เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 472 อะไรนะ นำมากินหรือ
ตอนที่ 472 อะไรนะ นำมากินหรือ
ผู้ฝึกปราณคนนั้นหลุดปากพูดว่าอาจารย์ตามจิตใต้สำนึก แต่ระยะห่างเท่านี้จี้หยวนพอได้ยินแล้ว จึงทำให้จี้หยวนมองเขาคราหนึ่ง แต่กลับไม่สนใจ จดจ่อกับปลาใหญ่ตรงหน้าต่อ
พึ่บพั่บๆๆๆ…
เห็นชัดว่าปลาใหญ่ถูกจี้หยวนยกพ้นน้ำ แต่หางยังสะบัดรุนแรงจนเกิดมวลน้ำมากมาย แสงหลายสายล้อมรอบปลาใหญ่ ขณะเดียวกันยังชักนำน้ำทะเลมา คล้ายแสงวารีติดหางปลา เป็นตายอย่างไรก็ยกไม่ขึ้น ทำการต่อต้านเป็นครั้งสุดท้าย
ผืนทะเลโดยรอบนอกจากละอองน้ำสาดกระเซ็น ถึงขั้นมีการเปลี่ยนแปลงของความสว่างมืดมิด จี้หยวนไม่สังเกตชั่วขณะ การยกเบ็ดครั้งแรกกลับดึงปลาไม่พ้นน้ำ กลายเป็นว่าถูกมันลากกลับไป
ตู้ม…
ปลาใหญ่พุ่งลงน้ำอีกครั้ง แรงดึงส่งผ่านมาตามคันเบ็ด ทำให้ตัวจี้หยวนเซไปข้างหน้าเล็กน้อย สายเบ็ดผ่อนลงชั่วพริบตา ปล่อยปลาใหญ่ดึงเบ็ดว่ายไปยังส่วนลึกก้นสมุทร
แม้ว่าผู้ฝึกปราณเหยียบสายลมเย็นตรงนั้นยังร้อนรน แต่ตอนนี้กลับไม่พูดจา สัญชาตญาณบอกเขาว่าผู้ฝึกปราณชุดเขียวถือคันเบ็ดเขียวขจีตรงหน้าคนนั้นจัดการได้ ไม่แน่ว่าเดิมทีอาจรู้จักปลาวิญญาณใต้ทะเลคันฉ่องแห่งนี้เป็นอย่างดี
สิ่งที่จี้หยวนไม่เคยขาดก็คือความอดทน เขาคอยโก่งเบ็ดตลอด แน่นิ่งไม่ขยับมาครึ่งชั่วยาม ทั้งยังเพิ่มพลังอสนีทีละน้อย ขอเพียงติดเบ็ดแล้ว มันย่อมสลัดไม่พ้น
“กินเมล็ดพุทราแล้วยังคิดหนีหรือ”
จี้หยวนยิ้มพลางโคจรพลังผ่อนหนักผ่อนเบา คันเบ็ดเขียวขจีโก่งงอ ภายใต้การขับเน้นของลำแสงโดยรอบแสงธรรมบนสายเบ็ดใยไหมดูคลุมเครืออย่างยิ่ง ทุกครั้งยามส่องสว่างเล็กน้อยจะมีกลิ่นอายอสนีวาบผ่าน
วิธีการตกปลาเช่นนี้ทำให้ทุกครั้งยามปลาใหญ่สีทองซึ่งเดิมเปี่ยมแรงกำลังมหาศาลดิ้นรนจะมีเสียงอสนีฝนตกกระหน่ำ กอปรกับเอกลักษณ์คันเบ็ดบนมือจี้หยวนและทักษะส่วนตัว นานเข้าวิธีรับมือกับการดิ้นรนของปลาใหญ่ยิ่งแคล่วคล่องดังใจนึก
ทั้งมีประสบการณ์ก่อนหน้านี้ คราวนี้จี้หยวนจึงจัดการอย่างมีแบบแผนมากขึ้น
