เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 468 เสียงร้องขอความช่วยเหลือกลางมรสุม
ตอนที่ 468 เสียงร้องขอความช่วยเหลือกลางมรสุม
เช้าตรู่วันหนึ่งหลังเข้าสู่มหาสมุทรมาครึ่งเดือน
ดวงอาทิตย์โผล่พ้นผืนทะเล แสงอรุณสาดส่องผิวสมุทร ทำให้น่านน้ำซึ่งห่างออกไปเป็นสีทองอร่าม
เทียบกับพื้นกระจกในโถงโดยสาร จี้หยวนชอบยืนชมทิวทัศน์ระหว่างทางบนดาดฟ้ายิ่งกว่า แม้ว่าด้วยการมองเห็นของเขา นอกจากสิ่งพิเศษบางส่วนแล้ว อย่างอื่นล้วนเลือนรางทั้งแถบ แต่เขากลับเคยชินนานแล้ว กอปรกับมีเขตแดนภูผาธาราอยู่ด้วย ภายใต้สถานการณ์ลึกลับเกินคาดเดาบางอย่าง เขาสร้างภาพทิวทัศน์บนโลกภายนอกในสมองได้ใกล้เคียงถึงแปดเก้าส่วน
ลมพัดจอนผมจี้หยวนจนแผ่สยายไปด้านหลัง ตอนนี้เห็นดวงอาทิตย์โผล่พ้นผืนทะเล จี้หยวนหยิบขนนกสีแดงเหลือบทองนั้นออกมาอีกครั้ง นำมารับแสงแดดก่อนเริ่มพิจารณาโดยละเอียด
แสงอรุณสาดส่องขนนก ทำให้สีสันบนขนนกงามวิจิตรเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม บางช่วงคล้ายแสงแดดหลั่งรินบนผิวขนนกดุจวารี แต่เมื่อมองโดยละเอียดกลับพบว่าเป็นแค่ภาพลวงตา
จูหยวนจื่อยืนข้างจี้หยวน จ้องมองขนนกนี้เช่นกัน ตอนนี้รอบข้างไม่มีใคร ทั้งยังสบโอกาสเหมาะ ในที่สุดเขาก็ถามข้อสงสัยในใจกับจี้หยวน
“ท่านจี้ ก่อนหน้านี้ยามซื้อขนนกจากท่าเรือยอดเขา สีหน้าท่านผิดปกติ ขนนกนี้มีความพิเศษอะไรกันแน่”
จี้หยวนแทรกปราณวิญญาณกับพลังเข้าสู่ขนนกทีละน้อย ทำให้มันแผ่ปราณปีศาจออกมาชั่วขณะ ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ จี้หยวนวางมือทันที
จากนั้นจี้หยวนค่อยหันมามองจูหยวนจื่อพลางเอ่ยถาม
“สหายยุทธ์จูมองอะไรออกหรือไม่”
จูหยวนจื่อย่อมรู้ว่าจี้หยวนแทรกปราณวิญญาณเข้าสู่ขนนก ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็มีความร้อนแผ่ออกมา แต่ถ้าบอกว่ามองความพิเศษอื่นออกหรือไม่กลับไม่มี เขาจึงเลยส่ายหน้ากล่าวตามความเป็นจริง
“นอกจากมีความร้อนแผ่ออกมาแล้ว อย่างอื่นกลับไม่พบอะไร ท่านจี้มองอะไรออกหรือ”
จี้หยวนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมอยู่บ้าง
“ปราณปีศาจ ปราณปีศาจเข้มข้นชวนประหวั่นอย่างยิ่ง…”
จี้หยวนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสริมอีกประโยค
“คาบเกี่ยวระหว่างความแท้เทียม”
“ปราณปีศาจ?”
จูหยวนจื่ออึ้งงันเล็กน้อย จ้องขนนกเขม็งอีกครั้ง เมื่อครู่มีปราณปีศาจหรือ ระหว่างความแท้เทียม?
