เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 491 ยังพูดไม่ถึงสองคำเลย
ตอนที่ 491 ยังพูดไม่ถึงสองคำเลย
……………………………………………………………………..
ชาวบ้านในเมืองหลวงต้าซิ่วแทบเคยไปศาลหลักเมืองทุกคน ไม่ว่าใครล้วนเคยไปจุดธูปที่นั่น แม้ไม่น่ามีใครจำใบหน้าของเทพหลักเมมืองได้ ทว่าต้องจำการแต่งกายของเทพหลักเมืองได้อย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแสงเทพเรืองรองบนกายเทพหลักเมืองในตอนนี้
“เทพหลักเมือง!”
“นี่คือเทพหลักเมืองหลวง”
“เป็นเทพหลักเมืองจริงๆ!”
“วันก่อนข้าเพิ่งไปที่ศาลหลักเมือง เทพหลักเมืองแต่งกายแบบนี้เลย!”
“แล้วทำไมจู่ๆ เทพหลักเมืองมาเล่า!”
“ดูเหมือนท่านเซียนผู้นั้นเชิญมา…”
“เชิญ เชิญ?”
นายทหารเหล่านั้นล้วนมองเห็นชัดเจน นั่นเรียกว่าเชิญได้ที่ไหนกัน ถูกเรียกมาต่างหาก
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย เฉียวหย่งที่มากับจี้หยวนและขอทานชราอ้าปากค้าง ตื่นตกใจจนยากจะปิดบังไปเรียบร้อย
ราชวงศ์ต้าซิ่วไม่ใช่อาณาจักรเล็กๆ เมืองหลวงย่อมมีประชากรมาก ในฐานะที่เป็นเทพหลักเมืองของเมืองหลวงราชวงศ์ต้าซิ่ว จึงมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับต้าซิ่ว แน่นอนว่ามีราชนิกูลต้าซิ่วตั้งกระถางธูปบูชา ดังนั้นพลังของเทพหลักเมืองล้ำลึกมาก เทพพิภพทั่วไปไม่อาจเทียบได้
เป็นเพราะตนเองรู้เรื่องนี้ดี เทพหลักเมืองในตอนนี้จึงยิ่งตื่นกลัว ความมึนงงและความรู้สึกเวียนศีรษะพริบตานั้น ถูกบีบให้ปรากฏตัวที่นี่ไม่ต่างกับการย้ายร่าง กอปรกับความรู้สึกในจิตวิญญาณเมื่อครู่ล้วนทำให้เทพหลักเมืองรู้ว่าเขาถูกผู้สูงส่งใช้ ‘วิชาคุมเทพ’ เรียกมาโดยตรง
แม้ปกติเคยชินกับความสูงส่ง แม้ในใจยากจะเชื่ออยู่บ้าง แต่หลังจากเทพหลักเมืองได้สติรู้ตัวแล้วไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว รีบโค้งกายคารวะขอทานชรากับจี้หยวน
“เทพหลักเมืองของเมืองหลวงนามฉู่ติ้ง คารวะท่านเซียนทั้งสอง!”
