เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 507 เดาว่าหลอมอะไร
ตอนที่ 507 เดาว่าหลอมอะไร
……………………………………………………………………..
แน่นอนว่าคำพูดเจียงเสวี่ยหลิงไม่อาจถือเป็นจริงเป็นจัง งานชุมนุมเซียนพเนจรย่อมควรไป ภายใต้การเร่งเร้าของคนรุ่นเยาว์แห่งสำนักยรรยง นางดื่มน้ำชาในถ้วยอึกเดียวหมด ก่อนลุกขึ้นจากไปพร้อมกัน
ไม่นานเมฆหมอกสายหนึ่งพาเหล่าผู้ฝึกปราณหญิงสำนักยรรยงที่มาครั้งนี้ลอยไปกลางอากาศ เหาะไปทางยอดเขามรรคสวรรค์ซึ่งห่างไกล ผู้นำคือเจียงเสวี่ยหลิงนั่นเอง
ไม่ใช่แค่พวกนาง โดยรอบยังมีแสงเคลื่อนบ้างเจิดจรัสบ้างเก็บงำมากมาย จุดหมายปลายทางล้วนคือยอดเขามรรคสวรรค์
เขาเก้ายอดคือเทือกเขาใหญ่สุดในถ้ำสวรรค์เก้ายอดโดยไม่ต้องสงสัย สภาพภูเขาสูงชัน ยอดเขาใหญ่ที่สุดยิ่งสูงเสียดเมฆ ทั้งกลางเขายังมีเมฆหมอกไม่สลายนานปี แต่กลับไม่มีความรู้สึกว่ามืดมนนัก ด้วยแม้ว่าเมฆหมอกพวกนี้เปลี่ยนแปลงตลอด แต่ยังมีช่องพอให้แสงแดดลอดผ่าน
ยอดเขามรรคสวรรค์เป็นยอดเขาหลักของเขาเก้ายอด ทั้งยิ่งใหญ่สุดในบรรดายอดเขาเก้าแห่ง วันนี้จึงเปิดผนึกเป็นสถานที่จัดงานชุมนุมเซียนพเนจร ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดสำแดงวิชาตกแต่งจนศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง
ยังไม่ถึงยอดเขามรรคสวรรค์ก็เห็นยอดเขามหึมาปกคลุมด้วยประกายแสงมงคล คล้ายแสงเหนืองดงามหลากสีมากมายวนเวียนล้อมรอบยอดเขา ทั้งมีเพลงเซียนดังมาเป็นระลอก ทำให้ผู้ได้ยินสบายอกสบายใจ
เว่ยหยวนเซิงตามหลังฉิวเฟิง สีหน้าตื่นเต้นยากปกปิดเหมือนศิษย์พี่เขาล้อมหยกคนอื่น โดยรอบใกล้ไกลคือแสงเซียนมากมาย แสงเซียนแต่ละแห่งสื่อถึงผู้ฝึกเซียนคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง จำนวนเยอะกว่าขบวนผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนที่จี้หยวนพบตอนอยู่จังหวัดชุนฮุ่ยมาก
ความจริงบรรดาเซียนอย่างพวกฉิวเฟิงกับหยางหมิงล้วนไม่ดีกว่ากันเท่าไหร่ ในใจตกตะลึงมากเช่นกัน กลุ่มคนที่มาคราวนี้ นอกจากจูหยวนจื่อแล้ว คนอื่นล้วนเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนพเนจรเป็นครั้งแรก
“อาจารย์ เซียนจูกับท่านจี้ล้วนไม่อยู่ พวกเราไม่เป็นไรกระมัง”
เมื่อใกล้ยอดเขามรรคสวรรค์เรื่อยๆ ในที่สุดเว่ยหยวนเซิงก็ดึงสติกลับมาจากภาพทิวทัศน์ ถามฉิวเฟิงที่อยู่ข้างกายเสียงเบา
“ไม่ต้องกลัว ผู้ฝึกเซียนอย่างพวกเราไม่ตื่นตระหนก ต่อให้เซียนจูกับท่านจี้ไม่อยู่ พวกเราแค่นั่งนิ่งอย่างสงบ อย่าเข้าร่วมการเสวนามรรคก็พอ”
“อ้อ… จริงสิอาจารย์ ได้ยินว่าการเปิดงานชุมนุมเซียนพเนจรต้องนั่งบนเขานาน กินข้าวอย่างไร เขาเก้ายอดส่งข้าวมาหรือ”
คนที่พลังปราณยังตื้นเขินอย่างเว่ยหยวนเซิง ไม่อาจอดอาหารได้นาน ไม่กินสองสามวันย่อมเริ่มรู้สึกหิวโหย
“หึๆ หยวนเซิงวางใจเถอะ งานชุมนุมเซียนพเนจรไม่ใช่แค่งานต่อปากต่อคำ ผู้สูงส่งแต่ละแห่งสำแดงวิชาหรือร่วมเสวนามรรค ยิ่งขาดการสาธิตวิชาหรือต่อสู้กันไม่ได้ ในฐานะผู้จัดงานชุมนุม เขาเก้ายอดย่อมพิจารณารอบด้าน ไม่ให้ขาดตกบกพร่องอะไร ทุกหนแห่งล้วนมีผลไม้เซียนบ่ม ขนมงามประณีตมีดาษดื่น”
“ใช่ ศิษย์พี่กล่าวถูกต้อง ถ้ายึดตามคำพูดของท่านจี้ ความจริงเซียนคือผู้ยินดีแสวงหาความดีงาม เมื่อถึงเวลาเหมาะสมย่อมชอบผ่อนคลายบ้าง ดังนั้นไม่มีทางปล่อยให้เจ้าหิว มิฉะนั้นสหายยุทธ์เขาเก้ายอดคงถือว่าต้อนรับไม่ทั่วถึง!”