การตอบสนองของจูหยวนจื่อไม่เหนือการคาดเดาของจี้หยวน ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขาตื่นตระหนกเกินไป รบกวนการตัดสินใจอยู่บ้าง ตอนนี้คิดแล้วก็เข้าใจ ความจริงปราณปีศาจนี้ไม่มีอยู่จริง หากแต่อยู่เพียงระดับ ‘เจตจำนง’
ด้วยจี้หยวนมีตาทิพย์พิเศษ กอปรกับเขตแดนไม่ธรรมดา ดังนั้นยามขนนกปีศาจถูกกระตุ้นจึงเกิดปราณปีศาจน่ากลัวนั่น แต่ใช่ว่าเป็นภาพลวงตาของจี้หยวน
จูหยวนจื่อรู้ว่าจี้หยวนไม่หลอกเขาแน่ แต่เขาใช้ทุกวิธีมาสำรวจ ทั้งยืมขนนกจากมือจี้หยวนมาแทรกพลังปราณวิญญาณเพื่อสัมผัส แต่ยังคว้าน้ำเหลว ทดลองอยู่นานจนยอมแพ้
จูหยวนจื่อส่งขนนกคืนจี้หยวนก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ท่านรู้หรือไม่ว่านี่คือขนนกของสัตว์ปีศาจอะไร”
ความจริงคำตอบของคำถามนี้ยังไม่อาจระบุ แม้ว่าในใจจี้หยวนมีข้อสันนิษฐานบ้าบิ่นอย่างหนึ่ง แต่ยังเป็นแค่การคาดเดา
“เรื่องนี้ไม่อาจทราบ อาจเป็นแค่สัตว์ประหลาดที่มีพลังพรสวรรค์ไม่ธรรมดา หรือ…”
สายตาจี้หยวนมองแสงอรุณส่องประกายเนิบช้าอีกครั้ง จูหยวนจื่อมองตามสายตาเขาไป แต่ฝ่ายหลังไม่ได้คิดมากความ แค่คิดว่าจี้หยวนมองแสงอรุณตามจิตใต้สำนึกเท่านั้น
“ข้าอาจคิดมากไป สรุปคือขนนกนี้ไม่ธรรมดาเหมือนภายนอก ข้าคนแซ่จี้ยังต้องวิเคราะห์ดีๆ”
ความจริงจี้หยวนอยากใช้เพลิงสมาธิมาลองเผาขนนกนี้มาก แต่ขนนกมีแค่เส้นเดียว ถ้าขนนกทนไม่ไหวถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน เขาจะไปหาเส้นที่สองจากไหนเล่า
แต่หนึ่งในองค์ประกอบของเพลิงสมาธิคือเพลิงเร้นหยาง ถ้าใช้เพียงอย่างเดียวย่อมเทียบเพลิงยอดหยางในตำนานไม่ได้ แต่หากอาศัยพลังเพลิงสมาธิอันสมบูรณ์แปลงเป็นยอดหยาง ไม่แน่ว่าอาจคล้ายคลึง
‘ลองดูดีหรือไม่… แต่ถ้าโดนเผาก็หมดกัน…’
ก่อนจะหาวิธีเหมาะสมกว่าได้ สติปัญญาทำให้จี้หยวนลังเลต่อไปเช่นนี้
เสียงกังวานดังมาแต่ไกล ผู้ฝึกปราณบนเรือรวมถึงจี้หยวนต่างมองไปตามเสียง ชั้นเมฆที่ห่างไกลมีเงามังกรทอดยาวตัวหนึ่งกำลังม้วนตัว
“มังกรคำราม? มังกรเจียว?”
