เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 518 เห็นโลกกว้างน้อยนัก
ตอนที่ 518 เห็นโลกกว้างน้อยนัก
……….
เมื่อเห็นท่าทางครุ่นคิดของจี้หยวน พวกมังกรเฒ่าต่างไม่เอ่ยวาจาอย่างรับรู้กันในที กระทั่งออกห่างจากเขาลาดชันไปไกล จี้หยวนกลับสู่ท่าทางปกติอีกครั้ง จู้ทิงเทากล่าวคนแรกอย่างอดไม่ได้
“ท่านจี้ ข้าคนแซ่จู้ขอพูดตามตรงแล้วกัน ลำนำมรรคก่อนหน้านี้เป็นวิชาอัศจรรย์แบบใดกันแน่ ท่านจี้รู้นิสัยของข้าคนแซ่จู้ ไม่มีทางสอดแนมวิชาอัศจรรย์ของท่าน แต่หวังว่าท่านจะบอกกล่าวหน่อย ความจริงคือวิชานี้ไม่เคยได้ยินไม่เคยพบเห็นมาก่อน อัศจรรย์ยากหยั่งถึงเกินไป!”
“สหายยุทธ์จู้กล่าวถูกต้อง แต่หากท่านจี้ไม่อยากบอก พวกเราคงไม่อาจถือสา”
มังกรเฒ่ากล่าวเสริมเช่นนี้ เห็นชัดว่าสงสัยเช่นกัน แม้ว่าขอทานชรากับจูหยวนจื่อไม่พูดจา แต่โดยพื้นฐานคือรู้สึกคล้ายกัน
แน่นอนว่าถึงแม้พวกเขาสี่คนคาดหวังว่าจะรู้รากฐานของวิชาอัศจรรย์ แต่หากจี้หยวนไม่อยากบอกย่อมไม่มีทางเอาความ แต่จากความเข้าใจของทุกคนที่มีต่อจี้หยวน มีโอกาสว่าจะบอก
จี้หยวนไม่ยั่วน้ำลายคนดังคาด เขาขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ไตร่ตรองคำพูดเล็กน้อย มองพวกเขาสี่คนข้างกายก่อนเอ่ยปาก
“เอ่อ หากข้าคนแซ่จี้บอกว่าเมื่อครู่นึกถึงเรื่องอดีตชั่วคราว จากนั้นค่อยอาศัยสิ่งนี้มาร้องลำนำมรรค ทุกท่านเชื่อหรือไม่”
พวกมังกรเฒ่ามองหน้ากันเลิ่กลั่ก จูหยวนจื่อขมวดคิ้วครุ่นคิด จู้ทิงเทาลูบเคราไม่พูดจา มังกรเฒ่าไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ขอทานชราฝืนยิ้มเล็กน้อย
พูดตามตรงว่าบรรดาสี่คนนี้ นอกจากจู้ทิงเทาแล้ว อีกสามคนยังพอเชื่ออยู่บ้างจริงๆ ต่อให้จู้ทิงเทารู้สึกว่าค่อนข้างไร้สาระ แต่ไม่คิดว่าผู้ฝึกเซียนอย่างจี้หยวนจะโกหกเรื่องนี้
โชคดีว่าจี้หยวนไม่ทำให้พวกเขาสับสนนานเกินไป คิดแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรบอกไม่ได้ เขาเอ่ยปากเล่าเรื่องอดีตช่วงหนึ่ง
“ความจริงหลายปีก่อนข้าคนแซ่จี้มีวาสนาเจอตำราสวรรค์วิญญาณปฐพีเล่มหนึ่งนามว่าบันทึกรัชสมัยเจิ้งเต๋อ…”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้แล้วเจตนาเว้นช่วงเล็กน้อย สังเกตอาการของสี่คนข้างกาย เห็นชัดว่าไม่มีใครเคยได้ยินชื่อตำราเล่มนี้ ดังนั้นเลยกล่าวต่อ
“ตำราเล่มนี้เป็นของเจ้าที่ชนบทคนหนึ่ง แต่ตัวอักษรไม่ชัดเจน แม้เจ้าที่รู้ว่าตำราเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง แต่กลับไม่อาจค้นคว้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น”
จี้หยวนนึกถึงช่วงวัยหนุ่มเมื่อปีนั้น ตอนนั้นเขายังเป็นมือใหม่ด้านการฝึกเซียนจริงๆ ความรู้มรรคเซียนมากมายล้วนมาจากคัมภีร์นอกรีตกับกลยุทธ์เจิดจรัส เมื่อเจอเทพหลักเมืองยังระมัดระวัง ใช่ว่าตอนนี้ไม่เคารพเทพหลักเมือง แต่ตอนนั้นทั้งเลื่อมใสและกริ่งเกรงจริงๆ
“ข้าคนแซ่จี้บังเอิญผ่านอาณาเขตของเจ้าที่คนนั้น พักอาศัยอยู่บ้านชาวนาหลังหนึ่ง เจ้าที่คนนั้นเห็นว่าข้าเหมือนผู้ฝึกเซียน ยอมเป็นฝ่ายปรากฏตัวมาคุยกับข้า สุดท้ายหยิบตำราออกมา หวังว่าข้าจะแถลงไขให้เขา ทำให้ข้าคนแซ่จี้มีวาสนาอ่านตำรานี้ เสียงมรรคเมื่อครู่ด้วยนึกถึงคำพูดบางส่วนในตำรา ทำให้ตระหนักและหยั่งรู้จนขับลำนำออกมา”
มังกรเฒ่าพลันยิ้มเล็กน้อย ในใจกล่าวว่าการกระทำนี้ค่อยเหมือนจี้หยวนจริงๆ คนอื่นได้ยินแล้วพยักหน้าเล็กน้อยเช่นกัน ในใจยิ่งรู้ว่าบันทึกรัชสมัยเจิ้งเต๋อเล่มนั้นต้องเป็นตำราสวรรค์วิญญาณปฐพีร้ายกาจแน่ แต่ผู้ร้ายกาจแท้จริงคือจี้หยวน
“สมเป็นท่านจี้ บางครั้งต้องนับถือจริงๆ!”
มังกรเฒ่ากล่าวทอดถอนใจ ขอทานชราที่อยู่ด้านข้างได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนกัน แต่ไม่เอ่ยออกมา จูหยวนจื่อยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนจู้ทิงเทารู้สึกว่ารู้จักจี้หยวนใหม่อีกครั้ง คิดว่าความลับบนตัวท่านจี้คนนี้มากนัก
จี้หยวนย่อมไม่รู้ว่ามังกรเฒ่าค่อนขอดในใจว่า ‘นี่แหละจี้หยวน’ เขายิ้มพลางเอ่ยปาก
“ข้าคนแซ่จี้ไม่กล้ารับคำชมเช่นนี้ คิดถือโอกาสยามยังไม่ลืมความรู้สึกนั้น ทำการอนุมานจดบันทึกสักหน่อย”
แน่นอนว่านี่คือคำถ่อมตัว แต่ยามถ่อมตนยังแฝงความภาคภูมิใจไว้รางๆ ทำให้สือโหย่วเต้าหวนคืนสู่มรรคบำเพ็ญเพียรย่อมเป็นเพราะมีวาสนาเหตุบังเอิญ แต่ทำให้จี้หยวนภาคภูมิใจเช่นกัน ลำนำมรรคบทนั้นไม่สะเทือนใต้หล้าเหมือนท่ากระบี่ฟ้าทลาย ทั้งไม่ร้ายกาจดุเดือดเหมือนเพลิงสมาธิ แต่เป็นผลสำเร็จเหนือธรรมดาอีกระดับ มีประโยชน์ต่อการฝึกปราณของเขาคนแซ่จี้มาก ถือว่าเข้าข่าย ‘หนึ่งห้วงคิดแจ้งมรรค’
นี่คือวาสนาของสือโหย่วเต้า ทั้งเป็นวาสนาของจี้หยวนด้วย
พวกมังกรเฒ่าวางฐานะกับความรู้สึกลงตรงนั้น แน่นอนว่าไม่ซักไซ้ไล่เลียง ทั้งจี้หยวนเองยังบอกว่าเป็นความคิดชั่วคราว ส่วนเรื่องเกี่ยวกับบันทึกรัชสมัยเจิ้งเต๋อ แน่นอนว่าย่อมสงสัย แต่ทำการขุดคุ้ยเบื้องลึกไม่ได้
ทิศทางการมุ่งหน้าของพวกเขาตอนนี้คือกลับเขาเก้ายอด ก่อนหน้านี้ระหว่างขั้นตอนหลอมสมบัติเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เดินทางมาเขาลาดชันเพื่อจัดการเรื่องค้างคา ตอนนี้ถึงเวลาแยกจากกันแล้ว
ส่วนถูซือเยียนกับปีศาจพวกนั้นหนีหายไร้ร่องรอยนานแล้ว ย่อมคิดหาวิธีปกปิดร่องรอยทุกวิถีทาง แม้แต่พวกขอทานชรายังทำนายอะไรไม่ได้
แม้ว่าพวกจี้หยวนไม่ถือเป็นพวกยุ่งงาน แต่ไม่มีทางวิ่งหาถูซือเยียนไปทั่ว ถ้าพูดตามมังกรเฒ่าคือ ‘นางไม่มีคุณสมบัตินั้น’ เพียงแต่ในใจย่อมจดจำเรื่องนี้แน่นอน
สามวันต่อมา ท่าเรือเขาพิณพระจันทร์บนเขตการปกครองเขาเก้ายอด ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกขึ้นเรือที่นี่ พาหนะโดยสารครานี้คือเรือเหาะข้ามแดนของเขาเก้ายอด ตั้งแต่ผู้นำจูหยวนจื่อถึงพวกฉิวเฟิงกับหยางหมิง ต่อด้วยศิษย์อย่างเว่ยหยวนเซิงไม่ขาดสักคน ขาดเพียงจี้หยวนคนเดียว
“เซียนจู ท่านจี้จะกลับมาเมื่อไหร่หรือ”
ได้ยินคำถามของเว่ยหยวนเซิง จูหยวนจื่อมองเมฆขาวบางแห่งบนฟ้า ทิศทางนั้นคือถ้ำสวรรค์เก้ายอด
“เรื่องนี้พูดยาก แต่ครั้งนี้คือการเรียบเรียงอนุมานตำราสวรรค์ ด้วยความสามารถของท่านจี้ ทั้งมีประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ไม่น่าใช้เวลานานนัก”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเราไม่รอท่านจี้อนุมานเสร็จค่อยกลับไปพร้อมกันเล่า”
ฉิวเฟิงที่อยู่ด้านข้างยิ้มเล็กน้อย
“ใครร้องว่าคิดถึงบิดามารดาอยู่ข้างหูข้าบ่อยๆ งานชุมนุมเซียนพเนจรสิ้นสุดแล้ว ความถี่ในการข้ามแดนของสำนักเซียนแต่ละแห่งย่อมลดลงมาก ไม่รีบไปเที่ยวนี้ คราวหน้าอาจต้องรออีกปีครึ่ง ทั้งพวกเราอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรท่านจี้ไม่ได้ รบกวนความสงบของเขาด้วย”
คำพูดฉิวเฟิงคือความจริง สิ่งบ่งชี้ชัดที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงของท่าเรือเขาพิณพระจันทร์ เห็นชัดว่าเงียบเหงาไปตามการปิดฉากของงานชุมนุมเซียนพเนจร
เว่ยหยวนเซิงเกาหัว แม้ว่าเขาฉลาด แต่เติบโตในสำนักเซียนตั้งแต่เล็ก กระทั่งมีความเป็นเด็กอยู่บ้าง หกปีบนเขาเก้ายอดทำให้เขาเบื่อแทบแย่ ดังนั้นเลยขานรับว่า ‘อ้อ’ ไม่พูดอะไรมากอีก
“กางใบออกเรือ…”
มีเสียงผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดดังมาแต่ไกล จากนั้นเรือเหาะลอยขึ้นฟ้าช้าๆ ทุกคนมองท่าเรือเขาพิณพระจันทร์ซึ่งนานเข้ายิ่งเล็กลง จากนั้นค่อยมองยอดเขามหึมาเก้าแห่งตรงขอบฟ้า กระทั่งมองไม่เห็นค่อยหยุด
