เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 492 ปราณปีศาจที่น่ากลัว
ตอนที่ 492 ปราณปีศาจที่น่ากลัว
……………………………………………………………………..
“ฝ่าบาท พวกเราเหมือนกับถูกเซียนข้างในส่งออกมาใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์เข้าใกล้ฮ่องเต้ชรา กล่าวอย่างระมัดระวัง
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ฮ่องเต้ชรามองไปรอบๆ พบว่าปรมาจารย์เซียนสำนักปรมาจารย์เหมือนกับไม่ได้ออกมาทั้งหมด นอกจากโหรหลวงแล้ว เดิมทีสามคนที่อยู่กับจี้หยวนและขอทานชราข้างในยังคงอยู่ที่ตำหนักใหญ่ เขามองไปรอบๆ แล้วพบเฉียวหย่งที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
บนใบหน้าของฮ่องเต้ชรามีสีหน้าสิ้นหวัง
“ท่านเฉียว บอกกับข้าทีว่าเจ้าพบเซียนทั้งสองได้อย่างไร พวกเขาเล่าเรื่องพิเศษอะไรบางหรือไม่ ทหาร เตรียมโต๊ะเก้าอี้และน้ำชา ข้ากับท่านเฉียวจะสนทนากันที่นี่”
เฉียวหย่งตื่นตกใจเพราะได้รับความเอ็นดู กล่าวว่ารับบัญชาอย่างต่อเนื่อง หลังจากพวกองครักษ์จัดเตรียมโต๊ะเก้าอี้และของอื่นๆ เรียบร้อย เขาที่นั่งลงพร้อมฮ่องเต้เริ่มเล่าเรื่องที่พบกับจี้หยวนกับขอทานชราก่อนหน้านี้อย่างละเอียด
เพิ่งเล่าถึงขายผักเสร็จเก็บแผง ฮ่องเต้ชราก็ขัดจังหวะเขาพร้อมสีหน้าแปลกใจแล้ว
“อะไรนะ ท่านเฉียวตกต่ำถึงขั้นต้องขายผักหาเลี้ยงชีพแล้วหรือ หรือว่ามีใครในราชสำนักบีบบังคับท่าน ข้าเห็นใจที่ท่านตรากตรำอยู่นอกทะเลตลอดหลายปี จึงให้พักผ่อนที่บ้านสักช่วงหนึ่ง ยังรอวันที่ท่านจะได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อบ้านเมืองต่อไป ไยลำบากยากเข็ญถึงเพียงนี้เล่า”
เฉียวหย่งไม่สนใจว่าฮ่องเต้ไม่รู้จริงๆ หรือรู้อยู่แก่ใจทว่าทำเป็นเลอะเลือน เขาในฐานะประชาชนตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่กล้ามีท่าทางจองหองเพราะรู้จักท่านเซียน ยังคงอ่อนน้อมระวังตัว ซาบซึ้งในความห่วงใยของฮ่องเต้อย่างสุดซึ้ง
“ฝ่าบาทห่วงใยเช่นนี้ ล้วนเป็นความผิดกระหม่อมทั้งสิ้น! ไม่มีใครสร้างความลำบากให้กระหม่อม เพียงแต่กระหม่อมรู้สึกผิดต่อพี่น้องใต้บังคับบัญชา รู้ว่าพวกเขามีชีวิตที่ไม่ดีเท่าไหร่ จึงแบ่งทรัพย์สินที่ดินไปจนหมด นั่นช่วยเหลือพวกเขาได้เล็กน้อยเท่านั้น แน่นอนว่าทุกอย่างในบ้านกระหม่อมยอดเยี่ยมทุกอย่าง กินอิ่มและมีเสื้อผ้าอุ่น ขายผักถือเป็นการสงบจิตใจ…”
ฮ่องเต้ชราได้ยินแล้วมีสีหน้าโล่งใจ ทว่าจากนั้นกลับเคร่งขรึมขึ้นมา
“เรื่องพี่น้องผู้ใต้บังคับบัญชา ท่านเฉียวเล่าให้ข้าฟังละเอียดหน่อยได้หรือไม่ ข้าจำได้ว่าท่านเสียสละต่ออาณาจักรไปไม่น้อย หรือว่ามีคนฉ้อฉล!?”