เรือเหาะไม่คิดเปลี่ยนทิศทาง ล่องบนชั้นเมฆเป็นทางตรง มังกรเจียวตรงนั้นยังม้วนตัวเหนือเมฆ ส่งเสียงคำรามเป็นระลอก ยามอยู่ใกล้ที่สุดระยะห่างจากกันไม่ถึงร้อยจั้ง
มังกรเจียวตัวนั้นยาวประมาณสิบกว่าจั้ง ตัวหนาราวโอ่งใบใหญ่ กรงเล็บทั้งสี่คว้าเมฆหมอก แต่เหมือนคว้าไม่โดน
“โฮก…”
เปรียบเทียบกับเรือเหาะจวนเร้นจิต เห็นชัดว่ามังกรเจียวนี้ตัวเล็กจ้อยมาก คนบนเรือต่างมองมังกรเจียวตัวนี้ บ้างสงสัย บ้างตกตะลึง บ้างหวาดกลัว
มังกรเจียวตัวนั้นมองเรือเหาะเซียนซึ่งใบเรือทองอร่ามลำนี้เช่นกัน มังกรเจียวรู้ว่าเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้
“อาจารย์ มังกรเจียวตัวนั้นกำลังทำอะไร เหตุใดม้วนตัวคำรามเหนือชั้นเมฆตลอด”
มีผู้ฝึกปราณถามผู้อาวุโสของตนเช่นนี้
“น่าจะกำลังหาคู่ มีคำกล่าวว่ามังกรเปี่ยมตัณหา แม้ว่าไม่สามารถใช้มาตรฐานเดียวกันมาเหมารวมมังกรเจียวทุกตัวได้ แต่ในบรรดาปีศาจมังกรสนใจเรื่องการหาคู่และเสพสุขทั่วทิศจริงๆ อืม ทั้งชอบเพิ่มจำนวนประชากรเช่นกัน ความจริงเผ่ามังกรรุ่งเรืองด้วยเหตุนี้”
“อ้อ…”
ห่างไปไม่ไกลเสียงศิษย์อาจารย์แปลกหน้าดังมา จี้หยวนยิ้มอย่างอดไม่ได้ ในใจคิดว่านั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่เคยเจอปีศาจวัวตัวหนึ่ง ในเผ่าปีศาจไม่พูดถึงผู้ชอบเสพสุขอันดับหนึ่ง แต่เจ้าวัวน่าจะติดสามอันดับแรก
“สหายยุทธ์ทุกท่านโปรดระวัง เส้นทางข้างหน้าซึ่งเรือเหาะเคลื่อนผ่านคือสถานที่เปี่ยมมรสุม โปรดอย่าออกจากรัศมีการคุ้มกันของค่ายกลเรือเหาะ”
ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตสื่อจิตบอกทั่วเรือเหาะ แจ้งเตือนภัยซึ่งอาจเกิดขึ้นได้
แผนที่ทั่วหล้าในปัจจุบันไม่ได้นิยามโดยเทพเซียน แต่มาจากเผ่ามังกร
หลายปีก่อนนอกจากพื้นที่มรสุมกับทะเลคลั่งบางแห่ง อาณาเขตอื่นค่อนข้างคลุมเครือ ทั้งบางครั้งยังมีเผ่ามังกรลงมือกันเพราะเขตการปกครอง
ดังนั้นประมาณหนึ่งพันกว่าปีก่อน เหล่าเจินหลงในสี่คาบสมุทรกว้างใหญ่รวมตัวกันแบ่งเขตแดน สถานที่ซึ่งเรือเหาะจวนเร้นจิตใกล้แล่นผ่านตอนนี้ แน่นอนว่าคือทะเลตะวันออก
ทวีปเมฆาเรียกว่าเป็นแดนตะวันออก ทั้งหมดล้อมรอบด้วยทะเลตะวันออกกว้างใหญ่ ถึงตอนนี้อาณาจักรเลียบชายฝั่งทวีปเมฆาแต่ละแห่ง หากไม่เรียกน่านน้ำว่ามหาสมุทรก็เรียกว่าทะเลตะวันออก เห็นชัดว่าบางอาณาจักรไม่อยู่ทางตะวันออกแต่กลับเรียกเช่นนี้ ด้วยถ่ายทอดมาจากความทรงจำแต่เก่าก่อน
ส่วนอาณาเขตที่เรือเหาะใกล้ข้ามผ่านตอนนี้ก็คือเขตน่านน้ำแห่งหนึ่งซึ่งลมมรสุมปั่นป่วน เมื่อคนบนเรือมองไกลออกไป เบื้องหน้าแทบอึมครึมทั้งแถบ คลื่นสูงกว่าน่านน้ำทั่วไป น้ำทะเลดูขุ่นมัวเช่นกัน
