เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 508 ตรงไหนคือสถานที่จัดงาน
ตอนที่ 508 ตรงไหนคือสถานที่จัดงาน
……………………………………………………………………..
หลังจากนั้นสามวัน ยอดเขามรรคสวรรค์
บนแท่นเสวนามรรคคึกคักผิดปกติ รวมชายรูปงามชุดเหลืองคนก่อนหน้านี้แล้ว มีผู้ฝึกเซียนจากแต่ละสำนักทั้งหมดสิบกว่าคนโต้เถียงอภิปรายกันอยู่ที่นี่
รอบแท่นเสวนามรรคมีประกายแสงจากวิชานานัปการผุดขึ้นไม่หยุด พวกเขาใช้ตำราอักษรกับเจตเทพมาสนับสนุนข้อสรุปตน
สามวันนี้ประเด็นถกเถียงกลายเป็นเด่นชัดทีละน้อย ทั้งประเด็นโต้แย้งที่เกิดขึ้นยังชักนำวิชาเซียนของแต่ละสำนักออกมา เดิมเรื่องการเดาสมบัติวิเศษไม่เป็นไร แต่ด้วยเกี่ยวกับวิชาเซียนและทฤษฎีมรรคแต่ละสำนัก พวกเขาจึงตกสู่สถานการณ์พิพาทเสวนามรรคกลางงานชุมนุมเซียนพเนจร
“สมบัติวิเศษซึ่งหลอมบนยอดเขาเซียนมาเยือน แน่นอนว่าเป็นสมบัติคุมเพลิงร้ายกาจชิ้นหนึ่ง ขอแค่ตาไม่บอดย่อมไม่ยากที่จะเห็นเพลิงร้อนแรงนั่น! พวกเราวังสุริยันเคยบันทึกว่ามีเพลิงหนึ่งนามว่าเพลิงยอดหยาง คล้ายกับกำลังไฟของเพลิงนี้มาก!”
“สหายยุทธ์พูดเกินจริงกระมัง! การหลอมอาวุธมีหรือจะไม่ใช้ไฟ ทุกคนหลอมอาวุธเป็นสมบัติวิเศษคุมเพลิงหมดหรือ”
“คิดว่าสหายยุทธ์คงไม่ค่อยออกมาข้างนอกเท่าไหร่กระมัง วิชาหลอมอาวุธพันหมื่นแปรเปลี่ยน กล่าวถึงแค่ไฟหลอม สายตาตื้นเขินเพียงใด!”
“หึๆ อาศัยเพียงกำลังไฟมาตัดสินว่าเป็นสมบัติวิเศษคุมเพลิงย่อมเป็นเช่นนี้ ข้าคิดว่าสรรพสิ่งเมื่อถึงจุดสูงสุดย่อมพลิกผัน ไม่แน่ว่าอาจเป็นสมบัติหนาวเหน็บ! พวกเราหอยอดน้ำแข็งมีตำราเซียนกล่าวว่าสกัดไฟลุกโชนหลอมหนาวเหน็บ ภายในก่อเกิดความเย็นไร้สิ้นสุด ภายนอกเปลวเพลิงโชติช่วง!”
“พวกท่านพูดเพ้อเจ้อ ผู้รวมตัวบนยอดเขาเซียนมาเยือนเป็นใคร นั่นคือผู้สูงส่งปราณชั้นยอดห้าคน ถึงขั้นมีมังกรแท้ตัวหนึ่ง ทั้งห้าคนร่วมกันหลอมสมบัติ ตัดสินเพียงเปลือกนอกได้อย่างไรเล่า พลังปราณทุกท่านไม่สูงส่งแต่กลับคุยโววางท่าไม่หยุด! ทฤษฎีแจ้งจิตเคยกล่าวว่าวิชาหมื่นลักษณ์ล้วนคือมายา คิดฟุ้งซ่านย่อมลุ่มหลง จากลักษณ์ประหลาดบนยอดเขาเซียนมาเยือน หากคิดนอกกรอบอาจเป็นสมบัติลวงตาหรือพิทักษ์จิตชิ้นหนึ่ง!”
