เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 493 ประมือกันครั้งหนึ่ง
ตอนที่ 493 ประมือกันครั้งหนึ่ง
……………………………………………………………………..
ทว่าต่อให้ตอนนี้ในใจกลัวเพียงใด ขอทานชราก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาถามปัญหา และในเมื่อจี้หยวนให้เขาเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ด้วยกัน ย่อมต้องบอกเหตุผลกับเขาอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็บอกส่วนหนึ่ง
จี้หยวนรู้ดีว่าแม้เขาเรียกเซี่ยจื้อว่าสัตว์เทพ แต่นั่นเป็นเพียงความทรงจำจากชาติก่อนเท่านั้น สัตว์เทพในความทรงจำเขาให้ความรู้สึกของผู้ฝึกปราณ สิ่งที่แผ่กระจายออกมาคือปราณปีศาจที่น่ากลัว อย่างไรเสียมังกรแท้ก็นับเป็นสัตว์เทพ ไม่ใช่เผ่าปีศาจ
แน่นอนว่ามีสัตว์ส่วนน้อยเป็นข้อยกเว้น อย่างเช่นหงส์และหงส์ไฟในตำนานก็มีกลิ่นอายอริยะเทพ สัตว์เซียนที่ฝึกฝนวิชามรรคเซียนตามแบบฉบับก็นับเช่นกัน
ดังนั้นจากมุมมองของขอทานชราและผู้ฝึกปราณสำนักปรมาจารย์ของต้าซิ่ว สิ่งที่เติมเต็มอยู่ในตำหนักหลักสำนักปรมาจารย์คือปราณปีศาจน่ากลัวที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ผู้ฝึกปราณสำนักปรมาจารย์ยังพอปลอบใจตนเองได้ คิดเสียว่าตนเองประสบการณ์น้อย อย่างไรเสียพวกเขาก็รู้ดีว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า อยู่ที่ต้าซิ่วพวกเขาล้วนถูกเรียกว่า ‘ปรมาจารย์เซียน’ แต่ความจริงแล้วพวกเขาไม่อาจนับได้ว่ามีความสำคัญในโลกของการฝึกปราณ
แต่ขอทานชรากลับต่างออกไป ตัวเขาเป็นเซียนที่มีมรรควิถีสูงส่งลึกล้ำ อย่าว่าแต่เคยเห็นเลย ปีศาจที่เคยจัดการก็มีไม่น้อย ถึงขนาดเคยเจอกับปีศาจยิ่งใหญ่อย่างมังกรแท้ กลับไม่มีปราณปีศาจใดเทียบเคียบกับเจ้าสี่เท้าในตอนนี้ได้เลย
ปราณปีศาจในตำหนักไม่นับว่าสมบูรณ์ ด้วยแผ่ออกมาจากสิ่งของในมือเท่านั้น ไม่อาจกลบฟ้ากลืนตะวันได้เท่าเจ้าปีศาจ ทว่าปราณปีศาจเหล่านี้มอบความรู้สึกหวั่นใจให้คนจริงๆ
หวิว…หวิว…
จี้หยวนยังคงเติมปราณวิญญาณและพลังเข้าไป เพราะเขายังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่อยากเห็น อย่างน้อยแค่ปราณปีศาจสองสายปะทะกันยังไม่พอ
ในเมื่อจี้หยวนยังไม่วางมือ ขอทานชราย่อมไม่มีทางหยุด ไม่ต้องให้จี้หยวนสั่งก็เติมปราณวิญญาณกับพลังเข้าไปมากกว่าเดิมอย่างต่อเนื่อง
การกระทำของผู้สูงส่งมรรคเซียนทั้งสองทำให้ผู้ฝึกปราณสำนักปรมาจารย์ในตำหนักลำบากใจ ไม่ว่าโหรหลวงเหมินอวี้ทงหรือผู้ฝึกปราณคนอื่นรู้สึกเหมือนกับว่าลอยอยู่บนท้องฟ้าสูงไร้ซึ่งเมฆและลมเอื่อยนานแล้ว แต่ละคนถูกบีบจนมุม ถึงขั้นใช้วิชาคิดต่อต้านปราณปีศาจที่น่ากลัวนี้
ถึงแม้ปราณปีศาจนี้ไม่ได้ร้ายกาจสมจริงอะไร แต่ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณสำนักปรมาจารย์เหล่านี้เหงื่อตกดุจอาบน้ำฝน ปรับพลังทั่วร่างกายตั้งใจกางเขตอาคม เพื่อปลอบโยนจิตใจตนเองให้มากยิ่งขึ้น
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ขนบนมือจี้หยวนไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ทว่าม้วนภาพวาดบนมือขอทานชรากลับเริ่มสั่นไหวเล็กๆ ไม่ใช่ว่าขอทานชราจับไม่มั่นคง ทว่าม้วนภาพวาดนี้สั่นไหวอย่างมีจังหวะของตนเอง ฝ่ายขอทานชราไม่ได้จงใจขจัดการเปลี่ยนแปลงนี้
ฉ่า…ฉ่า…
ฝ่ามือของขอทานชราเริ่มมีควันดำลอยขึ้น จังหวะการสั่นไหวของม้วนภาพวาพมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเซี่ยจื้อที่อยู่ในม้วนภาพวาดเริ่มเปลี่ยนเป็นเลือนรางอย่างคาดไม่ถึง
“โฮก…โฮก…ฮึ่ม…ไสหัวไป!”
