เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 509 ไม่อาจแบ่งสมาธิ
ตอนที่ 509 ไม่อาจแบ่งสมาธิ
……………………………………………………………………..
ความพิเศษของงานชุมนุมเซียนพเนจรครั้งนี้คือนับต่อจากนี้ สถานที่จัดงานชุมนุมเหมือนไม่ใช่แค่แห่งเดียว ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ฝึกเซียนพลังปราณสูงส่งบนยอดเขามรรคสวรรค์ส่วนใหญ่กลับสนใจยอดเขาเซียนมาเยือนมากกว่า
แน่นอนว่างานชุมนุมบนยอดเขามรรคสวรรค์มีสีสันมากเช่นกัน บางทีอาจเป็นเพราะถูกยอดเขาเซียนมาเยือนดึงดูดความสนใจมากเกินไป ดังนั้นงานชุมนุมปีนี้เลยปรองดองนัก แม้ว่ายังหลีกเลี่ยงการต่อสู้กันไม่ได้ แต่โดยรวมค่อนข้างละมุนละม่อม อย่างน้อยก็นุ่มนวลกว่างานชุมนุมเซียนพเนจรที่ผ่านมานัก
ตรงที่ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกอยู่ ทุกคนกำลังมองตรงแท่นเสวนามรรค ตอนนี้มีสองฝ่ายเสวนามรรคกัน ใกล้ก้าวเข้าสู่ช่วงขัดแย้ง โดยทั่วไปการเสวนามรรคเช่นนี้ชื่นชมอีกฝ่ายน้อยมาก ถึงอย่างไรคนที่ขึ้นมาย่อมไม่พอใจ
ตอนนี้บนแท่นเสวนามรรคพูดคุยเรื่องดินห้าธาตุ ด้วยสิ่งที่ปรากฏบนยอดเขาเซียนมาเยือนตอนนี้คือลักษณ์ประหลาดธาตุดิน ผู้ฝึกปราณสองฝ่ายอาศัยสิ่งนี้มาคาดเดาสำแดงวิชา ทั้งโต้แย้งอีกฝ่าย
“อาจารย์ เห็นชัดว่าหลักการที่พวกเขาเอ่ยถึงล้วนเลิศล้ำยิ่ง บอกว่าอีกฝ่ายดีหน่อยยากขนาดนั้นเชียวหรือ”
ในมือซ่างอีอีจับองุ่นลูกหนึ่งเล่นพลางถามเซียนหยางหมิงที่อยู่ข้างกาย
“อีอี ดังคำกล่าวว่าผู้ฝึกเซียนก็เป็นคน สภาวะจิตสูงส่งก็มีช่วงข่มอารมณ์ไม่อยู่ แน่นอนว่าแท่นเสวนามรรคคือสถานที่เสวนามรรค แต่สิ่งที่ทุกคนกล่าวออกมาใช่ว่าเป็นมรรค อย่างน้อยไม่แน่ว่าจะเป็นมรรคที่อีกฝ่ายยอมรับ…”
หยางหมิงมองแท่นเสวนามรรค ทั้งมองคนรุ่นเยาว์แห่งเขาล้อมหยกข้างกาย ก่อนกล่าวชี้แนะจากใจ
“จิตใจผู้ฝึกเซียนเด็ดเดี่ยว แสวงมรรคทั้งชีวิตด้วยจิตมรรคแน่วแน่ ต่อให้หลักการของอีกฝ่ายเลิศล้ำ แต่ต่างจากมรรคาตน ทั้งไม่เลิศล้ำถึงขั้นทำให้ผู้คนชื่นชมจากใจ นั่นไม่ใช่มรรคของข้า ยามถกเถียงถึงขั้นต่อสู้กัน พวกเขากำลังขัดเกลามรรคของตน นั่นคือหนึ่งในเป้าหมายตั้งต้นของงานชุมนุมเซียนพเนจร”
“ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่เข้าไปยุ่ง”
เว่ยหยวนเซิงหาวหวอด ใช่ว่าเขาชอบเหม่อลอย หากแต่ง่วงจริงๆ มรรควิถีเขาตื้นเขินที่สุด ไม่นอนมาเป็นเวลานานขนาดนี้ อาศัยแค่การนั่งสมาธิย่อมยากซ่อมเสริมจิตวิญญาณ
“เฮ้อ เหตุใดไม่มีผู้อาวุโสอย่างเซียนหลิวมาเพิ่มหน่อย แบ่งปันประสบการณ์น่าสนใจกับพวกเรา วิเคราะห์เรื่องไม่อาจระบุร่วมกันจะดีเพียงใด… หาว…”
“หยวนเซิง ถ้าเหนื่อยก็นอนครู่หนึ่งเถอะ งานชุมนุมเซียนพเนจรคงไม่จบเร็วนัก ต่อให้ทางนี้ปิดฉาก ถ้ายอดเขาเซียนมาเยือนยังไม่เห็นผล ทุกคนคงไม่มีทางจากไป”
“ไม่ได้ ข้ารอของกินอยู่!”
เว่ยหยวนเซิงส่ายหัวเล็กน้อย เขาไม่นอนเพราะทุกวันจะมีผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดส่งอาหารผลไม้เปี่ยมปราณวิญญาณมาให้ผู้ฝึกปราณแต่ละสำนักเซียนโดยเฉพาะ
การเปลี่ยนแปลงจากวิชาอภินิหารบนแท่นเสวนามรรคก่อเกิดคลื่นเป็นระลอก ทั้งทำให้ยันต์วิญญาณข้างบนวิวัฒน์เขตแดนกับภาพนานัปการตามมรรคและวิชาของทั้งสองฝ่าย
เวลานี้มีคนโรยตัวลงบนยอดเขาเล็กซึ่งเขาล้อมหยกอยู่ แต่ไม่ใช่คนของเขาเก้ายอด แต่เป็นผู้ฝึกเซียนแปลกหน้าคนหนึ่ง เขาสวมชุดคลุมยาวสีม่วงอ่อนศีรษะประดับเกี้ยวเล็กปักปิ่นหยก ตรงคางมีเคราดำสลวยยาวราวหนึ่งฉื่อ ท่าทางโดดเด่นยิ่ง พริบตาแรกเหมือนวัยกลางคน มองอีกครั้งกลับรู้สึกเหมือนแก่ชรา
การมาเยือนของชายคนนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกต่างมองเขา เห็นเขาคารวะผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกอย่างมีมารยาท
“ข้าน้อยซงหลุน คารวะสหายยุทธ์เขาล้อมหยกทุกท่าน!”
“คารวะสหายยุทธ์ซง ไม่ทราบว่าสหายยุทธ์เป็นผู้ฝึกเซียนแห่งใด มาที่นี่ด้วยเหตุใด”
อย่าว่าแต่ผู้มาเยือนพลังปราณไม่ตื้นเขิน คนจากเขาล้อมหยกยังไม่คุ้นเคย ไม่กล้าอาจหาญ หยางหมิงนำผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกลุกขึ้นคารวะตอบ ทั้งถามเจตนาของผู้มาเยือน ถ้ามาเสวนามรรคจะรีบปฏิเสธอย่างสุภาพ ไม่ยอมขึ้นแท่นเสวนามรรค
พวกหยางหมิงกับฉิวเฟิงรู้ดี ปีนั้นเซียนจื่ออวี้แห่งเขาล้อมหยกก่อเรื่องจากการเสวนามรรค ไม่แน่ว่าคนอื่นเห็นเขาล้อมหยกมางานชุมนุมเซียนพเนจร ดังนั้นเลยคิดมาขอคำชี้แนะ
ซงหลุนเก็บมือก่อนยิ้มกล่าวอธิบาย
“ข้าคนแซ่ซงไม่ได้มาเสวนามรรคกับทุกท่าน แค่ได้ยินว่าท่านจี้เป็นผู้ฝึกปราณแห่งเขาล้อมหยก ดังนั้นเลยมากล่าวขอบคุณเขาล้อมหยกโดยเฉพาะ”
ท่านจี้?
หยางหมิงมองฉิวเฟิงศิษย์น้องตน ฝ่ายหลังส่ายหัวแสดงออกว่าไม่เคยได้ยินท่านจี้กล่าวถึง ท่านจี้ทำตัวลึกลับเกินคาดเดา ไม่มีทางบอกพวกเขาทุกเรื่อง ดังนั้นไม่ทราบถือว่าปกติ
“สหายยุทธ์ซงเข้าใจผิดแล้ว ท่านจี้ค่อนข้างสนิทกับพวกเราเขาล้อมหยก แต่ท่านจี้ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยก หากแต่ฝึกปราณลำพัง อย่างมากแค่เป็นเหมือนเพื่อนบ้านกับเขาล้อมหยกเท่านั้น”
แม้ว่าภูเขาซึ่งเขาล้อมหยกอยู่ห่างจากอำเภอหนิงอันประมาณพันลี้ แต่สำหรับผู้ฝึกเซียนชั้นสูงระยะทางแค่นี้บอกว่าเป็น ‘เพื่อนบ้าน’ ย่อมไม่มากเกินไป
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้!”
“สหายยุทธ์สามารถนั่งรอที่นี่ได้ ตอนนี้ท่านจี้กับเซียนจูแห่งเขาล้อมหยกอยู่ยอดเขาเซียนมาเยือน หากหลอมสมบัติสำเร็จ ย่อมมาหาพวกเราแน่”
ยามหยางหมิงพูดคำนี้เขาอดเผยรอยยิ้มไม่ได้ ผู้อาวุโสสองคนอยู่ยอดเขาเซียนมาเยือนกลางงานชุมนุมเซียนพเนจรตอนนี้ ยามกล่าวออกมาน้ำหนักถือว่าไม่น้อย หากคิดอีกมุมหนึ่งคือต้นทุนใหญ่ของเขาล้อมหยกในงานชุมนุมเซียนพเนจรครั้งนี้
ต่อให้ถูกคนเชิญไปเสวนามรรคก็พูดได้เต็มปากว่า ‘พวกเราล้วนเป็นคนรุ่นหลัง ผู้อาวุโสสองคนอยู่บนยอดเขาเซียนมาเยือน รอพวกเขากลับมาค่อยเสวนามรรคกับพวกท่าน’
เชื่อว่าหากกล่าวเช่นนี้คงมีคนไม่มากที่ยังมั่นใจอยากเสวนามรรคกับเขาล้อมหยก
หยางหมิงกล่าวตามมารยาท คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับหาเบาะว่างมานั่งด้วยกันจริง ทั้งอธิบายต้นสายปลายเหตุด้วย
ที่แท้เมื่อยี่สิบปีก่อน เขาผ่านอาณาเขตต้าเจิน พบกล้าพันธุ์ดีคนหนึ่ง รับเด็กชายนามโม่อวี่เป็นศิษย์ แต่กลับไม่สะดวกพาเขาไปด้วยชั่วคราว ดังนั้นเลยร่ายวิชาก่อนจากไป คิดว่าอีกสักพักค่อยกลับมาหาศิษย์
แต่ตอนนั้นมีข่าวลือว่าหอความลับสวรรค์ทำนายสถานการณ์ทวีปเมฆาแพร่สะพัด ยามลือกันหนาหู ผู้ฝึกเซียนค่อนข้างปล่อยตามวาสนา ส่วนใหญ่ไม่ตอบสนองอะไรนัก กลับกลายเป็นว่าพวกภูตผีปีศาจไม่น้อยทยอยรวมตัวกันเดินทางไปต้าเจิน คิดฉวยประโยชน์ยามโชคชะตาต้าเจินรุ่งเรือง แต่ละตัวเหมือนปลิงได้กลิ่นคาวเลือด
หนึ่งด้วยบนโลกมนุษย์หรือมรรคมนุษย์ มีเรื่องราวมากมายดึงดูดพวกภูตปีศาจมารร้าย มนุษย์คือวิญญาณแห่งสรรพสิ่ง พลังหยาง จิตวิญญาณ กายเนื้อติดตัวล้วนหายากยิ่ง
สองคือทุกครั้งยามโชคชะตามรรคมนุษย์รุ่งเรืองและเสื่อมถอยล้วนก่อเกิดวีรบุรุษไม่น้อย พวกมารปีศาจได้รับประโยชน์จากตัววีรบุรุษประเภทนี้ ต่อให้ทำร้ายกลืนกินอย่างบุ่มบ่ามก็มีประโยชน์ แม้ว่าอาจมีมารผจญเพิ่มเติม แต่มารผจญยังไม่เห็นข้อดีกลับรู้กันทั่ว
สามเพื่อเพิ่มวาสนาในการอยู่รอด
ช่วงนั้นทุกหนแห่งทั่วต้าเจินมีคนธรรมดาไม่น้อยประสบเคราะห์จริงๆ มีหลายคนถึงขั้นว่าจนปัจจุบันวิญญาณเทพปฐพีท้องถิ่นยังตามหาไม่พบ
ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ โม่อวี่ซึ่งจิตวิญญาณไม่ธรรมดาถูกพวกมรรคมารเจอ แม้ว่าบ่าวคุ้มครองโม่อวี่ความรู้สึกไวยิ่ง แต่จอมยุทธ์ธรรมดาจะต้านมารได้อย่างไร คิดดูแล้วอันตรายมาก
ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้บังเอิญเจอจี้หยวนเข้า
ซงหลุนกล่าวถึงตรงนี้แล้วลูบเคราแย้มยิ้ม
“หึๆ พูดว่าบังเอิญ แต่ผู้สูงส่งการกระทำสอดคล้องกับลิขิตสวรรค์ คาดว่าไม่ได้บังเอิญจริงๆ เขาคงรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง รออยู่ตรงอารามเทพภูเขาบนเขาใบตอง กระทั่งเจอศิษย์ผู้ประสบเคราะห์คนนั้นของข้า”
ตอนนั้นจี้หยวนช่วยโม่อวี่ แต่ซงหลุนกลับคาดเดาสถานการณ์ของท่านจี้ที่ศิษย์กล่าวถึงไม่ออก แปลกใจจนกลับไปบอกเรื่องนี้กับอาจารย์ แม้แต่อาจารย์ยังทำนายสถานการณ์ของท่านจี้ไม่ได้ มั่นใจว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกนานแล้ว น่าจะเป็นผู้สูงส่งซึ่งเพลิดเพลินบนโลกมนุษย์ผ่านทางมา
ได้ยินซงหลุนพูดเช่นนี้ ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกนึกถึงช่วงนั้น แม้ว่าพวกเขาไม่ทราบเรื่องศิษย์ซงหลุน แต่ต้าเจินหรือเขตแดนซึ่งต้าเจินอยู่ เรื่องชะตากรรมแพร่สะพัดมาถึงเขาล้อมหยกจริงๆ
พวกเขายังรู้ว่าตอนนั้นมารปีศาจอาศัยโอกาสยามฮ่องเต้ชราแห่งต้าเจินจัดงานชุมนุมวารีปฐพีด้วย เขาล้อมหยก จี้หยวน รวมถึงเผ่ามังกรร่วมมือกัน สยบมารปีศาจแห่งต้าเจิน ขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างถิ่น
แต่คนของเขาล้อมหยกไม่ทราบแน่ชัด งานชุมนุมวารีปฐพีถือเป็นครั้งที่สาม สองครั้งแรกได้แก่ยามจี้หยวนสำแดงท่ากระบี่ฟ้าทลายครั้งแรกบนเขาลานสารท รวมถึงตอนมังกรเฒ่าบันดาลโทสะเพราะการตายของเจียวดำ เขาเหาะเหินออกจากต้าเจิน เลียบทะเลบูรพาไปทางใต้เพื่อฆ่าปีศาจกลืนกินมารนับไม่ถ้วนตลอดทาง
“ครั้งนี้มางานชุมนุมเซียนพเนจร ได้ยินว่าบรรดาผู้สูงส่งห้าคนบนยอดเขาเซียนมาเยือนมีเซียนคนหนึ่งแซ่จี้ รู้สึกว่าเป็นผู้สูงส่งเมื่อตอนนั้น ทั้งสอบถามเพิ่มจนทราบว่ามาจากทางใต้ของทวีปเมฆาพร้อมสหายยุทธ์เขาล้อมหยก ข้าคนแซ่ซงคิดว่าใกล้เคียงถึงแปดเก้าส่วน ดังนั้นเลยมากล่าวขอบคุณโดยเฉพาะ!”