สุดท้ายชั่วพริบตายามปลาใหญ่ออกแรงช่วงหางดีดตัวกลับลงน้ำอีกครั้ง จี้หยวนพลันเพิ่มแรง ดึงคันเบ็ดจนเป็นทรงจันทร์เสี้ยวชั่วพริบตา นอกจากมือขวากุมคันเบ็ดแน่นแล้ว มือซ้ายยังกระหวัดนิ้วดีดคันเบ็ดเบาๆ
ป๊อก…
เสียงกระจ่างเกิดจากการสัมผัสระหว่างปลายนิ้วกลางข้างซ้ายของจี้หยวนกับคันเบ็ด แสงคลื่นชัดเจนสายหนึ่งสั่นสะเทือนบนตัวคันเบ็ด ต่อมาแรงสะเทือนทอดยาวจากคันเบ็ดไปยังสาย ลากยาวไปถึงปลาใหญ่เบื้องล่าง
ซ่า…
การเชื่อมต่อของหางปลาสีทองกับทะเลคันฉ่องข้างล่างแยกกันชั่วขณะ ดวงตาจี้หยวนวาววาบ เหวี่ยงคันเบ็ดอีกครั้งทันที เหวี่ยงปลาใหญ่สีทองยาวสองสามฉื่อตัวนี้ขึ้นฟ้า
จากนั้นจี้หยวนส่งต่อคันเบ็ดมาทางมือซ้ายอย่างรวดเร็ว สะบัดแขนขวาขึ้นสู่ฟากฟ้า ความรู้สึกเหมือนแขนเสื้อคลุมนภาเกิดขึ้นในใจผู้สังเกตการณ์ ต่อมาปลาใหญ่กลางอากาศถูกจี้หยวนเก็บเข้าแขนเสื้อ ตัดจุดเชื่อมต่อระหว่างมันกับทะเลคันฉ่อง
“ท่านจี้ ปลาเล่า”
เว่ยหยวนเซิงเห็นคันเบ็ดว่างเปล่าจึงถามด้วยความสงสัย เมื่อครู่การเคลื่อนไหวของจี้หยวนรวดเร็วเกินไป เขามองไม่ชัดอยู่บ้าง แต่เหมือนว่าถูกแขนเสื้อจี้หยวนดูดเข้าไป
“อยู่ที่นี่”
จี้หยวนสะบัดแขนขวา เหวี่ยงปลาใหญ่สีทองลงบนดาดฟ้า ขณะเดียวกันยังใช้น้ำคลุมตัวมันชั้นหนึ่ง
“นี่… ไม่ใช่ปลา ไม่ถูกสิ ข้าหมายความว่าไม่ใช่ปลาธรรมดา”
อย่างน้อยเว่ยหยวนเซิงก็ก้าวเข้าสู่หนทางการฝึกปราณที่ถูกต้อง ไม่นานย่อมมองความพิเศษของปลาใหญ่สีทองตัวนี้ออก จี้หยวนได้ยินแล้วพยักหน้าเล็กน้อย แต่ยามเขาคิดจะเอ่ยวาจา คนตกปลาก่อนหน้านี้ซึ่งเหยียบสายลมเย็นมาถึงรัศมีเรือเหาะ คนยังไม่โรยตัวลงบนดาดฟ้า แต่เสียงกลับดังมาแล้ว
“แน่นอนว่าไม่ใช่ปลาธรรมดา ปลานี้มีแค่ในทะเลคันฉ่อง เรียกว่าปลาเกล็ดทองวารีแก้ว แม้ว่าเป็นสิ่งที่ควบรวมจากแก่นวารี แต่กลับแรงเยอะแข็งแกร่งยิ่ง หากอยู่กลางทะเลคันฉ่องย่อมมีแรงไม่สิ้นสุด ตกขึ้นมาจากน้ำยากมาก”
จี้หยวนมองด้านข้าง คนผู้นั้นรีบประสานมือคารวะจี้หยวน
“อาจารย์เตรียมตัวมาก่อน ไม่ทราบว่าใช้อภินิหารหรือวิชาอัศจรรย์อะไร ไม่เกินครึ่งชั่วยามถึงกับตกปลาเกล็ดทองพ้นน้ำได้ ปีก่อนข้าตกได้ตัวหนึ่ง ปล่อยมันลากเรือเล็กรอบทะเลคันฉ่องเก้าวันสิบคืนกว่าจะเอาชนะมัน กระทั่งดึงพ้นจากน้ำได้!”