ปราณปีศาจสีดำลวงตาบนภาพวาดจับตัวกันจนให้ความรู้สึกว่าเป็นของจริง กลายเป็นกรงเล็บซึ่งเกิดจากเพลิงสีดำ มองดูแล้วเหมือนยื่นออกมาจากในภาพวาดก็ไม่ปาน คว้าไปทางขนสีแดงทองอย่างแรง
มือขวาของจี้หยวนถึงขนกลับไปข้างหลัง มือซ้ายบิดข้อมือ ใช้นิ้วชี้ นิ้วก้อย และนิ้วโป้งสามนิ้วทำมุทรา สร้างตราสะท้านภูผาจากในวิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน ขณะที่ปลายนิ้วเริ่มมีแสงสายฟ้าปรากฏ เขายื่นมือไปทางกรงเล็บแหลมสีดำนั้นราวกับฟ้าผ่า
พริบตาที่สัมผัสโดน จี้หยวนรู้สึกได้ถึงความกดดันอันแรงกล้าที่ทำให้คนหายใจไม่ออก นี่เป็นเพียงแรงกระตุ้นมหาศาลด้านความรู้สึก แต่ความจริงแล้วแรงคุกคามกลับไม่ได้เกินจริง อย่างน้อยยังไม่ถึงขั้นที่จี้หยวนต้านไม่ไหว
ครืน…
เสียงหนึ่งดังสนั่น ริ้วคลื่นสายหนึ่งแหวกออกด้วยตนเอง เหมือนกับว่ามีหินยักษ์ตกลงในผิวน้ำที่เดิมทีราบเรียบ ทำให้น้ำถูกกวนจนกระเพื่อมไปหมด
แครกๆๆๆๆๆ…
กึก…ตึก…เปรี๊ยะ…
ผ้าม่านไม่น้อยในตำหนักใหญ่ขาดวิ่น อิฐดินบนพื้นปรากฏรอยแตก ขนาดที่ว่าเสาก็มีรอยแตกเช่นกัน ยิ่งจูโจมกำแพงสี่ด้านโดยตรง
ปึง!
ปึง!
ปึง!
หน้าต่างจำนวนหนึ่งในนั้นถูกจู่โจมโดยตรง ประตูใหญ่ถูกกระแทกจนปิดสนิท ส่วนประตูไม้ส่งเสียงกึกกักทั้งหมด จากนั้นพากันถูกทำลาย เหนือตำหนักใหญ่ยิ่งมีกระเบื้องปลิวว่อน
ฮูม…ฮูม…
คลื่นปราณสายหนึ่งพุ่งออกจากตำหนักใหญ่ แผ่ขยายออกไปข้างนอก ควันและฝุ่นลอยขึ้นเหมือนคลื่นซัดชายฝั่งอยู่ที่หน้าตำหนักหลัก
“คุ้มกัน!”
“ทหารคุ้มกัน!”
“คุ้มกันฝ่าบาท!”
ชิ้ง…
ชิ้ง…
ชิ้ง…
องครักษ์ที่วันนี้ตระหนกอยู่หลายครั้งเครียดเกร็งขึ้นมาอีก ครั้งนี้พวกเขาพากันจับดาบ คุ้มกันฮ่องเต้กับเฉียวหย่งถึงสามชั้น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ไม่รู้เหมือนกัน!”
“เหมือนว่าจะเป็นผลจากทางพวกโหรหลวง”
ฮ่องเต้มองเฉียวหย่ง จากนั้นมององครักษ์ที่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ ก่อนจะสั่งสองคนในนั้น
“พวกเจ้าไปดูหน่อย ดูว่าทางพวกโหรหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”
“รับบัญชา!”
