
ยามถือขนนกนี้ ด้วยเสียปราณวิญญาณที่ฉิวเฟิงแทรกเข้าไปจึงหม่นแสง ในเมื่อไม่มีความร้อนแผ่ออกมาก็ไม่มีพลังปีศาจซึ่งทำให้จี้หยวนหวาดหวั่นเหมือนเมื่อครู่ บอกว่าเป็นขนนกป่าซึ่งถูกทาสีย่อมมีคนเชื่อ
ต่อให้ขนนกนี้เหมือนของตาย แต่กลับทำให้จี้หยวนหวาดหวั่น เขาผ่อนคลายตัวเองช้าๆ จากนั้นค่อยแอบสูดหายใจลึกๆ แทรกปราณวิญญาณกับพลังของตนเข้าสู่ขนนก
ความร้อนเลือนรางปรากฏอีกครั้ง สีขนนกสะดุดตาขึ้นมา สีแดงเหลือบทองเจือประกายแสงรางๆ นอกจากนี้แล้วเหมือนไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มีแค่ความร้อนเล็กน้อย สร้างความอุ่นกลางหน้าหนาวยังไม่พอ ทั้งสู้อ่างวางถ่านเตาผิงไม่ได้
แต่ขนนกซึ่ง ‘ปราศจากปราณปีศาจ’ ในสายตาคนอื่น ตอนนี้กลับทำให้จี้หยวนรู้สึกว่า ‘ร้อนมือ’ คล้ายว่าจับไม่ค่อยอยู่ ปราณปีศาจชวนประหวั่นแผ่ออกมา หากไม่ใช่ว่าจี้หยวนครองสมาธิน่าอัศจรรย์ ตอนนี้มือคงตอบสนองฉับพลันแล้ว
แค่สัมผัสเพียงสามลมหายใจ จี้หยวนสลัดปราณวิญญาณบนขนนกทันที
“ฮู่…”
จี้หยวนผ่อนลมหายใจเบาๆ เก็บขนนกเข้าแขนเสื้อ ตอนนี้ถึงขั้นรู้สึกเองว่าแขนเสื้อหนักขึ้นเล็กน้อยเพราะขนนกแผ่วเบานี้
ฉิวเฟิงมองเหรียญทิพย์ในมือเจ้าของแผง ฝ่ายหลังสำแดงวิชาตรวจสอบเหรียญทิพย์โดยละเอียด ส่วนจูหยวนจื่อคอยมองจี้หยวนตลอด เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าตั้งแต่จริงจังถึงผ่อนคลายของจี้หยวนเมื่อครู่นี้อยู่ในสายตา
สำหรับจูหยวนจื่อนั้น ภาพจำของจี้หยวนคือท่าทางผ่อนคลายเสมอ เห็นการแสดงออกอย่างจริงจังบนสีหน้าเขาน้อยนัก
‘ดังนั้นขนนกนั่นอาจมีปัญหาใหญ่กระมัง’
นี่คือข้อสรุปในใจของจูหยวนจื่อ แต่ที่นี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะแก่การพูดคุย เขาคิดว่าค่อยถามจี้หยวนยามอยู่สถานที่ส่วนตัว หากสะดวกพูดจี้หยวนน่าจะบอกเขา
รอจี้หยวนเก็บขนนกแล้ว ความสนใจของจูหยวนจื่อเปลี่ยนมาตรงเหรียญทิพย์ในมือเจ้าของแผง
ฉิวเฟิงเห็นสีหน้ายินดีอย่างห้ามไม่อยู่ของผู้ฝึกเซียนเจ้าของแผง แม้รู้ว่าอีกเดี๋ยวค่อยถามจี้หยวนได้ แต่ยังอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“สหายยุทธ์ท่านนี้ ท่านเพิ่งได้รับเหรียญทิพย์สองเหรียญ ท่านจี้ยังไม่บอกประโยชน์ของมันโดยละเอียด เหตุใดถึงดีใจเช่นนี้ หรือท่านทราบแล้ว”
คนผู้นี้ท่าทางไม่เหมือนผู้มีพลังปราณสูงส่งเท่าไหร่ ไม่ถึงระดับรวมศูนย์ ทั้งไม่มีคุณสมบัติพอจะเรียกว่าเซียน ถ้าพูดถึงอายุ ไม่แน่ว่าจะมากกว่าฉิวเฟิงเช่นกัน
“หึๆๆ สหายยุทธ์ท่านนี้ ดูท่าว่าท่านไม่เคยสัมผัสเหรียญทิพย์นี้ อืม คำว่าเหรียญทิพย์ดียิ่งนัก!”