“สหายยุทธ์ท่านพูดเพ้อเจ้อไม่ใช่หรือ”
“เหลวไหล!”
“ทฤษฎีแจ้งจิตอีกแล้ว หกสิบปีก่อนท่านก็พูดเช่นนี้! คัมภีร์มรรคเล่มนี้สารพัดประโยชน์จริง”
“ทำไม เดิมหลักการฟ้าดินครอบคลุมสรรพสิ่ง ทฤษฎีแจ้งจิตสารพัดประโยชน์บ้างไม่ได้หรือ ดีกว่าพวกเจ้าที่เห็นไฟแล้วบอกว่าเป็นสมบัติคุมเพลิง ยังมีหอยอดน้ำแข็งที่พูดจาเหลวไหลยิ่งกว่าพวกเจ้า อ้างว่าสรรพสิ่งเมื่อถึงจุดสูงสุดย่อมพลิกผัน อาศัยความเย็นกระตุ้นเปลวเพลิงเพื่อโต้แย้งวังสุริยัน!”
“เหลวไหลสู้เจ้าได้หรือ”
“ไม่ผิด ทฤษฎีแจ้งจิตคือตำราสวรรค์ไร้สาระอันดับหนึ่งในใต้หล้า ผู้ฝึกเซียนทั่วหล้าใครไม่รู้บ้าง”
“อะไรนะ!? เจ้าลองพูดอีกทีสิ”
…
เหล่าผู้ฝึกเซียนเรียบร้อยมีมารยาท จากพูดจานุ่มนวลเนิบช้าตอนแรก ถึงตอนนี้เสียงอสนีดังกระหึ่มแสงธรรมปรากฏ บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
บนยอดเขาเล็กข้างแท่นเสวนามรรค ชายผมเทายิ้มพลางส่ายหัว กล่าวกับเจ้าสำนักเขาเก้ายอด
“เจ้าสำนักจ้าว ข้าว่าท่านมองโลกแง่ดีเกินไปกระมัง”
ยามสิ้นเสียงชายวัยกลางคนไม่นาน บรรยากาศแท่นเสวนามรรคร้อนระอุยิ่งกว่าเดิม ทั้งมีแสงเคลื่อนมากมายลอยมาบนแท่นเสวนามรรคจากทั่วยอดเขามรรคสวรรค์ ช่วยเสริมอานุภาพของฝ่ายตน
“สหายยุทธ์ทุกท่านเข้าใจหลักการคัมภีร์มรรคสำนักตนลึกซึ้งเช่นนี้ คิดว่ามรรควิถีย่อมสูงส่งแน่”
“ข้าเองคิดแบบเดียวกัน ทุกท่านแจ้งหลักการคัมภีร์มรรค ย่อมเป็นผู้ครองพลังปราณไม่ธรรมดาจากทุกสำนักเซียนกระมัง มิฉะนั้นไม่ใช่ว่าพูดเพียงลมปากโดยไร้หลักฐานหรอกหรือ”
“ยากจะความคิดตรงกัน พูดโดยปราศจากหลักฐานหรือไม่ จำเป็นต้องให้สหายยุทธ์ทุกท่านพิจารณา!”
“ฮ่าๆๆๆๆ… พูดได้ไม่เลว ฮ่าๆๆๆๆ…”
เสียงหัวเราะราวกับอสนีบาตดังกระหึ่มทั่วทุกหนแห่งบนยอดเขามรรคสวรรค์ ต่อให้แท่นเสวนามรรคมีค่ายกลพิเศษคอยจำกัด แต่ยังอึกทึกสนั่นหูศิษย์ปราณตื้นเขินแต่ละสำนักเซียนบนยอดเขามรรคสวรรค์
ปากเว่ยหยวนเซิงเคี้ยวขนม สองมืออุดหูมองแท่นเสวนามรรค
“อาจารย์ เสียงพวกเขาดังนัก การเสวนามรรคน่ากลัวเช่นนี้หรือ”
ฉิวเฟิงแสยะยิ้มเล็กน้อย มองเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์แห่งเขาล้อมหยกโดยรอบ
“มีน่ากลัวกว่านี้อีก ดูท่าทางว่าอีกเดี๋ยวคงสู้กันแล้ว!”