สองคนรีบร้อนจากไป ข้างๆ มีองครักษ์แนะนำว่า
“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมคุ้มกันพระองค์กลับไปก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ชรามองอาคารทางตำหนักหลักของสำนักปรมาจารย์แม้มีกำแพงกั้น ส่ายหน้ากล่าวว่า
ความจริงแล้วแม้ความเคลื่อนไหวจะมาอย่างกะทันหัน ทว่าจากไปรวดเร็วยิ่งกว่า หลังจากนั้นสองอึดใจก็สงบเงียบโดยสมบูรณ์
เดิมทีกั้นไว้ด้วยลานสองลานเท่านั้น องครักษ์สองคนใช้วิชาตัวเบากระโดดไป พลันถึงลานกว้างนอกตำหนักหลัก สิ่งที่มองเห็นเป็นอันดับแรกคือหน้าต่างไม้กระจัดกระจายอยู่ในลานกว้าง ไปจนถึงแผ่นไม้มากมาย
เมื่อมองไปข้างหน้า ตำหนักหลักของสำนักปรมาจารย์ทั้งหลังเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปมาก
ใช้สายตาอันยอดเยี่ยมของจอมยุทธ์มองไป เซียนสองคนนั้นยืนอยู่ลางตำหนัก ส่วนพวกโหรหลวงอยู่ชิดผนังด้านหลัง
จี้หยวนกับขอทานชราอยู่ตรงกลาง อิฐดินแทบแตกระแหงทั้งหมด และยิ่งเข้าใกล้ใจกลางก็ยิ่งมีสภาพเลวร้าย ตรงกลางนอกจากอิฐสองสามก้อนที่ขอทานชรากับจี้หยวนยืนอยู่ อิฐตรงอื่นล้วนพังทลายเป็นผุยผง ส่วนอิฐที่แตกข้างนอกสภาพย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง ปรากฏสภาพเหมือนถูกสายฟ้าผ่า เหยียดยื่นไปจนถึงกำแพง ทำให้กำแพงสี่ด้านของตำหนักหลักเกิดรอยแตกเป็นริ้วทั้งสิ้น
ผ้าม่านส่วนหนึ่งในตำหนัก ไม่ว่าที่ถูกปล่อยลงหรือม้วนขึ้น ส่วนใหญ่กลายเป็นเศษผ้าไปแล้วในตอนนี้ เศษผ้าสีเหลืองปลิวว่อนเหมือนเกล็ดหิมะก็ไม่ปาน
ส่วนบานหน้าต่าง กรอบหน้าต่างล้วนพังไม่เป็นท่า หน้าต่างไม้กระเด็นไปมาหมาย ประตูก็กระจัดกระจายเช่นกัน
“โหรหลวง ปรมาจารย์เซียนท่านเซียนทั้งหลาย พวกท่านไม่เป็นไรกระมัง ฝ่าบาทอยู่ทางนั้นทรงเป็นห่วงมาก จึงส่งพวกข้ามาสอบถามสถานการณ์ มีตรงไหนให้พวกข้าช่วยเหลือหรือไม่”
องครักษ์หนึ่งคนในนั้นสอบถามด้วยน้ำเสียงที่เหมาะสม เหมินอวี้ทงตอบกลับทันที
“ทั้งสองกลับไปบอกให้ฝ่าบาทวางใจ ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร ตอนนี้อย่ารบกวนเลย เชิญกลับไปเถอะ”
องครักษ์มองหน้ากัน ตำหนักหลักนี้ใกล้พังทลายแล้ว ยังไม่เป็นไรอีกหรือ
ทว่าไม่กล้าไม่ฟังคำพูดของโหรหลวง ทำได้เพียงประสานมือรับปาก จากนั้นจากไปอย่างช้าๆ
จี้หยวนกับขอทานชราถอนปราณวิญญาณและพลังออกตอนที่ปะทะกันเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ทั้งสองคนมองม้วนภาพวาดกับจนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญก็คือม้วนภาพวาดในมือขอทานชรา
ขอทานชราถอนสายตากลับมามองจี้หยวน จากนั้นมองมือซายของจี้หยวนด้วย
“ท่านจี้ไม่เป็นไรกระมัง”
จี้หยวนมองมือซ้ายตนเอง มันยังอยู่ในสภาพดีไม่มีผิวหนังหลุดร่อน แม้ชาอยู่บ้าง แต่คิดอย่างปลอบใจตนเองคือมือข้างนี้เคยได้รับการฝึกฝนจากเคราะอสนีมรรคสวรรค์มาก่อน น่าจะไม่มีปัญหาอะไรจึงส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร”
สายตาของทั้งสองคนกลับไปที่ม้วนภาพวาดอีกครั้ง ตอนนี้เซี่ยจี้อในม้วนภาพวาดสงบลงแล้ว ราวกับเป็นของที่ร้านหาบเร่ธรรมดา แต่ที่นี่ไม่มีทางมีใครรู้สึกเช่นนี้