ขณะกล่าวคนผู้นี้ยังมองคันเบ็ดจี้หยวนโดยละเอียด พบว่าตรงเบ็ดตกปลามีเมล็ดประหลาด กลิ่นหอมเลือนรางแผ่ออกมา
“อ้อ ปลาเกล็ดทองวารีแก้ว ชื่อเพราะนัก!”
เว่ยหยวนเซิงพยักหน้าอยู่ด้านข้าง ย่อตัวลงมองปลาใหญ่ยาวสองสามฉื่อตัวนี้โดยละเอียด แม้ว่าปลาตัวนี้แน่นิ่งไม่ไหวติง แต่ยังอ้าปากปิดปากอยู่
จี้หยวนขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า คิ้วกระบี่เนตรดาราท่าทางผ่าเผย ไม่มีหนวดเครามวยผม สวมชุดยาวสีฟ้าค่อนข้างหลวม รูปร่างถือว่าสมส่วน
“สหายยุทธ์ท่านนี้ คำว่าอาจารย์ไม่อาจเรียกกันเล่นๆ”
“ข้าเข้าใจ คำว่าอาจารย์ย่อมไม่อาจเรียกกันเล่นๆ ดังนั้นข้าไม่ได้พูดเล่น! ข้าน้อยลู่หมิน ผู้ฝึกปราณหอสมุทรเร้นคันฉ่อง ยินดีกราบสหายยุทธ์เป็นอาจารย์!”
ผู้มาเยือนเก็บรอยยิ้ม คารวะจี้หยวนอย่างจริงจังยิ่ง แต่คราวนี้จี้หยวนก้าวเฉียดข้างกายจากไป
“ท่านเป็นผู้ฝึกปราณหอสมุทรเร้นคันฉ่อง กราบคนอื่นเป็นอาจารย์ตามใจไม่ละเมิดข้อห้ามหรือ ต่อให้อาจารย์ท่านเห็นชอบ แต่ข้าคนแซ่จี้ไม่เห็นด้วย”
ผู้ฝึกปราณคนนั้นยิ้มเบิกบาน
“ท่านพูดเองนะ ใช่ว่าข้าไม่กราบท่านเป็นอาจารย์ แต่ท่านไม่รับศิษย์อย่างข้า อย่ากลับคำเล่า!”
จี้หยวนทั้งสบอารมณ์ทั้งขบขัน
“วางใจเถอะ ข้าคนแซ่จี้ไม่กลับคำ!”
เห็นชัดว่าลู่หมินเป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่ ถ้าต้องมีอาจารย์เพิ่มเพราะเรื่องนี้จริงคงโง่เกินไปแล้ว
“เช่นนั้นก็ดีๆ จริงสิ ขอถามชื่อเสียงเรียงนามของสหายยุทธ์ บอกได้หรือไม่ว่าตกขึ้นมาอย่างไร เดิมปลาตัวนี้เป็นภูตวารี อาศัยแสงทะเลคันฉ่องเป็นพลังได้ การตกขึ้นมาต้องรอมันเหนื่อยล้าหรือหมดแรง”
จี้หยวนคารวะเล็กน้อย
“ข้าน้อยจี้หยวน ไร้สำนักไร้สังกัด”
จากนั้นจี้หยวนชี้สายเบ็ดพลางกล่าว
“ข้าคนแซ่จี้ใช้วิชาอสนีทำให้ตัวมันชา ไม่อาจรวมพลังวิญญาณวารีทะเลสงบ สุดท้ายจึงดีดคันเบ็ดระเบิดปราณอสนีในตัว ก่อนดึงมันขึ้นมา”
“วิชาอสนี?”