เรือเหาะลดความสูงลงทีละน้อย ไม่นานท้องเรือก็สัมผัสผิวทะเล เปลี่ยนจากลอยกลางอากาศเป็นล่องบนผืนทะเล
วู้ม… วู้ม… วู้ม…
สายลมโดยรอบปั่นป่วนขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงลมแฝงความมุ่งมั่น แสงเจิดจ้ามากมายรอบเรือเหาะส่องสว่างขึ้นมา คล้ายไข่มหึมาสีรางเลือนใบหนึ่ง เมื่ออยู่กลางทะเลคลั่งมืดครึ้มแถบนี้แล้วสะดุดตาเป็นพิเศษ
ซ่า… ซ่า…
รอบตัวเรือคลื่นยักษ์ท่วมฟ้า เรือเหาะสั่นสะเทือนขึ้นลง แต่รัศมีการสั่นสะเทือนกลับเป็นจังหวะ อย่างมากแค่กระเพื่อมขึ้นลงไม่สั่นคลอนทั่วทิศ แม้ไม่อาจพูดว่าบนเรือไม่มีความรู้สึกสักนิด แต่ยังราบเรียบมาก แม้แต่น้ำแกงในโรงเตี๊ยมยังไม่หกออกมา
ตอนนี้คนธรรมดามากมายล้วนกลับเข้าห้องของตน แต่เหล่าผู้ฝึกปราณยังยืนมองบนดาดฟ้า จี้หยวนก็คือหนึ่งในนั้น
ความจริงชาตินี้เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของตนนัก ดังนั้นต่อให้พลังปราณตอนนี้ต้านมรสุมได้ก็เข้าหาลมพายุน้อยมาก ทั้งไม่มีทิวทัศน์งามอะไร ซ้ำไม่ต้องอาศัยลมพายุมาฝึกปราณเหมือนคนอื่น
แต่ตอนนี้มองบนเรือถือว่าไม่เสียหาย พลังของเรือเหาะข้ามแดนน่าอัศจรรย์ดังคาด ยามแล่นล่องมรสุมซ้ายขวาหน้าหลังของตัวเรือถูกพลังไร้รูปแหวกออก กลับสู่ความเสถียร ผืนทะเลกระเพื่อมไหว คลื่นทะเลซัดท้องเรืออยู่ตลอด
ล่องเรือเช่นนี้มาจนถึงคืนที่สอง ทะเลโดยรอบมืดสลัวไร้ขอบเขต
ฮูม… ซ่า…
ครืน…
นอกจากมรสุมปั่นป่วนกับคลื่นทะเลท่วมฟ้าแล้ว ตอนนี้พายุฝนยังกระหน่ำ อสนีบาตสาดส่องผืนทะเลมืดสลัวอยู่ตลอด
แสงดาวบนฟ้าถูกบดบังสิ้น เรือเหาะแล่นล่องกลางลมพายุอย่างเดียวดาย
จี้หยวนยืนตรงท้ายเรือลำพัง มองพายุอสนีกลางมรสุมปั่นป่วน พายุอสนีนี้ไม่ธรรมดา ดังนั้นเมฆอสนีจึงไม่ถูกมรสุมบดขยี้ แต่กลิ่นอายอสนีกลับไม่ถือว่าพิเศษเกินไป
“โฮก…”
เวลานี้เสียงมังกรคำรามพลันดังมาจากด้านหลังเรือที่ห่างออกไป ด้วยทักษะการฟังซึ่งผ่านหูแล้วไม่ลืมเลือนของจี้หยวน เขาแยกออกทันทีว่าคือมังกรเจียวหาคู่ก่อนหน้านี้
“โฮก… โฮก…”
ครืน…
วู้ม…
เสียงอลหม่านนานัปการกลางมรสุมตัดสลับกัน ทั้งมีเสียงอสนีบาตกับเสียงร้องประหลาดด้วย
“โฮก…”
เสียงมังกรคำรามเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผู้ฝึกปราณไม่น้อยบนเรือเหาะมารวมตัวตรงดาดฟ้าท้ายเรือ ทอดมองมรสุมบดบังสายตากับการรับรู้ซึ่งอยู่ห่างไกล
“มังกรเจียวตัวเมื่อครู่หรือ”
“เหมือนจะใช่ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“คล้ายมีเสียงต่อสู้ด้วย!”
