เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 519 แดนสวรรค์กลางถ้ำ
ตอนที่ 519 แดนสวรรค์กลางถ้ำ
……….
จี้หยวนเห็นหลินเจี้ยนจ้องมองเทียบเจตกระบี่ตาไม่กะพริบ นัยน์ตามีแสงธรรมหมุนวนรางๆ รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้ตาทิพย์แน่ แต่เห็นชัดว่ามองอะไรไม่ออก แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน
“ท่านจี้ อะ อักษรบนเทียบนี้…”
มือซ้ายจี้หยวนจับแขนเสื้อมือขวาถือพู่กันจุ่มหมึก จากนั้นด้านหนึ่งใช้พู่กันขนหมาป่าเขียนอักษรทุกขีดทุกลายเส้นบนเทียบเจตกระบี่อย่างรอบคอบ ด้านหนึ่งกล่าวอธิบายอย่างสงบใจ
“ภูตบนโลกมีมากเพียงใด อักษรจิ๋วพวกนี้เป็นแค่หนึ่งในภูตจิ๋วทั่วไปที่มีวิญญาณเท่านั้น สหายยุทธ์หลินไม่ต้องสนใจนัก”
ผู้ฝึกปราณที่พอมีความรู้ทั่วไปต่างทราบว่าภูตบนโลกมีมากมาย ภาพมีชีวิตรวมถึงมีวิญญาณหลินเจี้ยนเคยฟังมาไม่น้อยถึงขั้นเคยเห็นมาก่อน แต่เพิ่งเคยได้ยินว่าตัวอักษรเป็นภูตครั้งแรก อักษรบนเทียบแต่ละตัวมีวิญญาณแล้ว ทั้งโต้เถียงได้ด้วย!
ท่านจี้กล่าวเช่นนี้ หลินเจี้ยนไม่อาจตื่นตูม แต่ข่มความสงสัยในใจไม่ลงจริงๆ อีกทั้งท่านจี้นิสัยดี เขาจึงอดถามเพิ่มไม่ได้
“ท่านจี้กล่าวถูกต้อง ข้าน้อยเสียอาการแล้ว แต่ข้าน้อยฝึกปราณมาถึงวันนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีอักษรกลายเป็นภูต พวกมันต่างมีลักษณะเฉพาะจริงหรือ”
หลินเจี้ยนกล่าวถึงตรงนี้ ก่อนพบว่าบนเทียบอักษรนอกจากอักษรล่างพู่กันจี้หยวนแล้ว อักษรจิ๋วตัวอื่นล้วนหยัดตัวครึ่งหนึ่ง ทำให้เขาพลันรู้สึกเหมือนถูกภูตจิ๋วร้อยกว่าตัวจับจ้อง จากนั้นยามปลายพู่กันจี้หยวนเคลื่อนจากอักษรก่อนหน้ามาอักษรถัดไป ทั้งหมดล้วนนอนราบกับเทียบอักษร การจับจ้องเมื่อครู่หายไป รู้สึกว่าเทียบอักษรเหมือนของธรรมดา
“หึๆ นับว่าใช่กระมัง ดังนั้นบางครั้งเลยคึกคักมาก”
จี้หยวนพูดพลางรอหมึกซึมรอบแรกเสร็จ หมึกทองหอมแท่งหนึ่งหมดไป ครอบคลุมอักษรจิ๋วทุกตัว ทั้งหมดล้วนมีหมึกทับ แต่ตอนนี้อย่างมากแค่ทำให้พวกอักษรจิ๋ว ‘กินอิ่ม’ ไม่ถือว่าเขียนหมึกทับให้อักษรจิ๋วอย่างแท้จริง
เมื่อใช้แท่งหมึกแรกจนหมด จี้หยวนหยิบออกมาอีกสองสามแท่ง ก่อนเริ่มฝนหมึกอีกครั้ง ภายใต้ผลกระทบจากการใช้พลัง หมึกเขียนบนจานฝนเพิ่มจำนวนช้ามาก แต่แท่งหมึกหนึ่งกลับถูกใช้จนหมดด้วยความเร็วว่องไว
หลินเจี้ยนที่อยู่ด้านข้างไม่จากไป ในเมื่อท่านจี้ไม่ไล่ เขาย่อมหน้าหนาไม่ยอมไปชั่วคราว
จี้หยวนเหลือบมองหลินเจี้ยน แต่กลับไม่พูดอะไร ใช่ว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เขากล่าวเสียงเบากับเทียบเจตกระบี่