เมื่อพูดเรื่องพวกนี้จบ ผู้ฝึกปราณชุดม่วงเหลือบสายตามองยอดเขาเซียนมาเยือน ก่อนลุกขึ้นมาคารวะอีกครั้ง
“ข้าบอกจุดประสงค์การมาแล้ว ไม่คิดรบกวนสหายยุทธ์ทุกท่านอยู่ที่นี่ รอเมื่อท่านจี้กลับมา ข้าคนแซ่ซงค่อยมาเยี่ยมเยียน ขอตัวจากไปก่อน!”
“อืม สหายยุทธ์ซงเดินทางปลอดภัย!”
ซงหลุนพยักหน้าเล็กน้อย ออกจากศาลาไปสองสามก้าวก่อนหยุดเท้ากะทันหัน เขาหันกลับมาอีกครั้ง
“จริงสิ หากท่านจี้กลับมา หวังว่าจะแจ้งท่านสักหน่อย บอกว่าอาจารย์ข้าจ้งผิงซิวอยากรู้จักท่านจี้มาก ถ้ามีโอกาสหวังว่าท่านจี้จะมาเป็นแขกที่เขาไร้ขอบเขต!”
ซงหลุนพูดจบแล้วเหยียบสายลมเย็นจากไป
“เขาไร้ขอบเขต? ศิษย์น้อง เจ้าเคยได้ยินหรือไม่”
ฉิวเฟิงส่ายหัวเล็กน้อย หยางหมิงมองเพื่อนร่วมสำนักคนอื่น ทุกคนต่างทำหน้าสงสัย
“ศิษย์พี่ ท่านอย่าห่วงเลย เขาไม่ได้เชิญพวกเรา กล้าใช้คำว่าไร้ขอบเขตมาตั้งชื่อ คิดว่าคงร้ายกาจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรท่านจี้ย่อมรู้แน่”
“อืม ก็จริง”
…
ตอนนี้จี้หยวนที่ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกเอ่ยถึงกำลังจดจ่อกับการหลอมอาวุธพร้อมอีกสี่คน
เชือกไหมทองหมุนวนรวดเร็ว ปราณหยินหยางล้อมรอบเชือกไหมทอง ทอง น้ำ ไม้ ไฟ ดินห้าธาตุวนรอบปราณหยินหยาง จากแกนกลางสู่ภายนอกคือเปลวไฟลุกโชนจากเพลิงสมาธิทั้งสิ้น
ช่วงเวลานี้เองขอทานชราซึ่งหลับตาสำแดงวิชามาตลอดพลันลืมตาขึ้น
“แย่แล้ว! เขาลาดชัน!”
อีกสี่คนล้วนถูกทำให้ตกใจ มังกรเฒ่ากับจูหยวนจื่อรวมถึงจู้ทิงเทาไม่เข้าใจว่าขอทานชราพูดอะไร ตอนแรกยังคิดว่าหลอมอาวุธแล้วเจอเหตุไม่คาดฝัน สัมผัสโดยละเอียดก่อนรู้ว่าไม่เป็นไร
จี้หยวนเข้าใจความหมายของขอทานชราทันที เขาแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งมานับนิ้วทำนาย ทราบว่าผนึกเขาลาดชันเสียหาย แต่ไม่ส่งผลต่อสถานการณ์นอกภูเขา ดูท่าว่ามีคนต้องการช่วยถูซือเยียน หรือปีศาจจิ้งจอกเองใกล้หลุดพ้น แต่ไม่มีทางทำเรื่องเกินความจำเป็น
“ผู้อาวุโสหลู่อย่าเพิ่งรีบร้อน ตอนนี้ไม่อาจแบ่งสมาธิ อย่าเพิ่งสนใจเรื่องกำราบปีศาจจิ้งจอก!”
“ได้แต่ทำเช่นนั้นแล้ว! เห็นชัดว่าภายในสิบปีคงไม่เป็นไร เฮ้อ ขาดแค่ก้าวเดียว!”
ตรงเขาลาดชันที่ห่างไกล บนฟ้าพยับเมฆหนาแน่น กลางเขามีลมปีศาจพัดเป็นระลอก