บนใบหน้าเขาฉายเววดุดัน กวาดสายตามององครักษ์ข้างๆ ฝ่ายหลังสะท้านใจขึ้นมา เข้าในใจทันทีว่าฮ่องเต้หมายความว่าอะไร พลันประสานมือกล่าวว่า
“ขอฝ่าบาทและใต้เท้าเฉียวรอสักครู่ กระหม่อมจะไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้!”
พูดจบแล้วองครักษ์ถอยหลังไปช้าๆ จากนั้นโคจรวิชาตัวเบาทั่วร่างจากไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่ามีคนฉ้อฉลจริงหรือไม่ หรือเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ตั้งแต่ต้น แต่ไม่ว่าอย่างไรตั้งแต่บัดนี้เป็นต้องไปต้องมีคนฉ้อฉลถึงทำให้ผู้ใต้บังคับของเฉียวหย่งลำบาก ฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้
เห็นองครักษ์จากไปไกล ฮ่องเต้ถอนหายใจเสียงหนึ่ง เปลี่ยนเป็นมองเฉียวหย่งอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง
“เฮ้อ ท่านเฉียวลำบากแล้ว ท่านเล่าต่อเถอะ ค่อยๆ เล่า!”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรับบัญชา…”
เฉียวหย่งไม่กล้ากล่าวคำว่าไม่ นั่งหลังตรงเล่าโดยละเอียด
บนต้นไม้ที่ลานกว้าง กระเรียนกระดาษตัวหนึ่งจ้องมองฮ่องเต้กับเฉียวหย่งเขม็ง และมองทิศทางที่องครักษ์จากไปด้วยเช่นกัน
…
กลางตำหนักหลักสำนักปรมาจารย์ โหรหลวงกับผู้ฝึกปราณสำนักปรมาจารย์เห็นจี้หยวนสะบัดแขนเสื้อส่งฮ่องเต้กับคนอื่นๆ ออกไป ทว่าไม่กล้าพูดอะไรมาก ยิ่งไม่กล้าพูดเรื่องความผิดฐานลบหลู่เบื้องสูงแต่อย่างใด
สำหรับผู้สูงส่งมีอภินิหารเทพอย่างชายเสื้อเขียวและขอทานชราตรงหน้าแทบไม่มีข้อห้าม ไม่ว่าจะเป็นขุนนางระดับสูงหรือฮ่องเต้ก็ดี เป็นปีศาจมารผีก็ช่าง ล้วนไม่ส่งผลกระทบใดต่อพวกเขา
“ปีนั้นได้ยินใต้เท้าเฉียวพูดว่า ท่านจี้มีธุระอยากพบข้าน้อย ไม่ทราบว่าวันนี้เซียนทั้งสองท่านมาเยือนที่นี่เพราะมีอะจะสั่งหรือ”
เหมินอวี้ถงจงใจไม่พูดถึงคำสัญญาของจี้หยวนที่จะติดต่อเกาะหมอกเซียนแทนพวกเขา เพียงพูดถึงคำขอของจี้หยวนกับขอทานชรา ถึงแม้เขารู้ดีว่าฮ่องเต้ชราน่าจะสนใจเรื่องคำสัญญาเซียนมากกว่า
“ฮ่าๆ โหรหลวงไม่จำเป็นต้องสำรวม ขอบอกเจ้าตามตรงว่าข้ากับผู้อาวุโสหลู่มาครั้งนี้เพื่อก่อการใหญ่ ด้วยต้องการทวงความยุติธรรมให้เฉียวหย่ง นับว่าข้าคนแซ่จี้ติดหนี้เขา ส่วนเหตใดตามหาเจ้านั้”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้แล้วขอทานชราหูตั้งเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาถามจี้หยวนตลอด แต่ฝ่ายหลังมีทีท่าลับๆ ล่อๆ ตอนนี้น่าจะพูดแล้วกระมัง และไม่น่าไล่ตนเองออกไปเช่นกัน