ตอนนี้โหรหลวงต้าซิ่วกับผู้ฝึกปราณสำนักปรมาจารย์หลายคนกำลังปรับลมปราณ คล้ายกับเพิ่งสงบจิตใจได้เมื่อครู่ จี้หยวนมองพวกเขาแล้วเอ่ยปากถาม
“โหรหลวง ม้วนภาพวาดนี้เจ้าได้มาอย่างไร”
เหมินอวี้ทงข่มความรู้สึกครั่นคร้ามในใจ ก้าวไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วประสานมือตอบ
“เรียนท่านเซียน ภาพวาดนี้ข้าได้มาจากกองคลังราชวงศ์ต้าซิ่ว ตอนนี้รู้เพียงว่ามันไม่ธรรมดา จากนั้นศึกษาความพิเศษของม้วนภาพวาด ใช้วิชาย้ายร่างเลียนเทพหลอมสร้างป้ายเซี่ยจื้อ มีผลช่วยแยกแยะความดีชั่ว แต่ไม่รู้ถึงจักรวาลที่ซ่อนอยู่ภายใน”
วิชาย้ายร่างเลียนเทพเป็นวิชาอัศจรรย์ที่ใช้โดยทั่วกันในมรรคเซียน ไม่การส่งทอดต่อกันมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเลียนแบบสิ่งวิเศษบางอย่างหรือสิ่งมีชีวิตบางชนิด หากเลียนแบบแก่นเทพอีกฝ่ายในสถานการณ์ที่ประจันหน้ากัน ปิดผนึกและหลอมสร้างด้วยวิชาการเฉพาะ จะได้รับความสามารถมหัศจรรย์ที่คล้ายกับของเลียนแบบในระดับหนึ่ง
“เช่นนั้นโหรหลวงคิดว่าราชวงศ์ต้าซิ่วรู้ที่มาของภาพวาดนี้หรือไม่”
จี้หยวนถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้ ขณะเดียวกันเริ่มคำนวณอยู่ในแขนเสื้อ
เหมินอวี้ถงคิดอย่างละเอียดแล้วส่ายหน้า
“ท่าทางน่าจะไม่รู้ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปค้นหามาจากที่ใด หรือว่าเก็บไว้ตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ใด ตอนข้าน้อยได้รับมาในตอนนั้นคิดตรวจสอบที่มาที่ไป ยิ่งเคยถามฮ่องเต้เช่นกัน ทว่าไม่ได้เรื่องราวอะไร”
ขณะที่เหมินอวี้ทงพูดจบ จี้หยวนหยุดคำนวณแล้วเช่นกัน กระนั้นไม่ได้ผลอะไร ขอทานชราที่อยู่ฝั่งตรงข้ามส่ายหน้ากล่าวเช่นกัน
“คำนวณอะไรไม่ได้”
จากนั้นขอทานชรากล่าวเสริมอีก
“ท่านจี้ ยังอยากลองอีกหรือไม่”
จี้หยวนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ยกมือขวาขึ้นมองขนในฝ่ามือ สุดท้ายแล้วเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ
“ไม่ลองแล้ว”
แม้ไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจนอะไรจากม้วนภาพวาดเซี่ยจื้อ แต่จี้หยวนแน่ใจได้ถึงความไม่ธรรมดาของขนในมือจากการปะทะกันอย่างรุนแรงของปราณปีศาจสองสาย อย่างน้อยก็เป็นสิ่งมีชีวิตในระดับเดียวกับเซี่ยจื้อ
“อืม”
ขอทานชราพยักหน้า ประกบภาพวาดในมืออย่างช้าๆ ฝ่ามือสองข้างมีรอยไหม้เล็กน้อย ทว่าจางหายไปออย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นสองสามอึดใจก็สลายไปไม่เห็นแล้ว
“สัตว์ในภาพวาดคือเซี่ยจื้อ เช่นนั้นขนในมือท่านจี้ต้องมาจากอริยะเทพองค์ใดสักองค์ เล่าให้ข้าผู้ชราฟังหน่อยได้หรือไม่”
ขอทานชราอดไม่ไหวถามออกมาตอนนี้ อยากรู้แทบแย่แล้ว
จี้หยวนไม่ปิดบังเช่นกัน พูดสิ่งที่คาดเดาไว้ในใจออกมาตามตรง
“ข้าคนแซ่จี้เดาไว้สองอย่าง หนึ่งคืออีกาทอง สองคือปี้ฟาง อย่างแรกใกล้เคียงกว่าหน่อย แต่แม้อย่างหลังมีสีขนที่ต่างออกไปก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”
ขอทานชรามองม้วนภาพวาดในมือตามสัญชาตญาณ สองคำที่ออกจากปากจี้หยวนนั้น เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน