เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 497 ได้ๆ ข้าเข้าใจแล้ว
……………………………………………………………………..
ตอนนี้จี้หยวนเชื่อมันในไฟที่เหมาะสมของเพลิงสมาธิว่าไม่มีทางเผาทำลายเชือกไหมทอง เพียงเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมันเท่านั้น
แต่จี้หยวนชื่อเช่นกันว่าเส้นไหมหลอมพลังอย่างอื่นในมือก็ดี เกล็ดทองก็ช่าง ทั้งหมดต้านทานไฟแท้แผดเผาไม่ได้ บางทีเคราะห์สอสนีไม่อาจถูกไฟแท้ทำลายในทันที
แต่มีคำกล่าวว่าห้าธาตุไม่ทำให้เกิดไฟ ไม้อย่างอื่นช่างเถอะ น่าจะไม่ทันมีปฏิกิริยาอะไรก็ถูกเพลิงสมาธิเผาเป็นจุณแล้ว แต่หากเป็นเคราะห์อสนีมรรคสวรรค์สอดประสานท่ามกลางเพลิงสมาธิ ก็ไม่อาจควบคุมได้ดีแม้แต่ครึ่ง…
เพียงแค่คิดจี้หยวนก็รู้สึกสั่นกลัว บางทีการระเบิดของเพลิงอสนีสมาธินี้ที่ไม่อาจควบคุมได้นี้อาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
“แต่ข้าถนัดเรื่องการควบคุมมาโดยตลอด”
จี้หยวนกล่าวกับตนเอง เริ่มจากเส้นไหมหลอมพลังเป็นอันดับแรก สำแดงพลังให้พัวพันบนไหมทองที่ถูกดึงออก จากนั้นพ่นเพลิงสมาธิออกมาคำหนึ่งโดยตรง
ทันใดนั้นเพลิงรุนแรงขึ้น แม้เป็นเส้นไหมพิเศษที่จี้หยวนเคยหลอมก็ต้านทานวินาทีนี้ไม่ได้ หลอมละลายไปในทันที ทำให้จี้หยวนรู้สึกขายหน้าอยู่บ้าง แต่โชคดีที่เพลิงสมาธิเป็นความสามารถพิเศษของตนเอง
เมื่อลองด้วยเกล็ดทอง ครั้งนี้เชือกไหมทองพันบนเกล็ดทอง เพลิงสมาธิแผดเผาแล้วเกิดแสงชั้นหนึ่งบนเกล็ดทอง เพราะน้ำกับไฟไม่อาจอยู่ด้วยกัน ถูตน้ำกุ่ยแผ่คลื่นน้ำหลายระลอกต่อต้านกับเพลิงสมาธิชั่วขณะสั้นๆ
วินาทีต่อจากนั้น
ตูม!!
ซ่า…
ภายในห้องเหมือนมีน้ำตกระเบิด คลื่นน้ำมหาศาลสาดมา จี้หยวนถูกน้ำจนเปียกชุ่มไปครึ่งตัว จากนั้นน้ำก็ถูกต้มภายในระยะเวลาที่สั้นเป็นอย่างยิ่ง
ร่างกายของจี้หยวนปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอก ลอยละล่องราวกับเซียน
ความล้มเหลวจากการทดลองครั้งแรกอยู่ในความคาดหมายของจี้หยวน แน่นอนว่าวัตถุอาคมไม่อาจหลอมขึ้นโดยง่าย ผู้ฝึกปราณที่ฝึกฝนมรรคนี้โดยเฉพาะจำต้องพยายามทุ่มเทจิตใจอยู่นานปี แม้เขาเก่งเรื่องการควบคุมเป็นอย่างยิ่งก็ไม่อาจทำได้ในชั่วข้ามคืน
“ตอนนี้ยังอีกวิธีที่ยังไม่ได้ลองอยู่ในมือ…”
จี้หยวนมองบัญชาเวทอัสนีที่กะพริบแสงสายฟ้า ลังเลเล็กน้อย
‘หรือลองเส้นไหมหลอมพลังอีกครั้งดีกว่า อาจใช้ไฟแท้หลอมเชือกทองได้ก่อน จากนั้นกำจัดเพลิงทันทีเพื่อให้ไหมแทนที่เชือกทองดั้งเดิม แล้วถักทอเป็นเชือกทองที่มีคุณสมบัติเปลี่ยนไปเมื่อครู่!’