เทพหลักเมืองควบคุมความตระหนกในใจอย่างสุดกำลัง แต่วาจายังคงมีความตื่นเต้นเล็กๆ หลงเหลืออยู่ นั่นไม่อาจหลบพ้นความหูไวของจี้หยวน และนี่เป็นผลกระทบที่เขากับขอทานชราต้องการ
“อืม เทพหลักเมืองฉู่ ข้ากับท่านจี้ไม่มีเวลาว่างมาก นายทหารเหล่านี้บอกว่าเป็นเพราะโหรหลวงต้าซิ่วอยู่กับเจ้า ให้พวกข้ามาใหม่วันหลัง ข้าผู้ชราคิดแล้วว่าวันหน้าข้าต้องไม่อยู่เช่นกัน วันนี้พบกันสักครั้งดีที่สุด พวกข้าไม่รู้จักศาลหลักเมือง จึงต้องหาคนที่เหมาะสมช่วยพวกข้านำคำพูดไป”
ขอทานชราพูดอย่างจริงจังทีเดียว ไม่ได้มีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเคย แต่สิ่งที่พูดออกมาทำให้จี้หยวนที่อยู่ข้างๆ เกือบหัวเราะออกมา ผู้สูงส่งมรรคเซียนมักชอบใช้คำพูดห่างเหินเช่นนี้แหละ
เทพหลักเมืองฟังความนัยในคำพูดของขอทานชราออก จึงรีบกล่าวตอบว่า
“ข้าน้อยจะกลับศาลหลักเมืองเพื่อบอกใต้เท้าโหรหลวงทันที จริงสิ ท่านเซียนทั้งสองต้องการพบฝ่าบาทหรือไม่”
“ขอเทพหลักเมืองเชิญโหรหลวงมาเถอะ บอกว่าข้าจี้หยวนมาเยือน ปีนั้นที่ทะเลบูรพาข้าบอกให้ทูตอาวุโสเฉียวเล่าเรื่องนี้ หวังว่าโหรหลวงจะยังไม่ลืม”
คำตอบของจี้หยวนไม่ได้บอกชัดเจนว่าให้ฮ่องเต้มาหรือไม่ เพียงบอกว่าเชิญโหรหลวงมาโดยเร็ว
เทพหลักเมืองรีบตอบรับจี้หยวน
“ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ โหรหลวงยังไม่ลืมเรื่องนี้ เมื่อครู่ยังพูดถึงเรื่องนี้กับข้าอยู่เลย ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”
พูดแล้วเทพหลักเมืองก็ประสานมือให้พวกเขา
“ข้าน้อยขอตัวก่อน!”
จากนั้นเทพหลักเมืองก็หลายเป็นเงาลวงสายหนึ่ง จากไปยังนอกศาลหลักเมืองอย่างรวดเร็ว
เมื่อเทพหลักเมืองไปแล้ว ขอทานชราจึงยิ้มให้จี้หยวน
“ท่านจี้ ข้าผู้ชราไม่ได้ลงมือเกินไปกระมัง”
“พอดีแล้ว”
จี้หยวนพยักหน้าตอบ
ขอทานชรายิ้ม มองไปทางนายทหารที่เฝ้าประตูสำนักปรมาจารย์อยู่ ฝ่ายหลังตอบสนองว่องไวเช่นกัน รีบทำความเคารพ
“ท่านเซียนทั้งสอง พวกท่านมีตาหามีแววไม่ มองไม่ออกว่าผู้ใดเป็นเซียนจริง หวังว่าท่านเซียนทั้งสองจะให้อภัยด้วย!”
ตอนนายทหารทำความเคารพ ส่วนในของสำนักปรมาจารย์มีเสียงดังมา ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า เป็นผู้ฝึกปราณสวมชุดคลุมสามคน
เพราะการคุมเทพของขอทานชราก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกปราณที่กำลังฝึกปรืออยู่ในสำนักปรมาจารย์ถูกปลุกจากภวังค์ พวกเขาใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งมาที่หน้าประตู เห็นภาพที่นายทหารทำความเคาะจี้หยวนกับขอทานชราพอดี
“ท่านทั้งสองคือ”
พอผู้ฝึกปราณสามคนมองจี้หยวนกับขอทานชรา ต่างก็สัมผัสไม่ได้ว่าทั้งสองคนมีพลังหรือแสงเทพอะไรปรากฏ ทว่าพวกเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ อย่างน้อยก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
“ปรมาจารย์เซียนทั้งหลาย เมื่อครู่นี้ท่านเซียนสองคนเรียกเทพหลักเมืองมา ตอนนี้เทพหลักเมืองกำลังไปหาโหรหลวง…”
นายหทารเล่าความเป็นมาเป็นไปโดยคร่าว ทว่าผู้ฝึกปราณสามคนสนใจขั้นตอนการคุมเทพมากกว่า
“เรียกเทพหลักเมือง? มาที่นี่?”
สามคนสงสัยอยู่บ้าง จากนั้นคนที่ดูอายุน้อยหน่อยในกลุ่มพลันชะงัก เหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้ รีบคารวะจี้หยวนกับขอทานชรา
“ผู้อาวุโสทั้งสอง เชิญเข้ามาพักผ่อนข้างในก่อน ดื่มชาให้สบายใจสักหน่อย รอใต้เท้าโหรหลวงกลับมา!”
“เชิญทั้งสองท่านด้านใน!”
จี้หยวนมองเฉียวหย่ง
“ท่านเฉียว เข้าไปด้วยกันเถอะ”
“เอ่อ ได้ๆ!”