“สำรวมจิตเตรียมตัวให้ดี”
เมื่อกล่าวจบจี้หยวนจุ่มหมึกอีกครั้ง สงบจิตจดจ่อครู่หนึ่งก่อนจรดพู่กันบนกระดาษเขียนหมึกทับอย่างตั้งใจ
ขณะเดียวกันหลินเจี้ยนรู้สึกว่าพวกอักษรจิ๋วบนเทียบอักษรตรงโต๊ะสร้างบรรยากาศประหลาดอย่างหนึ่ง ไม่ยากค้นหาเหมือนปกติอีก แต่ทยอยเผยจิตวิญญาณ ความรู้สึกนี้อัศจรรย์นัก ถ้าต้องพูดคือเหมือนผู้ฝึกปราณน้อยร้อยกว่าคนนั่งขัดสมาธิหยั่งรู้ฟ้าดิน
ครั้งนี้หลังจากจี้หยวนจรดพู่กัน อักษรจิ๋วทุกตัวต่างเปล่งแสงเลือนราง ทุกขีดทุกลายเส้นไม่ใช่แค่การเขียนทับอย่างเดียวอีก หากแต่เปี่ยมด้วยท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์
การเขียนอักษรบทหนึ่งใช้เวลาทั้งหมดชั่วยามกว่า เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการฝนหมึก บนเทียบอักษรนี้อักษรจิ๋วทุกตัวล้วนมีรอยหมึกสะดุดตาส่องประกาย ทำให้เทียบอักษรทั้งเล่มปกคลุมด้วยแสงพร่าเลือนเนิ่นนานไม่สลายชั้นหนึ่ง
‘อักษรพวกนี้กำลังฝึกปราณ!’
นี่คือความคิดซึ่งเกิดขึ้นในใจหลินเจี้ยนโดยปริยาย ทั้งยังไม่ยากคาดเดาว่าอักษรจิ๋วพวกนี้รับการถ่ายทอดวิชาจากจี้หยวน
แน่นอนว่าความจริงคือสิ่งที่จี้หยวนทำไม่ถึงขั้นเป็นการถ่ายทอดวิชาแท้จริง แค่อาศัยความเข้าใจของตนที่มีต่ออักษรวิญญาณพวกนี้ แสดงมรรคอักษรแก่พวกมันเท่านั้น
ในเมื่อคิดว่าพวกอักษรจิ๋วกำลังฝึกปราณ หลินเจี้ยนคิดเองว่าตนไม่เหมาะจะยืนตรงนี้แล้ว เรื่องนี้เทียบเท่ากับอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ คนนอกอย่างเขาอยู่ที่นี่ไม่เหมาะสม
ดังนั้นหลินเจี้ยนเลยคารวะพลางกล่าวเสียงเบา
“ท่านจี้ ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน ท่านทานอาหารเสร็จแล้ววางอุปกรณ์ทานอาหารไว้นอกสวนหมอกเมฆก็พอ”
“ได้ ข้าคนแซ่จี้ขอไม่ไปส่ง”
มองส่งหลินเจี้ยนจากไป จี้หยวนวางพู่กันลง เมื่อเขียนหมึกทับอักษรจิ๋วเสร็จย่อมควรกินอาหารแล้ว สีสันอาหารบนถาดตรงโต๊ะประณีตมาก มีอาหารจานร้อนที่ยังอุ่นอยู่ ทั้งมีอาหารจานเย็นประดับมุกน้ำแข็งละเอียด ถึงขั้นว่ามีสุรากาหนึ่งด้วย
“รูปลักษณ์ภายนอกไม่เลว แต่ปริมาณน้อยเกินไป…”
จี้หยวนยิ้มพลางส่ายหัว ค่อนแคะอย่างหายาก เขารู้ว่าผู้ฝึกเซียนมากมายกินอาหารแค่ลิ้มรส เพลิดเพลินกับความรู้สึกนั้น แต่เขาคนแซ่จี้ชอบความพอใจจากการกินอิ่มมากกว่า ภายในถาดใหญ่ใบนี้มีอาหารแปดอย่าง อาหารจานหนึ่งคีบได้แค่กี่คำ
แน่นอนว่าเขาเก้ายอดไม่ได้ขี้งก แม้ว่าปริมาณอาหารน้อยแต่ทุกอย่างประณีตไม่ธรรมดา ภายในนั้นแฝงวิญญาณดั้งเดิม ไม่ใช่สิ่งที่อาหารแฝงปราณวิญญาณเล็กน้อยทั่วไปเทียบได้
เขาเก้ายอดอัธยาศัยดีเช่นนี้ นอกจากแสดงมารยาทฐานะผู้จัดงานชุมนุมเซียนพเนจร รวมถึงมีความคิดผูกมิตรกับจี้หยวน สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือเขาเก้ายอดได้รับประโยชน์จริงๆ ผลประโยชน์นั้นคือยอดเขาเซียนมาเยือนในปัจจุบัน
สมบัติซึ่งผู้สูงส่งห้าคนหลอมไม่ธรรมดา ยามสร้างสมบัติสำเร็จ กลิ่นอายนานัปการระหว่างหลอมสมบัติยังอยู่บนยอดเขาเซียนมาเยือน กลายเป็นลักษณ์หยินหยางห้าธาตุ สำหรับยอดเขาเซียนมาเยือนถือเป็นสมบัติล้ำค่าหายากอย่างหนึ่ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เหล่าผู้สูงส่งแห่งเขาเก้ายอดเบิกบานใจ นำสุราอาหารชั้นดีมาต้อนรับจี้หยวนถือเป็นเรื่องสมควร ถึงอย่างไรยอดเขาเซียนมาเยือนย่อมไม่มีทางหนี มอบแดนสมบัติแจ้งมรรคแห่งหนึ่งแก่สำนักเรียกว่าเป็นโอกาสซึ่งหายากยิ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่แค่คนของเขาเก้ายอดที่รู้ แม้แต่ผู้ฝึกเซียนร่วมงานมากมายที่จากไปแล้วต่างรู้ดีเช่นกัน
จี้หยวนรินสุราจอกหนึ่งให้ตนก่อน จิบหนึ่งอึกเพื่อลิ้มรสเล็กน้อย รู้สึกว่ากลิ่นสุราเข้มข้น ไม่ใช่พวกปราณวิญญาณหรือปราณดั้งเดิมโดดเด่น แต่เป็นสุราเซียนบ่มโดยแท้ บนหน้ามีรอยยิ้มเพิ่มมาส่วนหนึ่ง จากนั้นค่อยคีบอาหารคำเล็กขึ้นมาลิ้มรส รู้สึกว่ารสชาติล้ำเลิศ แม้ว่าเทียบกับเขาเข้าครัวเองแล้วด้อยกว่ามาก
เขาเหลือบมองเทียบเจตกระบี่ พวกอักษรจิ๋วแต่ละตัวจดจ่อกับการฝึกปราณ จี้หยวนลิ้มสุรากินอาหารพลางกล่าวพึมพำ
“เจ้าตัวน้อยอย่างพวกเจ้ามีความสามารถอยู่บ้าง ครั้งนี้ต้องช่วยนายใหญ่อย่างข้าสร้างตำราสวรรค์หน่อย!”
การเขียนหมึกทับอักษรจิ๋ว ไม่ใช่แค่ช่วยอักษรจิ๋วฝึกปราณ แต่ช่วยจี้หยวนฝึกปราณเช่นกัน พิสูจน์มรรคอักษรจากวิญญาณอักษรฟ้าประทาน
เดิมวิญญาณอักษรบ่งบอกถึงมรรคอักษร ตอนนั้นยามเขียนวิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน พวกอักษรจิ๋วยังด้อยความสามารถอยู่มาก ตอนนี้เมื่อเตรียมเขียนตำราสวรรค์ใหม่ อักษรจิ๋วพวกนี้ช่วยจี้หยวนได้ไม่น้อย
…
แม้ว่าถ้ำสวรรค์เก้ายอดมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับโลกภายนอก แต่สุดท้ายภายในถ้ำสวรรค์ถือว่าคล้ายคลึงภพภูมิหนึ่ง ถึงขั้นว่ามีกฎเกณฑ์ของตัวเองด้วย หากเขาเก้ายอดต้องการ ยามตัดสินใจเด็ดขาดอาจส่งผลต่อหลักการมรรคสวรรค์บางส่วน ถือเป็นยอดเขาแดนเซียนอย่างแท้จริง
จวนเซียนซ่อนอยู่ใน ‘ถ้ำ’ ทั้งสงบและสันติ หล่อเลี้ยงบุปผาวิญญาณหญ้าประหลาดกลางห้วงอากาศกว้างใหญ่ไพศาล ค่อนข้างมีประโยชน์ต่อการแจ้งมรรค บางครั้งอาจเลือกผู้มีความสามารถจากเหล่าคนธรรมดาในถ้ำสวรรค์เข้ามาสู่สำนักเซียน แค่ความถี่ต่ำมากเท่านั้น