คิดได้ดังนั้นก็ทำทันที จี้หยวนไม่ใช่เชือกไหมทองใหม่เช่นกัน แต่ใช้ท่อนที่ถูกเพลิงเผาก่อนหน้านี้ เริ่มหลอมละลายอีกครั้ง
ด้วยความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นจากความสนใจและคาดหวัง จี้หยวนยังคงรักษาความนิ่งสงบ ลองใช้วัตถุอาคมในใจอย่างระมัดระวัง
ผ่านไปหนึ่งคืนโดยไม่รู้ตัว จี้หยวนที่ดูเหมือนไม่ประสบความสำเร็จอะไรค้นพบรายละเอียดบางอย่างเช่นกัน
หลอมวัตถุอาคมหรือสมบัติอาคมบางครั้งใช่ว่ามีความสามารถมากหรือฉลาดเป็นกรดก็ใช้ได้ ต้องอาศัยประสบการณ์และวิชาอัศจรรย์ รวมถึงโอกาสและเวลาอันเหมาะสม บางทีอาจเป็นสิ่งที่ขาดจิตวิญญาณดินหรือไม่ก็อย่างอื่น
แน่นอนว่าต้องเข้าใจหลักการอย่างถ่องแท้และขอคำแนะนำจากผู้สูงส่ง ส่วนผู้สูงส่งผู้นั้น ฝั่งตรงข้ามมีผู้สูงส่งแท้จริงคนหนึ่ง มีความสัมพันธ์อันดีกับจี้หยวนเช่นกัน น่าเชื่อถืออีกต่างหาก
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นจวนตระกูลเฉียว จี้หยวนถอนเขตอาคมออกทันเวลา ทำให้แสงแรกของวันส่องผ่านหมอกจางๆ เข้าสู่ประตูหน้าต่างกระดาษ
จี้หยวนที่ไม่ได้นอนทั้งคืนลุกขึ้นจากเตียงด้วยความกระปรี้กระเปร่า เดินไปที่หน้าประตู
แอ๊ด… เสียงนี้ดังขึ้นตอนเปิดประตู เป็นช่วงที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าจริงๆ ทำให้จี้หยวนรู้สึกอบอุ่นร่างกายอย่างแท้จริง
ขอทานชราที่ไม่ได้พักผ่อนทั้งคืนเปิดประตูในตอนนี้เช่นกัน ยิ้มและทักทายจี้หยวน
“ท่านจี้อรุณสวัสดิ์ พักผ่อนเป็นอย่างไรบ้าง”
“พักผ่อนได้ไม่เลว ผู้อาวุโสหลู่เล่า”
จี้หยวนตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ก็ใช้ได้ หากรู้ว่าท่านจี้แอบทำอะไรบ้างตอนกลางคืนก็คงดีกว่านี้…”
จี้หยวนยิ้มแล้วส่ายหน้า ในความคิดของขอทานชรา ตอนนี้จี้หยวนน่าจะไม่พูดอะไรหรือพูดอย่างมีเลศนัย จี้หยวนกลับเอ่ยปากพูดสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจออกมา
“เอ๋?”
ขอทานชราเผยสีหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
“แล้วเป็นอย่างไร”
จี้หยวนชี้โต๊ะหินกลางลาน
“ข้าคนแซ่จี้มีเรื่องสงสัยอยู่หลายเรื่อง อยากขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสหลู่”
ขอทานชรามองจี้หยวนเขม็ง เห็นจี้หยวนมีสีหน้าจริงใจ บนใบหน้ายิ้มเบิกบานใจเช่นกัน รีบออกมาจากในห้องแล้วเดินไปทางโต๊ะหิน
“มาๆๆ ท่านจี้ค่อยๆ พูด ข้าผู้ชราจะพูดทุกอย่างแน่นอน!”
จี้หยวนพยักหน้า ถึงตรงหน้าโต๊ะหินกลางลานแล้วสะบัดแขนเสื้อ บนโต๊ะปรากฏกาน้ำชาและจอกชา ยิ่งมีควันร้อนพวยพุ่งออกจากกาน้ำชาด้วย อีกทั้งมีน้พผึ้งที่ส่งกลิ่นหอมหวานป้ายอยู่กลางจานรองด้วย
“ฮ่าๆ น้ำผึ้งนี้เป็นของดีนี่! ใต้หล้านี้มีอยู่กับท่านเท่านั้น ลาภปากข้าผู้ชราอีกแล้ว!”