“ฮ่าๆๆๆๆ…”
เหล่าเซียนเขาล้อมหยกหัวเราะขึ้นมา บรรดาศิษย์ด้านหลังเบิกบานตาม ทั้งมีคนโล่งอกเหมือนเว่ยหยวนเซิง
“แต่งานชุมนุมเซียนพเนจรเริ่มแล้ว ท่านจี้กับเซียนจูยังไม่กลับมา พวกเขาน่าจะมาไม่ทันแล้วกระมัง”
หยางหมิงได้ยินคำพูดของซ่างอีอี เขาหันกลับไปมองยอดเขาเซียนมาเยือน
“เรื่องนี้พวกเราไม่ต้องห่วง ปัจจุบันผู้สนใจยอดเขาเซียนมาเยือนมีไม่น้อย!”
“ทุกคนจัดระเบียบเสื้อผ้าหน่อย พวกเรามาถึงแล้ว”
โฉบผ่านเมฆหมอกโดยรอบ แสงเซียนตรงหน้าเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกโรยตัวบนยอดเขามรรคสวรรค์ช้าๆ
แม้ว่าเป็นแค่ยอดเขาแห่งหนึ่ง แต่ยอดเขามรรคสวรรค์กว้างใหญ่มาก ยอดเขาสลับกันราวเทือกเขาแออัดเรียงรายแถบหนึ่ง บนยอดเขาแต่ละแห่งมีศาลาพลับพลากับทิวทัศน์เงียบสงบ โต๊ะ น้ำชา ผลไม้ เบาะรองนั่งล้วนมีไม่น้อย
ตำแหน่งที่ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกโรยตัวคือภูเขาไม่สูงไม่ต่ำแห่งหนึ่ง ตอนนี้มีผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดคนหนึ่งยืนรออยู่ตรงนั้นเงียบๆ
“หลินเจี้ยนแห่งเขาเก้ายอด คารวะสหายยุทธ์เขาล้อมหยกทุกท่าน”
หลินเจี้ยนคือผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดที่มีวาสนาเจอจี้หยวนบนทะเลตะวันออก ตอนนั้นเขากับฉือกุยเชิญจี้หยวนมางานชุมนุมเซียนพเนจรเอง บุคคลระดับบรรพจารย์แห่งเขาเก้ายอดทราบถึงความสัมพันธ์นี้เข้า จึงให้หลินเจี้ยนคอยต้อนรับผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกโดยเฉพาะ
“คารวะสหายยุทธ์หลิน!”
“คารวะสหายยุทธ์หลิน!”