ศิษย์เขาล้อมหยกพากันหดคอ เซียนฉิวแค่กล่าวโดยอ้อม พูดว่าเป็นการต่อสู้ ดูท่าทางตอนนี้ยังเป็นแค่การต่อปากต่อคำ แต่เตรียมลงมือสู้กันแล้ว
“อะแฮ่มๆ พวกเราเขาล้อมหยกไม่ไปเข้าร่วมๆ…”
ผู้อาวุโสสองคนที่ร่วมทางมาไม่อยู่ ตอนนี้เซียนหยางหมิงเป็นผู้นำเขาล้อมหยก แม้ว่าครั้งนี้เขาล้อมหยกมีความคิดเผยตัว แต่ตอนนี้กลับไม่มีความคิดไปหาเรื่องใส่ตัว
โครม ครืน…
อสนีบาตฟาดผ่าอสรพิษเงินร่ายรำ…
ฮูม…
ท่ามกลางแสงอสนีเปลวไฟพลันลุกโชน
“สารเลว คุมเพลิงอย่างเดียวสิ เจ้าฟาดอสนีด้วยหรือ”
“ฮ่าๆๆๆๆ เพลิงอสนีๆ อสนีบาตก่อเกิดไฟ เพลิงไพรร่วมเคียงอานุภาพไร้ขอบเขต อะไรเรียกว่าสายฟ้ากระตุ้นเพลิงปฐพี เช่นนี้อย่างไรเล่า!”
“คอยดูข้าจะแช่แข็งปากเจ้าพร้อมเพลิงอสนีของเจ้าซะ!”
…
บนยอดเขามรรคสวรรค์แสงไร้ขอบเขตส่องประกาย เสียงอสนีกับเสียงคำรามดังไม่หยุด
ด้วยการวางค่ายกลอย่างชาญฉลาด ลานมรรคบนยอดเขาเล็กสูงต่ำต่างกัน ผู้ฝึกเซียนทุกแห่งมองเห็นแท่นเสวนามรรคชัดเจน
มีคนหลับตาบำรุงจิตไม่ใส่ใจ มีคนเข้าใจความรู้สึกจมสู่ห้วงคิด มีคนคับแค้นเต็มอก ทั้งมีคนยิ้มพลางส่ายหัว…
บนยอดเขาเซียนมาเยือนที่ห่างไกล พวกจี้หยวนได้ยินการเคลื่อนไหวบนยอดเขามรรคสวรรค์ สำแดงวิชารักษาสมดุลพลางวิจารณ์คนอื่นอย่างสบายใจ
ขอทานชรายิ้มพลางกล่าว
“หึๆ ดูท่าว่างานชุมนุมเซียนพเนจรคงเริ่มอย่างเป็นทางการแล้ว!”