จี้หยวนคิดแล้วถึงเอ่ยปาก
“ตอนนั้นว่าโหรหลวงมอบป้ายหยกให้เฉียวหย่งชิ้นหนึ่ง แยกแยะความดีความชั่ว ทางสายตรงทางสายมารได้ ไม่ทราบว่าโหรหลวงยังจำได้หรือไม่”
เหมินอวี้ทงพยักหน้า
“แน่นอนว่าจำได้ นั่นคือป้ายเซี่ยจื้อ ความจริงใช้เพื่อเตือนภัยเป็นหลัก ทำให้กองเรือสมบัติได้รับคำเตือนล่วงหน้า เมื่อเจอภัยจะได้เตรียมตัวไว้ก่อน หรือหากเจอเรื่องดีๆ จะได้มุ่งหน้าไปโดยเร็ว”
“อืม”
จี้หยวนพยักหน้า ในใจเกิดความคิด
ที่จริงโลกนี้มีสัตว์กลายเป็นมารหลากหลายชนิด มีภูตแปลกประหลากมากมาย และมีมังกร หงส์ไฟ และวิญญาณเทพเช่นกัน มีสัตว์ในตำนานอย่างอื่นจริงๆ ก็เป็นเรื่องปกติ ทว่าตอนนี้นอกจากมังกรและหงส์ไฟแล้ว จี้หยวนยังไม่อาจเข้าใจเรื่องสัตว์ในตำนานได้อย่างแม่นยำ จะมีก็แค่มังกรและหงส์ไฟเท่านั้น ความจริงที่มากหน่อยคือมังกร ส่วนตำนานหงส์ไฟมีอยู่น้อยมาก
ส่วนเซี่ยจื้อเป็นสัตว์ในตำนานที่เลื่องชื่อเป็นอย่างยิ่ง และเป็นเพราะตอนนี้จี้หยวนได้ยินจากปากของคนอื่นอย่างชัดเจน ซึ่งเกือบจะความหมายเดียวกับสัตว์ในตำนานในความทรงจำเมื่อชาติก่อนของตนเอง
“เช่นนั้นแล้วโหรหลวงได้เครื่องมือนี้มาได้อย่างไร กล่าวอีกนัยหนึ่งคือโหรหลวงเคยรู้เรื่องสัตว์อย่างเซี่ยจื้อหรือไม่”
“เซี่ยจื้อ?”
ขอทานชราพึมพำ เขาเพิ่งเคยได้ยินชื่อสัตว์ตัวนี้เป็นครั้งแรก มันเหมือนจะเป็นสัตว์ปีศาจที่มีที่มาที่ไปเป็นอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นจี้หยวนคงไม่เก็บมาใส่ใจขนาดนี้
โหรหลวงคารวะจี้หยวนกับขอทานชราเป็นอันดับแรก แล้วค่อยๆ คลี่ม้วนภาพวาดยาวหนึ่งฉื่อในมือออก สิ่งที่ปรากฏในนั้นก็คือภาพเหมือนภาพหนึ่ง
บนภาพวาดเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งน่าเกรงขาม ทั่วทั้งตัวปกคลุมด้วยขนสีดำหนา สองตาวาววาบเป็นประกาย บนหน้าผากมีเขาขนาดใหญ่ สี่เท้าแข็งแรงกรงเล็บคมเหมือนตะขอ หางสั้นร่างหนา ปากกว้างฟันย้าว
โฮก…
ตอนที่ภาพวาดสัตว์ประหลาดนี้เพิ่งคลี่ออกเป็นเพียงภาพนี้ ทว่าหลังจากคลี่เต็มที่แล้วกลับเคลื่อนไหว ส่งเสียงคำรามใส่ข้างนอกภาพวาด ขยับตัวไปทางซ้ายขวา เหมือนกับอยากพุ่งออกมาจากภาพวาด ถึงขนาดสร้างความกดดันที่ไม่อาจมองข้ามด้วย
โฮก….