ผู้ฝึกปราณชราเก็บเหรียญหนึ่งเข้าถุงใบเล็กซึ่งซ่อนตรงหน้าอก เหลืออีกเหรียญไว้ลูบกลางฝ่ามือ
“จากชื่อก็รู้ว่าเหรียญทิพย์คือเหรียญซ่อนพลัง เหรียญคือความหมายทั่วไป นำมาแลกเปลี่ยนสิ่งของ ทิพย์คือความอัศจรรย์จากการฝึกปราณ นำมาสำแดงอภินิหาร ข้าตรวจสอบโดยคร่าวก็เข้าใจ เหรียญนี้แฝงพลังวิญญาณบริสุทธิ์ เปลี่ยนแปลงตามความคิดของข้า ความอัศจรรย์ไร้ขอบเขต อาศัยพลังมันมาพลิกสถานการณ์ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น หากธาตุไฟเข้าแทรกยามฝึกปราณคงอันตรายกระมัง แต่ขอเพียงจิตวิญญาณข้าแจ่มชัดเสี้ยวหนึ่ง ย่อมใช้เหรียญทิพย์ดึงพลังวิญญาณบริสุทธิ์มาปะทะได้!”
เมื่อฟังคำพูดนี้จี้หยวนมองผู้ฝึกปราณชราคนนี้คราหนึ่ง มรรควิถีไม่ถือว่าโดดเด่นนัก แต่สายตาไม่เลว
“ดูท่าว่าไม่ต้องให้ข้าคนแซ่จี้พูดมากความ สหายยุทธ์รู้ความอัศจรรย์ของเหรียญทิพย์แล้ว ข้าคนแซ่จี้แค่เอ่ยเตือนเพิ่มเติม เหรียญทิพย์สร้างผลอัศจรรย์ สามารถนำมาซ้อนกันเพื่อใช้งานได้”
คำพูดนี้ผู้ฝึกปราณชราฟังแล้วอึ้งงันเล็กน้อย จากนั้นค่อยหยิบเหรียญทิพย์อีกอันออกมาทันที วางทับกลางฝ่ามือก่อนหลับตาสัมผัสโดยละเอียด จากนั้นค่อยลืมตาขึ้นมามองจี้หยวน
“สหาย… ไม่สิ ผู้อาวุโส! แลกเปลี่ยนเหรียญทิพย์กับข้าอีกหน่อยได้หรือไม่ วัตถุวิญญาณบนแผงนี้ ขอเพียงผู้อาวุโสถูกใจ ทั้งหมดล้วนใช้เหรียญทิพย์ซื้อได้”
จี้หยวนโบกมือเล็กน้อย การหลอมเหรียญทิพย์ไม่อาจพูดว่าลำบากนัก แต่กว่าจะหลอมมาถึงขั้นสมบูรณ์แบบอย่างตอนนี้นับว่าง่ายไม่ได้เลย แลกเปลี่ยนของไม่มีประโยชน์ทำไมเล่า ถ้ากล่าวถึงภูตตัวจี้หยวนถือว่ามีมากมาย
ยามเจ้าของแผงมองส่งพวกจี้หยวนเดินจากไป ด้วยเจอขนนกเส้นนี้ การเดินเล่นต่อจากนั้นถือว่าจี้หยวนจดจ่อขึ้นมาก ลืมตาทิพย์เดินลัดเลาะตลาด ถึงขั้นเข้าไปในอาคารซึ่งเปิดโดยขุมอำนาจผู้ฝึกปราณด้วย ไปดูว่ามีของพิเศษอะไรบ้าง