บุคคลระดับขอทานชราแยกแยะวัตถุวิญญาณดีชั่วได้อยู่แล้ว รู้สึกตั้งแต่ปีนั้นแล้วว่าน้ำผึ้งนี้พิเศษมาก เมื่อวานได้กินอาหารที่จี้หยวนทำแล้วยังได้ชิมน้ำผึ้งนี้อีก น้ำผึ้งส่งผลดีต่อผู้ที่มีระดับการฝึกปราณอย่างเขา นั่นต้องเป็นวัตถุอันเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณอย่างยิ่งยวด และจี้หยวนไม่เคยหลอมสร้างน้ำผึ้งนี้ มันเป็นของที่เกิดขึ้นโดยธรรมขาติ พูดได้เพียงว่าดอกไม้ที่สร้างน้ำผึ้งได้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆ หากผู้อาวุโสหลู่ชอบ ตอนบ่มน้ำผึ้งดอกไม้ได้ที่ ข้าคนแซ่จี้จะเก็บไว้ให้ท่านไหหนึ่งโดยเฉพาะ”
“สองไห!”
ขอทานชรายื่นสองนิ้วไปข้างหน้า จี้หยวนรีบส่ายหน้า
“ไม่ได้ๆ ไม่ใช่ว่าข้าคนแซ่จี้ขี้เหนียว แต่พักนี้น้ำผึ้งนี้หายาก ตักออกมาได้ไหหนึ่งก็ถือว่าท่านกับข้าเป็นสหายรักกันแล้ว คนทั่วไปตักให้หนึ่งช้อน นั่นถือว่ามีวาสนาต่อข้าคนแซ่จี้อย่างยิ่ง”
คำว่าสหายรักทำให้ขอทานชราเบิกบานใจมาก
“ฮ่าๆๆ…เป็นเช่นนั้นจริง ข้าผู้ชราย่อมรู้ว่าท่านจี้ไม่ใช่คนขี้เหนียว หนึ่งไหก็หนึ่งไห อย่าลืมก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นข้าจะไปนั่งขอทานที่หน้าเรือนสันติทุกวัน”
หลังจากพูดล้อเล่นแล้ว สองคนเริ่มเข้าสู่ประเด็นสำคัญ จี้หยวนไม่ปิดบังเช่นกัน เล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของเส้นไหมทองและความคิดทั้งหลายในใจขอทานชรารู้
หากเป็นคนอื่นพูดเรื่องพวกนี้ ขอทานชราฟังแล้วคงหัวเราะ แต่คนพูดเป็นจี้หยวน แม้เรื่องบางเรื่องเขาฟังแล้วเป็นความผิดพลาดไร้สาระจากสามัญสำนึก แต่ในมื่อจี้หยวนพูดออกจากปาก ขอทานชราก็อดครุ่นคิดอย่างตั้งใจสักรอบไม่ได้
“ตัวมันไม่จัดอยู่ในห้าธาตุ ทว่ากำลังเปลี่ยนเข้าสู่ห้าธาตุ ใช้ความไม่มีรับการมี นับเป็นสมดุลโดยธรรมชาติ จากนั้นค่อยคำนึงถึงหยินและหยาง…”
หากเป็นคนอื่นพูดเช่นนี้ ขอทานชราต้องต่อว่าตอกหน้าไปว่าโง่งม แต่จี้หยวนพูดจบแล้วเขากลับเงียบอยู่นาน ด้วยกำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้อื่น
“ถูกต้อง ธาตุอื่นล้วนดีหมด หลักๆ คือข้าคนแซ่จี้ขาดวัตถุจิตวิญญาณดิน จึงไม่อาจลองหลอมเข้าไปได้”
ขอทานชราไม่แสดงสีหน้า ทว่าในใจสั่นสะท้าน เขาเข้าใจคำพูดของจี้หยวน มั่นใจที่จะหลอมสี่ธาตุอื่นและหยินหยางเข้าไปแล้ว ขาดก็แต่ธาตุดิน
“ถ้าไม่มีจิตวิญญาณดิน ท่านจี้จะทำอย่างไร ตามความเห็นของข้าผู้ชรา ทำตามขั้นตอนที่สอดคล้องกันเพื่อเปลี่ยนแปลงดีกว่า”
“อืม ข้าคนแซ่จี้ก็คิดเช่นนั้น แต่ทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนเกิดจากสองปราณหยินหยาง อย่างไรเสียจะหลอมวัตถุก็ต้องอาศัยการหลอม ดังนั้นข้าคนแซ่จี้คิดใช้เพลิงสมาธิเป็นพื้นฐาน แสดงลักษณ์เพลิงแล้วค่อยคำนึงถึงหยินหยาง จากนั้นหลอมเข้าไปในเคราะห์อสนีมรรคสวรรค์ในธาตุไม้ เพิ่มกำลังด้วยแรงไฟ ผู้อาวุโสหลู่คิดเห็นอย่างไร”
ขอทานชรามุ่นคิ้ว
“เพลิงสมาธิ? เคราะห์อสนีมรรคสวรรค์?”