…
ขณะนี้ในศาลหลักเมืองของเมืองหลวงต้าซิ่ววุ่นวายไปหมด ในตำหนักใหญ่ของศาลหลักเมืองก่อนหน้านี้ เทพหลักเมือง ฮ่องเต้ต้าซิ่ว ไปจนถึงโหรหลวงอยู่ด้วยกัน
เดิมที่นี่เป็นการดื่มชาสนทนากัน หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับเรื่องงานชุมนุมเซียนพเนจร ฮ่องเต้ชราสนใจทูตที่ต้าซิ่วส่งออกไปมาก ว่าจะสามารถเข้าสู่งานชุมนุมเซียนพเนจรได้จริงหรือ
โหรหลวงกับเทพหลักเมืองล้วนรู้ว่าฮ่องเต้ชราคิดมากไป ไม่มีความเป็นไปได้นั้นอย่างแน่นอน ฝ่ายแรกโน้มน้าวฮ่องเต้แล้ว ทว่าอีกฝ่ายยังไม่วางใจจึงมาสอบถามเทพลักเมืองที่ศาลหลักเมือง
เทพหลักเมืองฉู่ติ้งจนใจเช่นกัน เอ่ยปากอธิบายว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมดูแลศาลมืดเมืองหลวงมาหลายปี จะมากจะน้อยนับได้ว่าเป็นเทพพิภพ มีลู่ทางหาข่าวคราวอยู่บ้าง งานชุมนุมเซียพเนจรเป็นงานชุมนุมของมรรคเซียน ราชนิกูลมนุษย์ยากนักจะ…”
ยังพูดไม่ทันจบดี ร่างมรรคของเทพหลักเมืองเลือนรงลงเล็กน้อย จากนั้นกลายเป็นหมอกควันหมุนวน สุดท้ายหายไปจากกลางตำหนักใหญ่
“ว่าอะไรนะ!?”
โหรหลวงลุกขึ้นยืนทันที
“เด็กๆ คุ้มกันฝ่าบาท!”
“คุ้มกันฝ่าบาท! คุ้มกันฝ่าบาท!”
องครักษ์ข้างกายฮ่องเต้ตื่นตัวขึ้นมา ยอดฝีมือจำนวนมาเข้ามาในตำหนักในพริบตาเดียว องครักษ์ข้างนอกก็ตึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน
“โหรหลวง เทพหลักเมืองเล่า ถูกปีศาจลักตัวไปหรือ”
ฮ่องเต้ชราเผยสีหน้าตระหนกเช่นกัน มองไปทางเหมินอวี้ทง โหรหลวงที่กำลังตื่นตกใจเช่นเดียวกัน
หากมองเห็นขอทานชราใช้วิชาคุมเทพต่อหน้า โหรหลวงต้องดูออก แต่ปัญหาคือดูวิชาคุมเทพออกไม่ได้หมายความว่าตอนวิญญาณเทพถูกเรียกไปเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาอึ้งงันอยู่บ้าง ที่มากกว่านั้นคือความเครียดเกร็ง
“ฝ่าบาทโปรดอย่าตระหนกไป มีกระหม่อมคนแซ่เหมินอยู่ที่นี่ รับรองว่าจะปกป้องพระองค์ให้ปลอดภัย คุ้มครองทุกคนให้พ้นภัย! ขอเทพศาลมืดทุดคนจงปรากฏตัว รวมคุ้มครองฝ่าบาทด้วยกัน!”
เจ้ากรมศาลมืดทุกคนปรากฏกาย ยิ่งมียมทูตดำติดตามมาด้วย
บรรยากาศตึงเครียดในศาลหลักเมืองดำเนินต่อไปครู่หนึ่ง ไม่นานนักบรรยากาศนี้ก็ถูกทำลายไป เพราะเทพหลักเมืองฉู่ติ้งกลับมาแล้ว เขารีบร้อนกลับมาตลอดทาง ถึงหน้าศาลแล้วถึงปรากฏกายอีกครั้ง จากนั้นเร่งฝีเท้าเดินดลับตำหนักหลักของศาลตนเอง
“ฝ่าบาท โหรหลวง!”
“เทพหลักเมืองฉู่ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ไยจู่ๆ เจ้าหนีไปเช่นนั้น”
ได้ยินโหรหลวงถามเช่นนี้ อีกทั้งเห็นสีหน้าของฮ่องเต้ชรากับโหรหลวง ฉู่ติ้งพลันส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรๆ ไม่ใช่ข้าหนีไป แต่ข้าถูกคุมตัวไปต่างหาก!”
“คุมตัวไป? หรือในเมืองหลวงของข้ามีปีศาจร้ายกาจมาเยือน”
ฮ่องเต้ชราพูดพร้อมสีหน้าตกใน ทว่าปฏิกิริยาของโหรหลวงมากยิ่งกว่านั้น
“หรือว่าเป็น…วิชาคุมเทพ!?”
เทพหลักเมืองพยักหน้า
“ถูกต้อง เป็นวิชาคุมเทพ คุมเทพหลักเมืองแห่งเมืองหลวงต้าซิ่วไปใช้งานต่อหน้า”
“วิชาคุมเทพคืออะไร ไอ้หยาโหรหลวง ท่านเทพหลักเมืองด้วย พวกเจ้าอย่าเล่นปริศนาคำทานเลย รีบบอกข้ามาเถอะ!”
เห็นฮ่องเต้ร้อนใจ โหรหลวงถึงรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ฝ่าบาทโปรดอย่าตื่นกลัว ความจริงข่าวนี้น่าตกใจอยู่บ้าง วิชาคุมเทพเป็นวิชาลี้ลับอัศจรรย์แขนงหนึ่ง ผู้ที่เป็นวิชาอัศจรรย์นี้บนโลกมีอยู่น้อยมาก ผู้มีอภินิหารเทพไม่อาจฝึกวิชาสำเร็จได้ ทว่าเทพหลักเมืองฉู่เป็นเทพหลักเมืองของเมืองหลวงต้าซิ่ว ตำแหน่งเทพไม่ต่ำต้อย คุมตัวเขาไปได้เช่นนี้ พลังฝึกปรือของอีกฝ่ายต้องยากจะประเมินได้อย่างแน่นอน!”
“จริงสิเทพหลักเมืองฉู่ เซียนที่ใช้วิชาคุมเทพอยู่ที่ไหน ได้กำชับอะไรหรือไม่ ไยเจ้ารีบกลับมาขนาดนี้”
เทพหลักเมืองฉู่มองโหรหลวง จากนั้นมองฮ่องเต้
“มีเซียนทั้งหมดสองท่าน ผู้ใช้วิชาคุมเทพเป็นเซียนในคราบขอทานชรา อีกคนหนึ่งดูแล้วงามสง่า สวมเสื้อสีเขียว เป็นท่านเซียนจี้ที่ฝากฝังคำพูดเหนือทะเลบูรพาในตอนนั้น พวกเขาอยู่ที่สำนักปรมาจารย์และมาเพื่อพบโหรหลวง จริงสิ เฉียวหย่งผู้นั้นก็อยู่ด้วย”
“พบข้า? พบข้าต้องใช้วิชาคุมเทพหรือ”
โหรหลวงตะลึงไปอย่างชัดเจน นี่ไม่ต่างอะไรกับการเขย่าร่างคนที่นอนหลับอยู่จนตื่น แต่เจ้ากลับพบกลองแล้วรัวตีเสียงดังที่สุดอยู่ข้างเตียง
“ฝ่าบาท เมื่อคืนมีสายมารายงานจริงๆ บอกว่าตระกูลเฉียวต้อนรับแขกสองคน เป็นบัณฑิตเสื้อเขียวกับขอทานชรา ตระกูลเฉียวฆ่าไก่สองตัว ซื้อปลามาตัวหนึ่งด้วย”
“อะไรนะ แล้วเจ้าเพิ่งมาบอกข้าตอนนี้!?”
ฮ่องเต้ชราหันไปมององครักษ์ข้างกายอย่างเกรี้ยวกราด ฝ่ายหลังรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“กระหม่อมสมควรตาย! กระหม่อมคิดว่าตระกูลเฉียวรับแขกเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องให้พระองค์ทรงทราบ!”