หลังจากคารวะกันแล้ว หลินเจี้ยนผายมือไปทางศาลาด้านหลัง แนะนำสถานที่นี้กับทุกคน ภายในมีโต๊ะมากมายจัดวางไว้ บนโต๊ะแต่ละตัวล้วนไม่ขาดเครื่องดื่มผลไม้ ทั้งมีกระถางธูปเปี่ยมควันลอยล่อง
ไม่ใช่แค่ที่นี่ ทุกหนแห่งทั้งใกล้ไกลต่างมีแสงเซียนโรยตัว ระหว่างมรรคสถานของแต่ละสำนักเซียน ห่างกันประมาณสิบกว่าจั้งถึงหลายสิบจั้ง ถือว่าไม่ใกล้ไม่ไกล ตรงกลางยอดเขามรรคสวรรค์ยังมี ‘แท่นเสวนามรรค’ ซึ่งจำเป็นต่องานชุมนุมเซียนพเนจร
แท่นเสวนามรรคต่างมีมาตรฐาน ตรงเขาเก้ายอดสร้างจากแผ่นหินเขียวทรงกลมขนาดมหึมา ด้านบนสลักค่ายกลอักษรวิญญาณนับไม่ถ้วน แฝงนัยรองรับมรรคฟ้าดิน
แท่นเสวนามรรคไม่ถือว่าเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางราวร้อยจั้ง ตอนนี้กลางแท่นเสวนามรรคมียันต์วิญญาณมหึมาเหลือบแสงลอยล่อง อักษรวิญญาณบนนั้นแปรเปลี่ยนไม่หยุด ทุกครั้งยามวูบไหวจะมีแสงเซียนสะท้อนทั่วยอดเขามรรคสวรรค์ ปรากฏทิวทัศน์งามแห่งฟ้าดินนานัปการ ตั้งแต่เขาเขียวน้ำใสห่างไกลถึงต้นไม้ใบหญ้าละเอียดอ่อน กระทั่งการหลอกล้อกันของสิ่งมีชีวิตมากมาย
เพลงเซียนของยอดเขามรรคสวรรค์แสดงโดยเซียนหญิงสวมชุดพลิ้วไหวสามสิบกว่าคน มือถือเครื่องดนตรีนานัปการ บรรเลงตรงมรรคสถานบนยอดเขาเล็กค่อนข้างสูงแห่งหนึ่ง มองเห็นแสงนุ่มนวลลอยตามเพลงเซียนทั่วรัศมียอดเขามรรคสวรรค์
“อาจารย์ ทิวทัศน์แปรเปลี่ยนไม่หยุดตรงแท่นเสวนามรรคหมายความว่าอะไร”
ฉิวเฟิงลูบเคราสั้นของตนเบาๆ ครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“น่าจะแฝงนัยการเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์นานัปการแห่งฟ้าดิน ทั้งแฝงนัยวัฏจักรมรรคสวรรค์ เจ้าดูการเปลี่ยนแปลงสี่ฤดูนั่น ต้นไม้ใบหญ้าถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแหล่ ทั้งดูการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตะวันเด่นตะวันคล้อย ไม่ใช่มรรคแห่งฟ้าดินหรอกหรือ”
ความจริงฉิวเฟิงไม่ทราบความหมายที่แท้จริง แต่อาศัยความเข้าใจส่วนตัวว่าคงเป็นเช่นนี้ เซียนเขาล้อมหยกคนอื่นทยอยพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย
ห่างออกไปราวเจ็ดแปดยอดเขา เหล่าผู้ฝึกปราณหญิงแห่งสำนักยรรยงพากันโรยตัว ยันต์วิญญาณเหนือแท่นเสวนามรรคเผยภาพร้อยบุปผาเบ่งบานพอดี สะท้อนทั่วทุกมุมยอดเขามรรคสวรรค์ ข้างกายทุกคนเหมือนมีบุปผาเบ่งบานรางๆ
เจียงเสวี่ยหลิงค้อมตัวยื่นมือไปตรงพื้น คว้าโบตั๋นแดงสีฉูดฉาดสดใหม่ดอกหนึ่งมาถือไว้ นำมาสูดกลิ่นแผ่วเบาตรงจมูก กลิ่นบุปผาเลือนรางเตะจมูกทันที
การเคลื่อนไหวของเจียงเสวี่ยหลิงเหมือนทำลายกฎเกณฑ์ลึกลับบางอย่าง บุปผาส่งกลิ่นทั่วยอดเขามรรคสวรรค์ทันที มายาทะเลบุปผาโดยรอบเหมือนคืนชีพ กลิ่นบุปผานานัปการลอยออกมา ทำให้ผู้ฝึกเซียนทุกคนลุ่มหลง
“นับว่ามีสีสันของงานชุมนุมมรรคเซียนอยู่บ้าง!”
เจียงเสวี่ยหลิงยิ้มพลางกล่าวประโยคหนึ่ง ก่อนนั่งลงบนเบาะรองในศาลา ผู้ฝึกปราณหญิงสำนักยรรยงคนอื่นพากันนั่งลง ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับแอบมองเจียงเสวี่ยหลิงอีกครั้ง จากนั้นค่อยขอตัวจากไป
สำนักยรรยงไม่ชอบคบค้ากับคนนอก ทำท่าเหมือนไม่สนใจอะไร มักทำตัวห่างเหิน นี่คือการวางท่าปฏิเสธอย่างแท้จริง รัศมีพันลี้รอบสำนักยรรยงล้วนไม่ต้อนรับภูตผีปีศาจรวมถึงผู้ฝึกเซียนภิกษุครองมรรควิถีใด
โลกบำเพ็ญเซียนถึงขั้นลือว่าการฝึกสงบของสำนักยรรยงใกล้เคียงกับการตัดความรู้สึก แม้ว่ามีคนสงสัยว่าเกินจริงไปบ้าง แต่ล้วนเกิดจากท่าทีของสำนักยรรยงเองไม่ใช่หรือ
แสงเซียนมากมายโรยตัวลง ไม่นานยอดเขามรรคสวรรค์มีผู้ฝึกเซียนรวมตัวกันมากกว่าจำนวนคนเขาเก้ายอด
เจ้าสำนักเขาเก้ายอดพาเหล่าผู้ฝึกปราณมรรควิถีสูงส่งแห่งเขาเก้ายอดมายืนบนแท่นเสวนามรรค ส่งเสียงมรรคแพร่กระจายทั่วเขาเก้ายอด
“ผู้ฝึกเซียนอย่างพวกเราท่องเหินทั่วสารทิศ พบการเปลี่ยนแปลงมากมาย พินิจความอัศจรรย์ฟ้าดิน… หนึ่งเพื่อแจ้งมรรค สองเพื่อความอิสระ! ฟ้าดินกว้างใหญ่เพียงใด มรรคสวรรค์แผ่กว้างระดับใด ปัจจุบันครบรอบอีกครั้ง พวกเราเซียนพเนจรทั่วทิศ รวมตัวบนยอดเขามรรคสวรรค์พอดี ช่วงจัดงานชุมนุมเซียนพเนจร ข้าคนแซ่จ้าวหวังว่าสหายยุทธ์ทุกท่านจะแจ้งมรรคเร็ววัน!”