จี้หยวนขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตัว และจริงใจกับอีกฝ่ายโดยการเล่ารายละเอียดสุดยอดความสามารถสองอย่างของตนออกมา
“ข้าคนแซ่จี้ไม่กล้าพูดว่าถนัดคุมเพลิง แต่กลับมีอภินิหารทางเพลิงที่มีอานุภาพไม่ธรรมดา เรียกว่าเพลิงสมาธิ อภินิหารคุมอสนีก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน เรียกว่าบัญชาเวทอัสนี”
คนอย่างจี้หยวนนับว่าค่อนข้างถ่อมตน เรื่องนี้ขอทานชรารู้ดี อภินิหารอย่างจักรวาลในแขนเสื้อที่เห็นในปีนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา จี้หยวนมักบ่ายเบี่ยงต่อหน้าผู้คน ตอนนี้บอกว่าอานุภาพไม่ธรรมดา นั่นต้องอัศจรรย์จนยากคาดเดาแน่
“ให้ข้าผู้ชราชมหน่อยได้หรือไม่”
“ได้!”
ขณะที่จี้หยวนพยักหน้า อ้าปากเล็กน้อย
“ฮู่…”
ไม่ใช่ปราณเพลิงแท้ แต่เขาพ่นเพลิงสมาธิสามกลุ่มออกมา
ฉ่า…
เดิมทีเพลิงแท้มีอยู่ในเขตแดนเป็นเวลานาน ตอนแสดงออกมา ท่ามกลางเขตแดนของบุคคลที่มีมรรควิถีระดับสูงอย่างขอทานชราพลันเกิดความรู้สึกของทะเลเพลิงกลบฟ้า ทั้งภูเขา สายน้ำ สายลม ก้อนเมฆ ทุกอย่างล้วนถูกเผาไหม้…
เมื่อสลัดภาพลวงตาวินาทีนี้ไปแล้วมองเพลิงแท้ที่ลอยคว้างอยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด เปลวเพลิงขยับไหวอย่างมั่นคง ปรากฏสีแดงเทา และเหมือนกับไม่ได้ทำให้อุณหภูมิโดยรอบเพิ่มสูงขึ้น
อันตราย ไฟนี้อันตรายมาก!