บนเก้ายอดเขาซึ่งเขาเก้ายอดอยู่ เวลาเชื่อมต่อกับโลกภายนอก ดังนั้นพวกจี้หยวนอยู่บนเขาเก้ายอดหนึ่งวันเท่ากับอยู่บนโลกภายนอกหนึ่งวัน
แต่แดนถ้ำสวรรค์ล่างเก้ายอดเขา เวลาล่วงเลยต่างจากโลกภายนอก โดยทั่วไปจะห่างกันราวสิบวัน กล่าวคือบนเขาเก้ายอดผ่านไปหนึ่งวัน ถ้ำสวรรค์เก้ายอดจะผ่านไปสิบวัน
ดังนั้นเมื่อพวกจี้หยวนหลอมเชือกมัดเซียนเสร็จ ทั้งเดินทางไปกลับเขาลาดชันจนถึงยามจี้หยวนเริ่มแปรวิชาเขียนตำรา ภายในถ้ำสวรรค์เก้ายอดล่างเขาเก้ายอด ความจริงผ่านไปสามเดือนกว่าแล้ว
กลางป่าลึกเมฆหมอกอบอวล มีกลุ่มคนเดินลัดเลาะอย่างยากลำบาก เริ่มเดินทางตั้งแต่สามเดือนก่อน เข้าป่ามาหนึ่งเดือนครึ่ง พวกเขาผ่านอุปสรรคยากลำบาก เดินผ่านถิ่นทุรกันดาร ถึงวันนี้เหนื่อยล้าหมดแรง ถึงขีดจำกัดทางร่างกายกับจิตใจ
ในขบวนล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์ หรือกล่าวว่าเป็นเด็กทั้งสิ้น ถึงขั้นมีเด็กน้อยตัวเล็กด้วย ตอนนี้พวกเขากำลังเดินบนเนินหินกลางป่าเปี่ยมตะไคร่แห่งหนึ่ง ต่อให้ระวังอย่างมาก แต่ด้วยหมดแรงกายแรงใจจึงมีคนลื่นล้ม
“โอ๊ย…”
ตึง…
แขนขาของเด็กน้อยที่ลื่นล้มถลอกจนเลือดไหลออกมา
“ฮือๆๆ พวกเรามาทำอะไรที่นี่ ทำไมพวกเราต้องมาด้วย ข้าไม่ไป ไม่ไปแล้ว!”
“มะ ไม่ไหวแล้ว…”
“ข้าก็ไม่ไหวแล้ว ข้าไม่ไปแล้ว ข้าไม่อยากหาแล้ว…”
เด็กหนุ่มแบกเชือกป่านมัดหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดหอบหายใจเช่นเดียวกัน รู้สึกว่าเชือกป่านมัดนี้เหมือนเหล็กมากมาย กดทับเขาจนหายใจไม่สะดวก
ปึง…
เชือกป่านถูกเหวี่ยงลงพื้น เด็กหนุ่มข้างหน้าหย่อนก้นนั่งลงบนนั้น แอบปาดน้ำตาตัวเอง ช่วงหลายวันนี้มีคนร้องไห้ไม่น้อย ตอนนี้เป็นแค่หนึ่งในนั้น ทั้งเป็นครั้งที่ทุกข์ระทมมากที่สุด
“อาเจ๋อ พวกเรากลับกันเถอะๆ”
“ข้าอยากกลับไป ข้าอยากกลับบ้าน!”
เด็กหนุ่มซึ่งนั่งบนเชือกป่านใช้สองมือกุมหน้า น้ำตาไหลออกมาจากซอกนิ้ว ได้ยินเพื่อนร่วมทางวิงวอนไม่หยุด เขาแค่เงียบไม่พูดจา เนิ่นนานกว่าเด็กหนุ่มจะพูดเจือแววสะอื้น
“ไม่มีแล้ว ไม่มีบ้านแล้ว… พวกเรากลับไปก็ไม่มีบ้านแล้ว…”
“ถะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ต้องเข้าป่าลึกขนาดนี้ พะ พวกเราหลบอยู่ข้างนอกช่วงหนึ่งก็พอ…”
เด็กหนุ่มปาดน้ำตาเล็กน้อย ลุกขึ้นมาส่ายหัว หันมองสถานที่ห่างไกลซึ่งเมฆหมอกอบอวล
“ไม่ได้! พวกเราต้องเดินเข้าไปอีก เดินเข้าไปในเขาค้ำฟ้า พวกเราจะเจอเขาเซียนค้ำฟ้า ท่านปู่ข้าเคยบอกว่าเทือกเขาค้ำฟ้าอยู่ทางตะวันออกสุด มียอดเขาสูงทะลวงขอบฟ้า ที่นั่นคือแดนสวรรค์ ฮึก… ฮือ… มะ เมื่อเจอเซียนย่อมทำให้ท่านพ่อท่านแม่กับท่านปู่ฟื้นคืนชีพได้!”
……….