จากมุมมองของขอทานชรา เสียงระฆังก่อนหน้านี้ไม่ได้สื่อว่าเริ่มงานชุมนุมเซียนพเนจร แต่เป็นตอนนี้ต่างหาก
จี้หยวน จูหยวนจื่อ จู้ทิงเทาได้ยินแล้วไม่กล่าวอะไร แต่มังกรเฒ่ากลับยิ้มหยัน
“คำว่าเซียนธรรมดาเช่นนี้หรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้อีกสามคนมองมังกรเฒ่าโดยไม่ส่งเสียง แต่จี้หยวนเผยรอยยิ้มพลางเอ่ยปาก
“อะไรคือเซียน อะไรคือธรรมดา ทะยานฟ้าท่องเหินชี้แนะแว่นแคว้น? ต่อรองราคาตามตลาด? ทั้งสองแบ่งสูงต่ำด้วยหรือ”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูดคำนี้ มังกรเฒ่าคงตอบโต้แน่ แต่ผู้พูดคือจี้หยวน มังกรเฒ่าคิดว่าจี้หยวนย่อมกล่าวออกมาจากใจ เขาใคร่ครวญครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้
“เรียกว่ามรรคเหมือนกัน ไม่แบ่งสูงต่ำจริงๆ”
ยามสิ้นเสียงมังกรเฒ่า นอกจากจี้หยวนแล้วอีกสามคนสีหน้าดูดีขึ้นมาทันที จู้ทิงเทายิ่งยิ้มกล่าว
“ประมุขมังกรพูดมีเหตุผล มรรคไม่แบ่งสูงต่ำ แต่ผู้เสวนามรรคมีต่ำสูง ทั้งยินดีชิงความเหนือชั้น… ดังคำว่าคนต่างมรรคพบกัน เห็นคนธรรมดาใจข้าราบเรียบ เจอสหายยุทธ์…”
ขอทานชรากล่าวต่อทันที
“เจอสหายยุทธ์ข้าจะหยามหน้าเจ้า!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ…”
“สหายยุทธ์หลู่กล่าวถึงแก่น!”
“แม้ว่าหยาบคายบ้าง แต่ตามหลักเป็นเช่นนั้น!”
มังกรเฒ่าหัวเราะขึ้นมาเช่นกัน คนที่จี้หยวนให้ความสำคัญล้วนน่าสนใจดังคาด
ความจริงบรรยากาศหนักหน่วงนัก ก่อนหน้านี้ยามมังกรเฒ่าเพิ่งมา นอกจากจี้หยวนแล้ว เขาเว้นระยะห่างกับอีกสามคน แต่ตอนนี้การขีดเส้นแบ่งหายไปแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ความจริงตรงยอดเขาเซียนมาเยือนกำลังเสวนามรรคเช่นเดียวกัน ไม่ว่าคุยเรื่องยอดเขามรรคสวรรค์ หรือคุยเรื่องการหลอมสมบัติ
หากพูดถึงระดับคุณภาพ การเสวนามรรคของยอดเขาเซียนมาเยือนเหนือกว่าการถกเถียงกันบนยอดเขามรรคสวรรค์มาก
ด้วยเรื่องที่ทั้งห้าคนบนยอดเขาเซียนมาเยือนคุยกันสื่อถึงหยินหยางห้าธาตุ แตกต่างจากการเถียงกันบนแท่นเสวนามรรคตรงยอดเขามรรคสวรรค์ ทั้งห้าคนมีเป้าหมายเดียวคือทำให้สมบัติวิเศษหยินหยางครบถ้วนห้าธาตุสมดุล พยายามทุกอย่างเพื่อหลอมสมบัติวิเศษจนสำเร็จ บรรยากาศการเสวนามรรคจึงปรองดองมาก ทั้งเปิดกว้างปราศจากอคติ
นอกจากจี้หยวนอีกสี่คนเป็นเซียนเปี่ยมภูมิรู้ผู้อยู่มานาน แต่จี้หยวนหลักแหลมความคิดโดดเด่น นับรวมประสบการณ์ชาติก่อนถึงปัจจุบันถือเป็น ‘เซียนเปี่ยมภูมิรู้’