เจ้าสำนักเขาเก้ายอดพูดจบแล้วชี้ไปบนฟ้า เห็นชัดว่าไม่มีวิชาเปลี่ยนแปลงอะไร แต่กลับเหมือนมือข้างนี้ก้าวข้ามขีดจำกัดของห้วงอากาศและขอบเขต แตะยันต์วิญญาณกลางอากาศ
แก๊ง!
แก๊ง!
แก๊ง!
…
นี่คือเสียงระฆังเสนาะหูอย่างหนึ่ง ต่างจากเสียงระฆังสำริดหนักแน่นภายในอาราม เสียงระฆังนี้ดังกังวาน สะท้อนเหมือนเพลงเซียนเป็นระลอก
ฟุ่บ… ฟุ่บ… ฟุ่บ…
แสงเหนือเจ็ดสีส่องประกายวาบผ่านยอดเขามรรคสวรรค์ หลังจากเสียงระฆังดังกังวานเก้าครั้ง เจ้าสำนักเขาเก้ายอดพาผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดออกจากแท่นเสวนามรรค ไม่ได้ใช้วิชาเหาะเหินอะไร แต่เดินไปทางยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้างทีละก้าว ก่อนนั่งบนเบาะรองตรงศาลาของตน
เสียงเซียนขับกล่อม เมฆลึกหมอกล้อม ยามประกายแสงพร่าเลือน ทั่วยอดเขามรรคสวรรค์เหมือนสงบลง ผู้ฝึกเซียนทุกคนราวดื่มด่ำกับการนั่งสมาธิท่ามกลางความรู้สึกลึกลับเกินคาดเดา
มีชายรูปงามสวมชุดคลุมเหลืองทอดยาวคนหนึ่งเดินมาบนแท่นเสวนามรรคโดยไม่รู้ตัว เสื้อผ้าของเขาหลวมและยาวมากจริงๆ ถึงขั้นเห็นว่ามีหลายส่วนลากพื้นแล้ว แต่เสื้อผ้ายังสะอาดหมดจด คล้ายว่าไม่เคยสัมผัสพื้น
ชายหนุ่มกวาดมองโดยรอบ ยิ้มพลางชี้ยันต์วิญญาณบนฟ้า แสงธรรมเลือนรางสายหนึ่งลอยไป
แก๊ง!
เสียงระฆังกังวานดังขึ้นอีกครั้ง เสียงชายหนุ่มดังทั่วยอดเขามรรคสวรรค์ตามเสียงระฆัง
“เลือกวันพบไม่สู้เจอโดยบังเอิญ ทุกอย่างล้วนมีวาสนา มิสู้พวกเรามาลองเดาสิ่งที่สหายยุทธ์บนยอดเขาเซียนมาเยือนหลอมคือสมบัติอัศจรรย์อะไรดีหรือไม่”
บนยอดเขาเล็กซึ่งห่างไปไม่ไกล เจ้าสำนักเขาเก้ายอดเผยรอยยิ้ม กล่าวเสียงเบากับคนที่อยู่ด้านข้าง
“ไม่เลว แบบนี้ย่อมดีมาก ความขัดแย้งคงน้อยหน่อย”
ด้านข้างคือชายวัยกลางคนหน้ามีเลือดฝาด แต่เรือนผมยาวกลับดำขลับสลับเงิน เริ่มขาวเป็นดอกเลา ได้ยินคำพูดของเจ้าสำนักเขาเก้ายอด เขาแค่ยิ้มเล็กน้อย
“เจ้าสำนักจ้าว ท่านมองโลกแง่ดีเกินไปแล้ว!”