“หรือการหาคู่ดึงดูดมังกรเพศผู้ตัวอื่นมาประชันด้วย”
เสียงวิจารณ์เช่นนี้ดังไม่ขาดหู จี้หยวนกลับมองไปด้านหลังอย่างเคร่งขรึม จูหยวนจื่อก็เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีชายชราผมดำกับผมขาวสองคนอยู่ไม่ห่างจากจูหยวนจื่อ สีหน้าจริงจังเช่นเดียวกัน ชายชราผมดำคนนั้นกล่าวกับผู้คนโดยรอบ
“มังกรเจียวตัวนั้นเหมือนเจอปัญหาใหญ่แล้ว”
แน่นอนว่าจี้หยวนฟังความรู้สึกจากเสียงเช่นนี้ออก ด้วยติดต่อกับเผ่ามังกรมาไม่น้อย เขาถึงขั้นฟังออกว่าเสียงมังกรคำรามเหมือนวัวร้องเช่นนี้คล้ายเสียงร้องโหยหวน
ยามผู้ฝึกปราณบนเรือเหาะมองไปด้านหลัง มังกรเจียวซึ่งเดิมจมสู่ความสิ้นหวังพลันพบแสงเซียนกลางความคลุมเครือ เขานึกถึงยานข้ามแดนที่ผ่านไปก่อนหน้านี้ทันที
“ข้าคือมังกรเจียวแดงบริวารประมุขมังกร เหล่าเซียนเบื้องหน้าช่วยข้าด้วย! เซียนทุกท่านช่วยข้าด้วย! อึก… โฮก…”
เสียงร้องโหยหวนของมังกรเจียวดังมา ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณบนเรือเหาะอึ้งงันเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่ามังกรเจียวจะขอความช่วยเหลือจากพวกเขา
คนอื่นกำลังพิจารณา แต่จี้หยวนไม่ลังเลมากนัก แม้ว่าประมุขมังกรไม่ได้มีแค่มังกรเฒ่าตัวเดียว แต่ถ้าใช่เล่า! เขาสะบัดมือไปข้างหน้าเบาๆ กระบี่เครือเขียวเผยตัวด้านหลังรางๆ วาบผ่านไปทั้งอย่างนั้น พุ่งห่างจากท้ายเรือไป
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณชราสองคนซึ่งห่างไปไม่ไกลตกใจ ยามสบตายังเห็นความตกตะลึงของอีกฝ่าย
‘กระบี่เซียน?’
ฟุ่บ…
แสงกระบี่เจิดจ้าตัดผ่านแสงอสนี ครู่ต่อมามรสุมกับผืนทะเลด้านหลังเรือเหาะแบ่งเป็นสองฟาก กลายเป็นกำแพงลมทะเลตระการตา คล้ายกระแสลมกับน้ำทะเลไร้ขอบเขตตวัดม้วนไปสองข้าง
ชิ้ง…
พริบตาต่อมาเสียงกระบี่ครวญสะท้อนกลับมาแต่ไกล