อืม ผลคือสำหรับจี้หยวนสินค้าส่วนใหญ่ถือเป็น ‘ของพิเศษ’ ถึงอย่างไรก็ประสบการณ์น้อย จี้หยวนเห็นของประหลาดนานัปการจนสับสนตาลาย
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ภูตนานาชนิดก็มีไม่น้อย บางส่วนยังมีมูลค่าที่ยอมรับกันโดยทั่วไป อย่างเช่นภูตช่วยดูแลสมุนไพรวิญญาณโอสถวิญญาณ ภูตเปี่ยมจิตวิญญาณป้องกันโอสถวิญญาณเสียหาย รวมถึงภูตช่วยคนปรับสภาพวะจิตด้วย
โดยเฉพาะภูตดูแลสมุนไพรวิญญาณ หายากอย่างยิ่ง หญ้าวิญญาณโอสถวิญญาณพิถีพิถันเรื่องสภาพแวดล้อมอย่างมาก วัตถุวิญญาณเช่นนี้เทียบกับของมีจิตวิญญาณอื่นแล้วเปราะบางมากจริงๆ ดึงดูดนกมาจิกกินหรือสิ่งชั่วร้ายสอดแนมโดยง่าย
หญ้าวิญญาณบางส่วนเติบโตตามธรรมชาติ บ้างมีภูตพิเศษดูแล บ้างมีสัตว์ปีศาจเฝ้าตลอด ฉากยามคนธรรมดาพลัดตกหน้าผาเจอผลพุทราต้องมีโชคมากแค่ไหน
แม้ว่าจี้หยวนเห็นของพวกนี้จนตาลาย แต่ถือว่าเป็นของทั่วไปบนโลกบำเพ็ญเซียน ไม่อาจเทียบกับขนนกประหลาดนั่น
หลังออกมาจากอาคารนามว่า ‘หอสมบัติวิญญาณ’ พวกจี้หยวนเผชิญหน้ากับคนธรรมดาหกคนที่พาขึ้นเขามาก่อนหน้านี้ รวมถึงผู้ฝึกปราณหนุ่มข้างกายพวกเขาด้วย
เห็นชัดว่าเมื่ออีกฝ่ายเห็นจี้หยวนกับจูหยวนจื่อ พวกเขาเผยสีหน้ายินดีร้องเรียกทันที
“ท่านเซียนจี้ ท่านเซียนจู พวกท่านอยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ”
“เป็นท่านเซียนทั้งสองจริงด้วย อะ เอิ้ก…”
พวกเขากล่าวทักทายด้วยสีหน้าตื่นเต้น คนหนึ่งในนั้นยังเรอเสียงยาวออกมาด้วย
เมื่อเห็นจี้หยวน จูหยวนจื่อ รวมถึงฉิวเฟิงมองมา ผู้ฝึกปราณหนุ่มรีบค้อมตัวประสานมือคารวะเล็กน้อย
“คารวะผู้อาวุโสทั้งสาม!”