ผู้มาเยือนอึ้งงันครู่หนึ่ง
“วิชาอสนีใช้กับปลาเกล็ดทองไม่ได้ผล กลับกลายเป็นว่ากระตุ้นความดุร้ายของมัน ท่านใช้วิชาอสนีอะไร”
จี้หยวนไม่คิดอธิบายมากความ เขากล่าวตอบลอยๆ
“เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่ท่าน”
“เชื่อๆๆ ด้านการตกปลาท่านมีคุณสมบัติเพียงพอจะเป็นอาจารย์ข้า แน่นอนว่าข้าต้องเชื่อ แหะ มิสู้สหายยุทธ์ถ่ายทอดวิชาอสนีนั้นให้ข้าหน่อย ข้าจะบอกวิธีหลอมปลาเกล็ดทองวารีแก้วกับสหายยุทธ์แทนการแลกเปลี่ยนเป็นอย่างไร”
จี้หยวนสนใจว่าควรหลอมปลาเกล็ดทองตัวนี้อย่างไรอยู่บ้างจริงๆ แต่ความสนใจในการถ่ายทอดวิชาอสนีกลับไม่มีสักนิด เทียบกับการหลอมเกล็ดทองกลับเป็นแก่นวารี จี้หยวนยังมีความคิดอื่นอีก
ก่อนหน้านี้จี้หยวนโก่งเบ็ดมาครู่หนึ่ง มีคนไม่น้อยสนใจนานแล้ว ตอนนี้ต่างล้อมเข้ามา ทั้งมีคนรู้จักปลาตัวนี้
“ได้ยินว่าใต้ทะเลคันฉ่องมีภูตวารีชนิดหนึ่ง แปลงกายเป็นปลาเกล็ดทอง ถือเป็นของหายากอย่างยิ่ง”
“นั่นก็คือปลาตัวนี้กระมัง”
“น่าจะใช่สักแปดส่วน!”
“ใต้ทะเลคันฉ่องคงไม่มีปลาธรรมดากระมัง”
“ไม่แน่…”
คนอื่นกล่าววิจารณ์อยู่ด้านข้าง จี้หยวนยื่นมือจับปากปลา หิ้วปลาใหญ่ตัวนี้ขึ้นมา สำรวจมองตั้งแต่หัวจรดหางเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามผู้ฝึกปราณหอสมุทรเร้นคันฉ่องคนนั้น
“ปลาตัวนี้มาจากทะเลคันฉ่อง ถือเป็นของหอสมุทรเร้นคันฉ่องกระมัง ข้าคนแซ่จี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายแลกสิ่งนี้หรือไม่”
สิ่งที่เขาตกขึ้นมาไม่ใช่ปลาธรรมดา ไม่ว่าอย่างไรก็ควรถาม ใช่ว่านำไปทั้งอย่างนี้
“อ้อ ไม่ต้อง ในเมื่ออนุญาตให้ท่านตกแล้ว ไหนเลยจะมีหลักการเรียกค่าใช้จ่ายเมื่อตกขึ้นมาได้ สหายยุทธ์พิจารณาข้อเสนอของข้าสักหน่อย ข้าคนแซ่ลู่รักษาคำพูดตลอด มีความจริงใจอย่างยิ่ง!”