“เพลิงสมาธิถือว่าเป็นวิชาที่ภาคภูมิใจของข้าคนแซ่จี้ แบ่งออกเป็นไฟแท้เตาโอสถที่หลอมขึ้นจากจิตวิญญาณไฟเทพ ไฟแท้หยินหยางที่หลอมจากปราณหยินหยาง สามลักษณ์สวรรค์ พื้นดิน มนุษย์สอดประสาน จึงขึ้นชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสมาธิ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกลายเป็นเพลิงสมาธิ ยากที่ผู้อยู่ในนั้นจะหลีกหนีได้ อานุภาพมหาศาล ข้าคนแซ่จี้ใช้งานน้อยนัก”
ขอทานชราสูดลมหายใจเข้า พยักหน้าอย่างจริงจัง ไม่คิดลองเช่นเดียวกัน รอจี้หยวนเก็บไฟแท้ จากนั้นมองจี้หยวนสะบัดแขนเสื้อ บัญชาเวทอัสนีกะพริบแสงสายฟ้าลอยออกมาจากแขนเสื้อ
เปรี๊ยะ…เปรี๊ยะ…
ความรู้สึกกดดันในครั้งนี้รุนแรงกว่าสภาวะที่ถูกกระตุ้นแต่ไม่ได้ปล่อยออกมาของเพลิงสมาธิ เหตุผลหลักคือบัญชาเวทอัสนียังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์
สีทองและแดงของแสงสายฟ้าเปลี่ยนสลับ กะพริบแสงวิญญาณไม่มั่นคง ปล่อยกลิ่นอายเคราะห์อสนีออกมาเป็นครั้งคราว กระตุ้นให้เกิดลมโดยรอบ ทรายและหินกลางลานเกลือกกลิ้งรอบโต๊ะหิน
ขอทานชรามองท้องฟ้า พบว่าลมและเมฆบนนั้นขยับมีเค้าลางรวมกลุ่ม เพียงเพราะเวทอสนีปรากฏ
“ยันต์วิญญาณนี้มีชื่อว่าบัญชาเวทอัสนี ปีนั้นมีมังกรเจียวดำบำเพ็ญเพียรได้รับบาดเจ็บหนัก แก่นพลังรอบกายรั่วไหล ข้าคนแซ่จี้ใช้วิชาบัญชาฝืนเก็บแก่นพลังแล้วหลอมเข้าสู่เจตปีศาจหยางแท้ ควบแน่นเป็นเวทอสนี หลังจากนั้นดูดซับสายฟ้าอยู่เสมอ ยิ่งเก็บสายฟ้าจากเคราะห์สวรรค์ที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งไว้ด้วย บัดนี้ขาดไฟเพียงเล็กน้อยถึงจะกลับมามั่นคงดังเดิม”
คิดแล้วจี้หยวนกล่าวเสริมอีก
“ไม่อาจใช้เวทนี้โดยง่ายเช่นกัน”
ขอทานชราฝืนยิ้ม
“หากใช้เวทนี้เกรงว่าสวรรค์จะลงโทษ ท่านจี้มีศีลธรรมดาอันดี ย่อมใช้งานอย่างระมัดระวังอยู่แล้ว”
ในเมื่อพูดถึงไม้และไฟสองธาตุแล้ว จี้หยวนพูดถึงอีกธาตุหนึ่ง ขณะเดียวกันหยิบเกล็ดทองออกมา
“สิ่งนี้ข้าได้มาจากทะเลกระจกภายในหอทะเลกระจกลี้ลับ เป็นของภูตน้ำกุ่ย…”
“ปลาซวิ่นเกล็ดทองทะเลกระจก?”
“ถูกต้อง เป็นปลานี้ ก่อนหน้านี้ข้าคนแซ่จี้นำแก่นน้ำกุ่ยของปลาตัวนี้แทรกเข้าไปในเกล็ดปลากึ่งหนึ่ง จากนั้นเก็บไว้ทำเป็นของธาตุน้ำ”
ทำ?
ขอทานชราเบิกตาโพลง
“มีสีทอง แม้ดูเหมือนด้อยกว่า แต่ยืดขยายได้มาก ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนัก…”
“เอาล่ะๆๆ…ท่านจี้ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าผู้ชรารู้แล้วว่าท่านเก่งกาจ อย่าพูดเลย…พวกเราพูดถึงธาตุดินดีกว่า ท่านขาดธาตุดิน พวกเราคิดหาวิธีเถอะ…”
“พูดเรื่องวิธีหลอมก่อนดีกว่า ข้าคนแซ่จี้มรรควิถีไม่เพียงพอ อีกทั้งมรรควิถีไม่สู้ผู้อาวุโสหลู่ เมื่อคืนข้าลองดู…”
สรุปว่าจี้หยวนขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตัวจริง ไม่ได้แสดงพลังใดกระตุ้นเขา ขอทานชราถอนใจโล่งอกเช่นกัน อีกทั้งไม่นานก็เข้าสู่สภาวะ ทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าจี้หยวน
ของมีค่าที่ยากจะได้มาในหลายยุคเช่นนี้ มีผู้สูงส่งอย่างเขากับจี้หยวนสองคนหารือกัน อาจหลอมด้วยกันได้จริง เช่นนั้นแล้ววัตถุพลังที่หลอมออดมาได้ควรยอดเยี่ยมเพียงใด
เพียงแค่คิดก็ทำให้บุคคลที่มีมรรคเทพสูงส่งอย่างขอทานชราตื่นเต้นจนทนไม่ไหวแล้ว