พลังปราณทั้งสามเขามองไม่ออกสักคน ก่อนหน้านี้ยังพาอีกหกคนข้างกายขึ้นเขา กอปรกับรอบตัวมีปราณร่มเย็นสดชื่น น่าจะเป็นผู้สูงส่งบำเพ็ญมรรคเซียนแท้จริง
“อืม ไม่ต้องมากพิธี พวกเจ้าก็ด้วย”
จี้หยวนกล่าวกับผู้ฝึกปราณหนุ่ม ทั้งบอกอีกหกคนที่เตรียมตัวคารวะว่าไม่ต้องก้มกราบ เห็นตรงมุมปากพวกเขาเหลือบมัน ดูท่าว่ายังพอไหว
บางทีอาจเป็นผลจากความเข้าถึงง่ายของจี้หยวน เด็กสาวที่ก่อนหน้านี้เคยถามผู้ฝึกปราณหนุ่มยามกินข้าวพลันเอ่ยปากกล่าวอย่างกระปรี้กระเปร่า
“ท่านเซียนจี้ ท่านเซียนจู ก่อนหน้านี้มีคนแปลกถือกิ่งดอกท้อมองพวกเราแล้วหัวเราะตลอด คล้ายว่าไม่ใช่คนดีอะไร เหมือนคิดจะทำร้ายพวกเราด้วย…”
ผู้ฝึกปราณหนุ่มได้ยินประโยคนี้แล้วหมดคำพูดอยู่บ้าง เขาแค่เคยบอกอีกฝ่ายว่าประหลาดเล็กน้อย ส่วนทำร้ายคนหรือไม่เขาไม่ได้กล่าวสรุป แค่เจอเซียนช่วยเหลือผูกวาสนาคราหนึ่ง หากอยู่บนโลกปุถุชน สถานการณ์ปีศาจร้ายกับคนธรรมดาเช่นนี้ ไม่แน่ว่าผู้ฝึกเซียนอาจสนใจ แต่อยู่ที่นี่ไม่ว่าเรื่องอะไรคงเห็นจนชิน
แต่การตอบสนองของจี้หยวนกลับทำให้ผู้ฝึกปราณหนุ่มผิดคาดอยู่บ้าง ดวงตาซึ่งหลุบลงตลอดของเขาเบิกกว้างเล็กน้อย กวาดมองทั้งหกคนกับผู้ฝึกปราณหนุ่ม ก่อนพยักหน้ากล่าว
“คนที่พวกเจ้ากล่าวถึงข้าเคยเห็นเช่นกัน รู้สึกแปลกอยู่บ้างจริงๆ ดอกท้อสีเลือดแดงซ่าน ไอมรณะแผ่กิ่งก้านหยามคนเป็น ไม่รู้ว่าสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้เข้าสู่ท่าเรือยอดเขามาได้อย่างไร”
ขณะกล่าวข้างกายจี้หยวนมีแสงเขียวขาวปรากฏ กระบี่เครือเขียวเผยรูปลักษณ์รางๆ สิ่งนี้ทำให้ฉิวเฟิงตกใจสะดุ้งโหยง
“ไม่ได้นะท่านจี้ ท่าเรือยอดเขาห้ามต่อสู้กัน ต่อให้เป็นผู้สูงส่งเซียนแท้ก็ไม่อาจลงมือตามสะดวก!”