หลังจากเรือเหาะล่องเหนือเมฆมาช่วงหนึ่ง เว่ยหยวนเซิงพลันนึกอะไรได้ ก่อนเอ่ยถามจูหยวนจื่อ
“เซียนจู จ้งผิงซิวคือผู้สูงส่งคนไหนหรือ เหตุใดท่านจี้ได้ยินชื่อเขาแล้วรู้สึกว่าดีใจแปลกๆ”
คำถามนี้ทำเอาจูหยวนจื่อชะงัก ความจริงอย่าว่าแต่จ้งผิงซิว แค่เพียงชื่อเขาไร้ขอบเขต จูหยวนจื่อยังไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างน้อยชื่อเสียงคงไม่โด่งดัง
“ความจริงข้าคนแซ่จูก็ไม่ทราบ แต่ดูท่าทางท่านจี้เหมือนสนใจมาก คิดว่าคงไม่ธรรมดา ถึงอย่างไรหากเขาไร้ขอบเขตแห่งนี้เป็นชื่อของจวนเซียน กล้าใช้คำว่า ‘ไร้ขอบเขต’ คงไม่ธรรมดาแน่”
จูหยวนจื่อกล่าวประโยคนี้แล้วมองห่างออกไป จากนั้นค่อยหันหลังกลับเข้าห้องพักไป แม้ว่าฝากจี้หยวนเขียนตำราสวรรค์ แต่แน่นอนว่าหกปีนี้ผู้หลอมสมบัติห้าคนต่างได้รับประโยชน์ไม่น้อย เขาต้องกลับไปฝึกปราณ ทั้งต้องกลับยอดเขาหลอมหยกแห่งเขาล้อมหยกเร็วหน่อย
ผู้จากมาไม่ใช่แค่คนของเขาหลอมหยกเท่านั้น มีพวกขอทานชราด้วย รวมถึงจู้ทิงเทากับผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียน แน่นอนว่ามังกรเฒ่าซึ่งค่อนข้างอึดอัดกับสำนักเซียนขอตัวจากไปแล้ว
แต่ก่อนมาเกาะหมอกเซียนรับการฝากฝังจากจี้หยวน ส่งคนไปเยือนอาณาจักรต้าซิ่วโดยเฉพาะ ขอพบฮ่องเต้ชราราศีจับองค์ปัจจุบัน
เมื่อเห็นหน้าตาฮ่องเต้ชรา เซียนเกาะหมอกเซียนสองคนที่เดินทางไปรู้สึกขบขันยิ่ง ยิ้มมองสำนักปรมาจารย์เมืองหลวงที่กำลังซ่อมบำรุงพลางกล่าวกับฮ่องเต้ชราก่อนจากไป
เนื้อหาหลักคือ ‘แม้ว่าพวกเรารับการฝากฝังจากท่านจี้มาพบเจ้า แต่อย่างเจ้าเหมือนคนใกล้ตายที่ไหน ปัจจุบันสีหน้าเช่นนี้ เกรงว่าคงมีชีวิตร้อยปี บรรดาฮ่องเต้ทุกยุคแห่งต้าซิ่วถือว่าเป็นประวัติการณ์แล้ว คนเราควรรู้จักพอหน่อย!’
เมื่อเรื่องเล็กน้อยทั้งหมดผ่านไป ปัจจุบันผู้อยู่บนเขาเก้ายอดมีแค่จี้หยวนแล้ว ตรงที่เขาอยู่ยังคงเป็นยอดเขาเซียนมาเยือน ถึงขั้นว่ายังอยู่กลางสวนหมอกเมฆ ด้วยที่แห่งนี้เป็นสถานที่หลอมสมบัติถกมรรคหกปี คนแยกย้าย แต่มรรคซ่อนเร้นยังคงอยู่ เรียบเรียงอนุมานเขียนตำราที่นี่เหมาะสมที่สุด ไม่อาจบรรยายด้วยคำว่าสำเร็จกว่าครึ่ง
จี้หยวนกลับไม่รีบร้อนเริ่มเขียนตำราทันที หากแต่นำเทียบเจตกระบี่ออกมา เตรียมเริ่มฝนหมึก
เมื่อเทียบเจตกระบี่ปรากฏ ห้องรับแขกของสวนหมอกเมฆคึกคักขึ้นมาทันที
“ฮ้า… ในที่สุดนายใหญ่ก็ปล่อยพวกเราออกมาแล้ว!”
“อึดอัดจะแย่ๆ กี่ปีแล้วเนี่ย!”