ชัดเจนว่าที่เฉียวเต๋อพูดว่าไปรายงานสำนักปรมาจารย์ ความจริงแล้วผู้ที่รับช่วงต่อก็คือคนของราชวงศ์
โหรหลวงส่ายหน้า เขาคล้ายกับเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายใช้วิชาอัศจรรย์อย่างวิชาคุมเทพ จึงคารวะฮ่องเต้กับเทพหลักเมืองก่อนกล่าว
“ฝ่าบาท เทพหลักเมืองฉู่ ในเมื่อมีผู้สูงส่งมาพบข้า ข้าย่อมต้องขอตัวลาตรงนี้”
“เอ่อ โหรหลวง ไม่ทราบว่าข้าไปด้วยได้หรือไม่”
เทพหลักเมืองรีบกล่าว
“เมื่อครู่กระหม่อมถามเซียนทั้งสองท่านแล้วว่ายินดีพบฝ่าบาทหรือไม่ ท่านเซียนจี้ผู้นั้นบอกตรงๆ ว่าให้โหรลวงรีบไป แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่พบฝ่าบาท”
“นั่นไงเล่า!”
ฮ่องเต้เผยสีหน้าปีติ
“เช่นนั้นข้าไปด้วยก็แล้วกัน!”
โหรหลวงคิดแล้วพยักหน้าฮ่องเต้ ทว่ากำชับอย่างจริงจังว่า
“ฝ่าบาท พระองค์คงคิดดีแล้ว การไปครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องดี!”
ฮ่องเต้ชราชักงัก หรี่ตาคล้ายครุ่นคิด แต่ลังเลอยู่ครู่เดียวก็กัดฟัน
“แต่ข้าต้องไป!”
…
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
“โหรหลวงมาเยือน!”
กลางตำหนักหลักสำนักปรมาจารย์ จี้หยวนกับขอทานชรากำลังดื่มชา เสียงประกาศข้างนอกดังมา บ่งบอกว่าตัวละครสำคัญในครั้งนี้มาถึงแล้ว
โหรหลวงเหมินอวี้ถงมาพร้อมกับฮ่องเต้ชรา ตอนมาถึงหน้าตำหนักแล้วจึงบอกให้ผู้ติดตามทั้งซ้ายขวาถอยไป
เฉียวหย่งรีบลุกขึ้นจากที่นั่ง เร่งฝีเท้าไปถึงใจกลางตำหนักใหญ่ โค้งกายถวายบังคมฮ่องเต้
“กระหม่อมเฉียวหย่งขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท คารวะใต้เท้าโหรหลวง!”
“ท่านเฉียวรีบลุกขึ้นเถอะ!”
ฮ่องเต้ชราไม่สนใจโหรหลวง เดินเร็วเข้าไปในตำหนัก ประคองเฉียวหย่งลุกขึ้นด้วยตนเอง จากนั้นมองทั่วทั้งตัวเฉียวหย่งอย่างเอาใจใจ หลังจากพยักหน้าแล้วถึงประสานมือคารวะจี้หยวนกับขอทานชรา
“นี่ก็คือเซียนท่านสองท่านกระมัง ข้าขอคารวะแล้ว!”
ตอนนี้โหรหลวงก้าวเข้ามาข้างใน คารวะให้จี้หยวนกับขอทานชราอย่างจริงจัง
“ผู้น้อยเหมินอวี้ทง คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง!”
จี้หยวนกับขอทานชราไม่ได้เอาเปรียบผู้อื่น ลุกขึ้นคารวะกลับอย่างง่ายๆ เช่นกัน จากนั้นฝ่ายแรกกล่าวกับฮ่องเต้ชรา
“แม้ฝ่าบาทเป็นประมุขของอาณาจักร ทว่าตอนนี้ไม่มีธุระเกี่ยวกับฝ่าบาท ขอไม่พูดอยู่ที่นี่ให้พระองค์ฟังดีกว่า”
พูดจบแล้วจี้หยวนสะบัดแขนเสื้อ ฮ่องเต้ชราและเฉียวหย่งเพียงรู้สึกว่าร่างกายวูบไหวไม่มั่นคง ภาพโดยรอบเปลี่ยนเป็นมัวซัวไม่จริง ตอนที่ดึงสติกลับมาได้ก็อยู่ข้างนอกลานกว้างแล้ว พร้อมกันนั้นข้ารับใช้ชายหญิงและองครักษ์ก็ถูกส่งออกมาด้วย
“ข้า…ยังพูดไม่ถึงสองคำเลยกระมัง”