จูหยวนจื่อไม่เผยสีหน้าแปลกใจอะไร แต่กลับลูบเครายิ้มเอ่ยถาม
“อย่างนั้นหรือ ท่านเซียนฉิว เจ้าว่าหากผู้สูงส่งเซียนแท้ลงมือเล่า”
“นี่…”
ฉิวเฟิงมองจี้หยวนกับกระบี่เซียนซึ่งเผยเงาร่างตามจิตใต้สำนึก ผู้สูงส่งเซียนแท้ยังไม่เคยลงมือบนท่าเรือยอดเขามาก่อน แต่หากลงมือจริง เขากวางจันทร์กล้าทำเรื่องเหลวไหลหรือ
คาดว่าอย่างมากคงเป็นไปได้แค่ ‘สืบหาความจริง’ มีผู้สูงส่งเซียนแท้กำจัดสิ่งชั่วร้าย ไม่ต้องพูดว่าเซียนแท้ลงมือผิดหรือไม่ พวกที่เรียกว่าเซียนแท้ย่อมจิตมรรคกระจ่างใสบริสุทธิ์ อย่างน้อยคงเห็นชัดเจนกว่าผู้ฝึกปราณเขากวางจันทร์บนท่าเรือยอดเขา
แต่ครั้งนี้กระบี่เครือเขียวปรากฏตัวเอง หมายความว่ากระบี่เซียนไม่พอใจสิ่งชั่วร้ายนั่นเช่นกัน ถึงอย่างไรกระบี่เซียนเครือเขียวก็ล้อมรอบด้วยปราณก่อเกิด ขัดกับคนถือกิ่งดอกท้อก่อนหน้านี้โดยธรรมชาติ
ใช่ว่าจี้หยวนจะลงมือทำเช่นนี้ เขาแค่มองทุกคนปราดหนึ่ง ไม่ถึงขั้นลงมือกำจัดอีกฝ่ายบนยอดเขา
จี้หยวนจึงลูบกระบี่เครือเขียวเบาๆ กิ่งหวายบนนั้นแตกหน่อออกมา
“อย่าเพิ่งรีบร้อน”
ยามสิ้นเสียงความแน่วแน่บนตัวกระบี่เซียนซึ่งมีแค่จี้หยวนกับจูหยวนจื่อสัมผัสได้สลายไป มือซ้ายจี้หยวนจับกระบี่เซียนแนวขวาง มือขวาวาดผ่านอากาศ ปราณพิสุทธิ์กวาดผ่านหน้าทั้งหกคน สองคนในนั้นตัวสั่นเล็กน้อย
“ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรแล้ว”
จี้หยวนพูดจบแล้วมองไปทางท่าเรือตรงยอดเขาด้านนอก ทอดมองสัตว์กลืนนภาตัวมหึมานั่น เมื่อครู่ยามเดินเล่นไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายของคนถือกิ่งดอกท้อ ใช่ว่าออกจากท่าเรือยอดเขา หากแต่ขึ้นพาหนะแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่งทั้งหกคนทราบว่าพวกจี้หยวนจะนั่งเรือเหาะลำเดียวกันไปทวีปนิรันดร์แดนเหนือ แน่นอนว่ายินดีปรีดา ยามจากไปล้วนยิ้มแย้ม
ตอนนี้บนสัตว์กลืนนภาตรงใกล้ส่วนหาง คนผู้หนึ่งห่มหนังสัตว์ผืนใหญ่ขดตัวกลม ตัวสั่นหนาวสะท้านอย่างรุนแรง
‘ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ไม่ได้ทำอะไรเลย โธ่เอ๊ย ความหนาวสะท้านตรงจิตวิญญาณเมื่อครู่คืออะไรกันแน่…’
ชายหนุ่มจับกิ่งดอกท้อแน่น ยามก้มมองเห็นกลีบดอกท้อหนึ่งในนั้นแยกจากกัน รอยแยกราบเรียบ คล้ายถูกกระบี่ตวัดผ่าน
‘ให้ตายเถอะ… ตัวอะไรกัน… ท่าเรือยอดเขาแห่งนี้อันตรายเกินไปแล้ว…’
…
หลังจากนั้นสองวัน เสียงร้องของสัตว์กลืนนภาก้องท่าเรือยอดเขา สำหรับสัตว์ปีศาจมหึมาตัวนี้เวลาสองวันเป็นแค่การงีบ ยามแหวกว่ายตรงขอบฟ้าก่อให้เกิดสายลมคลั่งรอบท่าเรือยอดเขาอีกครั้ง
เมื่อสัตว์กลืนนภาจากไปไม่ถึงครึ่งวัน เรือเหาะมหึมาลำหนึ่งชักใบเรือทองขับเคลื่อนมาทางท่าเรือยอดเขา แน่นอนว่าเทียบกับสัตว์กลืนนภาแล้ว เรือเหาะลำนี้เหมือนของเล่นในมือเด็กนัก