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย แต่กลับไม่สนใจลู่หมิน ยิ้มกล่าวกับเว่ยหยวนเซิงที่อยู่ด้านข้าง
“คืนนี้พวกเรามีลาภปากแล้ว”
รอยยิ้มที่เพิ่งปรากฏบนหน้าเว่ยหยวนเซิงถูกเสียงตะโกนด้านข้างทำให้ตกใจจนผลุบกลับไปทันที
“อะไรนะ! กิน!? สหายยุทธ์… ไม่ อาจารย์! ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่”
ครึ่งประโยคแรกยังตกตะลึงถึงขีดสุด ครึ่งประโยคหลังกลับเปลี่ยนประเด็น กลายเป็นนุ่มนวลเปี่ยมความคาดหวังทันที
“ข้าไม่เคยเห็นใครนำปลาเกล็ดทองวารีแก้วมากิน ทั้งไม่เคยชิมมาก่อน ข้าลองชิมด้วยได้หรือไม่”
เดิมไม่มีความคิดสนใจคนผู้นี้ จี้หยวนถือปลาพาเว่ยหยวนเซิงสาวเท้าจากไป เดินไปตรงทางเข้าโถงเรือเหาะ
การหลอมปลาตัวนี้เป็นแก่นวารีอาจมีมูลค่ามากที่สุด แต่จี้หยวนเห็นปลาตัวนี้แล้วนึกถึงน้ำแกงปลาภูตวารีเมื่อตอนนั้น รสชาติน้ำแกงปลาตอนนั้นจนปัจจุบันยังคิดถึงคะนึงหา ปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ นำมาราดน้ำแดงหรือทำเป็นปลาย่างย่อมเลิศรส
ตอนนี้จี้หยวนตั้งใจนำปลามาทำอาหาร แน่นอนว่าย่อมคงสภาพปลาไว้ ไม่ถึงขั้นแปลงเป็นน้ำแกงปลาอย่างเดียว
จี้หยวนไม่สนคนอื่น แต่ห้ามคนอื่นดึงดันไม่ไปไม่ได้ เรือเหาะนี้เป็นของจวนเร้นจิต อาณาเขตเป็นของหอสมุทรเร้นคันฉ่อง ไม่อาจไล่อีกฝ่ายไปกระมัง
จำต้องพูดว่าลู่หมินหน้าหนาจริงๆ แต่ตามโดยไม่ปากมากอีก ยามจี้หยวนกับเว่ยหยวนเซิงมองเขา อีกฝ่ายยิ้มรับเล็กน้อย แต่ไม่สนว่าจี้หยวนขมวดคิ้วเท่าไหร่ แววตาเว่ยหยวนเซิงรังเกียจแค่ไหน เขาล้วนไม่ยอมไป
ตามตลอดทางจนถึงนอกเรือนรับรองเขาล้อมหยก จี้หยวนกับเว่ยหยวนเซิงก้าวเข้าไป ยามลู่หมินที่ตามมาคิดเข้าไปด้วย เว่ยหยวนเซิงซึ่งเข้ามาก่อนก้าวหนึ่งมือไว ปิดประตูเรือนดังปึง
เมื่อประตูเรือนปิดแล้ว ค่ายกลเรือนเล็กย่อมทำงาน ลู่หมินถูกทิ้งอยู่นอกเรือนเช่นนี้
“เฮ้… สหายยุทธ์จี้… สหายยุทธ์น้อยท่านนั้น… ไม่นะ! สหายยุทธ์จี้ ข้ากราบท่านเป็นอาจารย์ก็ได้ ขอข้าลองชิมด้วย!”
ลู่หมินรู้จักตัวเองเกินไปแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาตกปลาเกล็ดทองได้ ไม่พูดถึงว่าตนไม่อาจตัดสินใจเอง ต่อให้ตัดสินใจเองได้ เขาย่อมเสียดายนำมากินไม่ลง แต่การกินของคนอื่นไม่ปวดใจ เขาจึงเปี่ยมด้วยความคาดหวัง