ประกายไฟจากการปะทะของห้าคน เปลี่ยนเรื่องน่าเหลือเชื่อให้เป็นไปได้ ในเมื่อเดิมนัยเร้นลับห้าธาตุกลางฟ้าดินกลมกลืน ถ้าอย่างนั้นพวกเขาห้าคนลองประสานหยินหยางห้าธาตุ ย่อมเป็นการทำตามมรรคสวรรค์
คล้ายกับตอนจี้หยวนนั่งเสวนามรรคร่วมกับพระวิทยาราชที่วัดต้าเหลียง ตอนนั้นกระเทือนจนเกิดการเปลี่ยนแปลงนับหมื่น ทำให้วัดต้าเหลียงปิดวัดอย่างเร่งด่วน ตอนนี้ทั้งห้าคนอยู่สวนหมอกเมฆยอดเขาเซียนมาเยือน เมื่อการหลอมอาวุธเริ่มลงลึก ภายใต้มรรคซ่อนเร้นย่อมมีลักษณ์ประหลาดทัศนียภาพแปลกตามากขึ้นเรื่อยๆ
สีสันเดิมของยอดเขาเซียนมาเยือนกำลังถดถอย แสงสว่างเลือนรางปกคลุมทั่วยอดเขา เกิดการเปลี่ยนแปลงตามหลักการ
เสวนามรรคถึง ‘ธาตุไม้’
รุกขชาติทั่วผืนป่าเขียวชอุ่ม ดอกไม้บนยอดเขาตระการตา
เสวนามรรคถึง ‘ธาตุไฟ’
สีบุปผาแดงก่ำดุจเปลวเพลิง น้ำค้างเรียงรายถูกแผดเผา
เสวนามรรคถึง ‘ธาตุดิน’
ความร้อนทั่วขุนเขาทุเลาลง ลมสารทพัดผ่านเร่งเวลา
เสวนามรรคถึง ‘ธาตุทอง’
กิ่งใบร่วงหล่นยังมุ่งมั่น หินผาเขาแหลมจรดมุม
เสวนามรรคถึง ‘ธาตุน้ำ’
ดอกไม้ขาวผุดผ่องทั่วยอดเขา ความนุ่มนวลเรือนหมื่นหวนวสันต์
การเปลี่ยนแปลงนานัปการเผยตามมรรคหยินหยาง ไม่มีการประชันเกินกว่าเหตุ ทั้งไม่มีเสียงอสนีกึกก้องสะเทือนป่าเขา แต่กลับดึงดูดความสนใจผู้ฝึกเซียนทั่วยอดเขามรรคสวรรค์โดยไร้สุ้มเสียง แม้แต่ความร้อนระอุบนแท่นเสวนามรรคยังซาลงไม่น้อย
เจียงเสวี่ยหลิงยืนอยู่ภายในศาลาสำนักยรรยง ทอดมองยอดเขาเซียนมาเยือนที่ห่างไกลซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงนานัปการ การเปลี่ยนแปลงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนยันต์วิญญาณบนยอดเขามรรคสวรรค์ก่อนหน้านี้ แต่พื้นฐานมรรคกลับเหนือกว่ามาก
“พวกเจ้าดูสิ ข้าบอกแล้ว… งานชุมนุมเซียนพเนจรเริ่มนานแล้ว… แต่ยังไม่เชื่อ…”
ทว่าตอนนี้คนรุ่นเยาว์สำนักยรรยงไม่ได้ยินคำพูดเจียงเสวี่ยหลิงชั่วขณะ ทุกคนมองยอดเขาเซียนมาเยือนอย่างเหม่อลอย
ฝั่งสำนักยรรยงเป็นเช่นนี้ ฝั่งเขาล้อมหยกก็เช่นกัน แม้แต่วังสุริยันหรือหอยอดน้ำแข็งก็เป็นเช่นนี้ ในสายตาผู้ฝึกเซียนทุกคน แต่ละคนเห็นยอดเขาเซียนมาเยือนต่างกัน บ้างเห็นแค่การเปลี่ยนแปลงสี่ฤดูโดยพื้นฐาน บ้างเห็นมรรคอัศจรรย์ฟ้าดิน
เจ้าสำนักเขาเก้ายอดยืนมองยอดเขาเซียนมาเยือนเช่นกัน ชายที่อยู่ด้านข้างก็มองเห็น เมื่อมองผ่านตาทิพย์ของทั้งสองคน การเปลี่ยนแปลงของยอดเขาเซียนมาเยือนยิ่งอัศจรรย์เกินบรรยาย
ชายวัยกลางคนพลันยิ้มกล่าว
“หึๆๆๆ… เจ้าสำนักจ้าว ข้าว่าตั้งสถานที่จัดงานชุมนุมเซียนพเนจรผิดแล้ว!”