ขอทานชรากับจี้หยวนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ฝ่ายหลังลุกขึ้นยืนเพราะว่าตื่นเต้น ทว่าฝ่ายแรกได้รับแรงกระตุ้นจากปราณของสัตว์ประหลาดบนภาพเหมือน
“นี่คือสัตว์ปีศาจอะไร เหตุใดข้าผู้ชราไม่เคยเห็นมาก่อน นี่คืออะไร ท่านจี้รู้จักหรือ”
ตอนนี้สองมือของโหรหลวงจับม้วนภาพวาดไว้แน่นขนัด โคจรพลังบนกาย คล้ายกับว่าไม่อาจคลี่ภาพวาดนี้ได้โดยง่าย ฝ่ายจี้หยวนเข้าใกล้ภาพเหมือนอีกหลายก้าว หรี่ตาพลางถามว่า
“นี่คือเซี่ยจื้อ เรียกอีกชื่อว่าไหไจ๋ ผู้มีความรู้เล่าว่ามันรู้นิสัยคน เป็นสัตว์เทพในตำนานที่แยกแยะถูกผิดได้”
เดิมทีเหมินอวี้ทงคิดว่าจี้หยวนเห็นป้ายหยกที่ทะเลบูรพาตอนนั้นแล้วรู้สึกสนใจ ตอนนี้ขอทานชราถามแล้วยังคิดว่าจะตอบแทนจี้หยวน แต่ได้ยินคำพูดของจี้หยวนแล้วก็เข้าใจว่าท่านเซียนผู้นี้รู้จักสัตว์ในภาพวาดมากกว่าที่ตนเองจินตนาการเอาไว้ อย่างน้อยชื่อเรียกไหไจ๋นี้ แม้แต้เหมินอวี้ทงก็ไม่รู้
“สัตว์เทพในตำนาน? เซี่ยจื้อ?”
ขอทานชรามีสีหน้าจริงจัง
“ท่านจี้เล่าโดยละเอียดได้หรือไม่”
จี้หยวนส่ายหน้า
“ข้ารู้เพียงเล็กน้อย ถามโหรหลวงดีกว่า ทางโหรหลวงมีเพียงภาพวาดนี้หรือ”
เหมินอวี้ทงพยักหน้า
“มีเพียงภาพวาดนี้ แต่ภาพนี้ปรากฏท่าทางแตกต่างออกไปในแต่ละช่วงเวลานี้ และหลังจากดูดกลืนปราณวิญญาณและพลังเข้าไปแล้วจะมีปฏิกิริยา”
พูดแล้วเหมินอวี้ทงก็เติมปราณวิญญาณเข้าไปในภาพเหมือน ทันใดนั้นสีสันของภาพเหมือนยิ่งสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น สัตว์ในภาพยิ่งมีชีวิตชีวากว่าเดิม
“โฮก…ข้าคือเซี่ยจื้ ใครกล้ารบกวนอยู่ที่นี่ ข้าคือเซี่ยจื้อ ใครกล้ารบกวนอยู่ที่นี่ โฮก…”
“เอ่อ ทั่วไปแล้วมันมักพูดประโยคนี้”
เหมินอวี้ทงอธิบายให้จี้หยวนกับขอทานชราฟัง สองคนต่างก็ครุ่นคิด ฝ่ายจี้หยวนหรี่ตาลงก่อน จากนั้นเปิดตาทิพย์เต็มที่ มือขวาแบออก ในนั้นปรากฏขนสีน้ำตาลแดงเส้นหนึ่ง
ตอนขนนั้นปรากฏ จี้หยวนเริ่มเติมปราณวิญญาณเข้าไปข้างในแล้ว ปราณวิญญาณน่าประหวั่นสายหนึ่งเพิ่มขึ้นเลือนราง ทว่าปราณปีศาจมีอยู่เพียงระดับหนึ่ง คนธรรมดาไม่อาจสัมผัสได้โดยสิ้นเชิง
ทว่าขอทานชรากลับมุ่นคิ้ว มองไปทางขนเส้นนั้น ชัดเจนว่ามองไม่เห็นอะไร แต่เหตุใดกลับรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเช่นนี้
จี้หยวนมองขอทานชราอยู่หลายครั้งอย่างอดไม่ได้ จากปฏิกิริยาของเขานั้น มรรควิถีของขอทานชรามหาศาลกว่าจูหยวนจื่ออย่างแท้จริง
“เซี่ยจื้อ เจ้าจำสิ่งนี้ได้หรือไม่”
เสียงจี้หยวนราบเรียบ ยื่นขนในมือไปตรงหน้าภาพเหมือน ทว่าสัตว์เทพในภาพเหือนยังคงพูดคำเดิม
เดิมทีจี้หยวนคิดเก็บขนกลับมา แต่พลันนึกอะไรขึ้นได้จึงกล่าวกับเหมินอวี้ทง
“รบกวนโหรหลวงเติมพลังปราณวิญญาณเข้าไปมากหน่อย”
“ขอรับ!”