“หกปี”
“ข้ารู้ว่าหกปี ข้าแค่ทอดถอนใจ”
“เจ้ามันโง่ เจ้าไม่รู้หรอก!”
“ข้ารู้!”
“เจ้าไม่รู้!”
“ข้ารู้! เจ้าต่างหากที่โง่!”
“อย่าทะเลาะกัน ข้าหิวจะแย่แล้ว…”
“นายใหญ่ พวกเราอยากกินหมึกทองหอม”
เห็นอักษรจิ๋วกระโดดโลดเต้น จี้หยวนยิ้มพลางส่ายหัว เก็บหมึกหมอกสนในมือ ผายมือดันหมึกทองหอมออกจากแขนเสื้อมาถึงกลางฝ่ามือ พวกอักษรจิ๋วโห่ร้องยินดีทันที
เมื่อหลินเจี้ยนแห่งเขาเก้ายอดนำน้ำชากับอาหารมาถึงสวนหมอกเมฆ เขาเห็นจี้หยวนฝนหมึกเสร็จจากข้างนอกแต่ไกล มือถือพู่กันขนหมาป่าเขียนอะไรบางอย่าง
หลินเจี้ยนไม่กล้าส่งเสียง รอเมื่อจี้หยวนเริ่มจุ่มหมึกค่อยรีบเดินมาตรงประตู
“ท่านจี้ ท่านบอกว่าสองสามวันนี้ยังไม่เริ่มอนุมานตำรา ข้านำอาหารกับน้ำชามาส่งให้ท่าน ไม่รบกวนท่านกระมัง”
เมื่อเสียงผ่านหูจี้หยวนแทบไม่ลืมเลือน ต่อให้เป็นแค่การมีวาสนาพบกันบนทะเลตะวันออกเมื่อปีนั้น แต่ฟังออกทันทีว่าเป็นหลินเจี้ยน เขาเงยหน้ามองผู้มาเยือนก่อนพยักหน้ากล่าว
“ไม่เป็นไร ยังไม่เริ่ม วางของบนโต๊ะด้านข้างเถอะ”
จี้หยวนพูดพลางจุ่มหมึกเริ่มเขียนทับอักษรอีกครั้ง ทุกครั้งยามหมึกทองหอมวาดผ่านอักษรจิ๋ว รอยหมึกบนอักษรจิ๋วตัวนั้นกลับไม่เหมือนถูกเขียนใหม่ หลังจากมองสองสามครั้ง หลินเจี้ยนถึงขั้นรู้สึกว่าตัวอักษรกำลังผ่อนคลาย เมื่อมองโดยละเอียดอีกครั้งกลับไม่เปลี่ยนแปลงอะไร
หลินเจี้ยนลังเลเล็กน้อย แต่ยังแกล้งถามเหมือนไม่รู้
“ท่านจี้ เห็นชัดว่าตำรานี้มีตัวอักษรแล้ว เหตุใดท่านถึงเขียนหมึกทับอีกรอบเล่า”
จี้หยวนยังไม่เอ่ยปาก เทียบเจตกระบี่เอะอะทันที
“คนผู้นี้ทำเกินไปแล้ว ไม่อยากให้นายใหญ่เขียนหมึกทับให้พวกเรา!”
“เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
“ใช่ๆ พวกเรารอมาตั้งหลายปี!”
“ฮ่าๆๆๆ พวกเจ้าดูสิ เขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆ จริงด้วย เขาอึ้งงันแล้ว!”
“เขาต้องไม่เคยเห็นอักษรพูดได้แน่”
“จัดงานชุมนุมเซียนพเนจรด้วย ไม่เคยเปิดโลกแม้แต่น้อย!”
“คิกๆๆๆ…”
“ฮ่าๆๆๆ…”
สายตาจี้หยวนเหลือบมองเทียบอักษร
ต่อให้เป็นผู้ฝึกเซียน แต่หลินเจี้ยนยังขยี้ตากับหูตามจิตใต้สำนึก จ้องมองเทียบเจตกระบี่ มองความพิเศษอะไรไม่ออก สงสัยมากว่าเมื่อครู่เป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่ในฐานะผู้ฝึกเซียน ทั้งอยู่ในสำนักเซียนของตน ไม่โดนวิชาอะไร ไม่มีทางเกิดภาพลวงตาแน่
……….