ไม่ว่าอย่างไรเหมินอวี้ทงก็เป็นผู้ฝึกปราณระดับเซียนคนหนึ่ง เมื่อคิดแล้วก็โคจรแสงมรรคทั่วร่างกาย พลังที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายห่อหุ้มปราณวิญญาก่อนเติมเข้าสู่ม้วนภาพวาด
หนึ่งลมหายใจหลังจากนั้น บนกายเซี่ยจื้อที่กำลังกางกรงเล็บแยกเขี้ยวในม้วนภาพวาดเริ่มเกิดควันดำ
“โฮก…ข้าคือเซี่ยจื้อ ใครกล้า…”
คำพูดนี้พลันพูดชะงัก จากนั้นสัตว์เทพในภาพวาดทำท่าทางที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จับจ้องขนในมือจี้หยวนด้วยสายตาคมปลาบ
“ฮู่…”
เสียงแหบพร่าและน่ากลัวดังออกจากบนภาพวาด โหรหลวงยิ่งรู้สึกว่าม้วนภาพวาดหนักขึ้นไม่น้อย อีกทั้งร้อนลวกมาก ควันดำหลายสายแทบเอ่อออกจากม้วนภาพวาด
“ฮู่…”
เสียงนั้นทุ้มต่ำกว่าเดิม ทว่าความกดดันที่เกิดขึ้นกลับมากขึ้น
ฉ่าๆๆ…
บนมือเหมินอวี้ทงมีควันดำลอยขึ้น ม้วนภาพวาดในมือเหมือนกับเหล็กร้อนๆ ทว่าเหล็กร้อนที่แท้จริงเขายังจับไว้ได้ แต่ม้วนภาพวาดนี้เขากลับแทบจับไว้ไม่ไหวแล้ว สองแขนเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย
‘มีปฏิกิริยาจริงด้วย!’
“รบกวนผู้อาวุโสหลู่เติมปราณวิญญาณใส่ภาพวาดแทนโหรหลวงแล้ว”
“อืม!”
ขอทานชรารับภาพวาดจากมือเหมินอวี้ถงโดยไม่พูดจา ใครมีดวงตาล้วนมองออกว่าโหรหลวงต้านไม่ไหวแล้ว เมื่อภาพวาดถึงมือเขาพลันมั่นคงขึ้นมาก
“ให้ข้าดูหน่อยว่ามีมรรควิชาอะไร!”
พูดแล้วขอทานชรากับจี้หยวนพยักหน้าให้กัน ก่อนจะเติมปราณวิญญาณเข้าไปภายใน ทำให้ม้วนภาพวาดทั้งม้วนแทบเต็มไปด้วยแสงวิญญาณ ส่วนจี้หยวนที่อยู่ข้างๆ ก็มีท่าทางเช่นเดียวกัน เติมปราณวิญญาณเข้าไปในขนมากกว่าเดิม
ฉ่า…
ควันสายหนึ่งพุ่งออกจากภาพวาด อัดแน่นเป็นเพลิงสีดำที่ว่างเปล่า ขนในมือจี้หยวนกิดไฟสีแดงทองลวงตาเช่นกัน ไฟทั้งสองปะทะกันก่อเกิดลมปีศาจที่รุนแรง
หวิว…หวิว…
ลมคลั่งพัดเสียงดังในตำหนักหลัก เซียนหลายคนแทบยืนไม่ไหว ทว่าไม่ใช่เพราะลมแรงเกินไป กลับเป็นเพราะเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ
ปราณปีศาจ! ปราณปีศาจที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง!
ขอทานชรามองภาพในมือและขนของจี้หยวนด้วยสีหน้าตระหนก จากนั้นมองจี้หยวนที่กำลังมีสีหน้าจริงจัง