เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 520 แดนเซียนมีหรือจะไปง่ายเช่นนั้น
ตอนที่ 520 แดนเซียนมีหรือจะไปง่ายเช่นนั้น
……….
แม้ว่าคำพูดซึ่งเด็กหนุ่มกล่าวพร้อมปาดน้ำตาทำให้เพื่อนร่วมทางร้องระงม แต่เวลาแบบนี้อาศัยการร้องไห้ไม่มีประโยชน์ ท้องหิว ซึมเซา หมดแรง บาดแผลเต็มตัว ทุกคนล้วนถึงขีดจำกัด เมื่อเด็กหนุ่มที่พูดลุกขึ้นจากเชือกป่านยังรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง
“พี่อาเจ๋อ ข้าหนาว ข้าหิว…”
“ข้าก็หิว…”
ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิจึงยังหนาว เสื้อผ้าเจออากาศชื้นกลางป่าจนเสียคุณสมบัติการสร้างความอบอุ่นส่วนใหญ่ไป ก่อนหน้านี้ปีนป่ายเร่งเดินทางตลอดเลยยังดี ตอนนี้พักผ่อนครู่หนึ่งจึงหนาวจนทนไม่ไหว
บนหน้าทุกคนล้วนมีคราบน้ำตา มือกับใบหน้าที่โผล่ออกมาเปี่ยมบาดแผล มาจากพุ่มหนามวัชพืชกับการล้มกระแทก
“พะ พวกเราหาสถานที่พักผ่อนก่อไฟก่อน จากนั้นค่อยกินอะไรสักหน่อย”
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าอาเจ๋อใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าเต็มแรง เช็ดน้ำตากับน้ำมูกออกไป แผลขีดข่วนบนหน้าเจ็บแสบด้วยเหตุนี้
“ไปๆ ลุกขึ้น อย่านั่งต่อเลย ถ้านั่งอีกคงเดินต่อไม่ไหวแล้ว!”
“ทุกคนลุกขึ้น พวกเราหาสถานที่กันลมฝนก่อน!”
“ช่วยกัน อย่ามีคนตกหล่นเล่า!”
“อืม!”
พวกเด็กน้อยทยอยกัดฟันดิ้นรนลุกขึ้น ก้าวสู่หนทางข้างหน้าอีกครั้ง ภูเขาห่างไกลยังมีเมฆหมอกอบอวล สองสามวันนี้ไม่เห็นดวงอาทิตย์ แม้แต่ทิศทางกลางป่ายังไม่ค่อยชัดเจน
ถ้ารวมเด็กซึ่งเห็นชัดว่าอายุน้อยกว่าหลายปี พวกเขาห้าคนเดินกลางป่าเขาอย่างยากลำบาก ด้วยอ่อนเพลียหมดแรงจริงๆ กอปรกับทางเขาเดินลำบาก พวกเขาเดินช้ามาก หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามค่อยพบสถานที่พักเท้าเหมาะสมแห่งหนึ่ง นั่นคือหินผาทรงเขาประหลาด ยอดเขายังมีก้อนหินยื่นออกมาเล็กน้อย บางทีอาจฝืนช่วยกันฝนได้ แต่กันลมย่อมเพียงพอ
“ตรงนั้น! ตรงนั้นมีสถานที่ดีๆ พักผ่อนก่อไฟได้ พวกเรารีบไปเร็ว!”
เสียงอาเจ๋อเจือความตื่นเต้น คนอื่นได้ยินแล้วฮึกเหิมขึ้นมา แม้แต่ฝีเท้ายังเร็วขึ้นไม่น้อย ทยอยเดินไปทางนั้น
แต่โชคไม่เกิดขึ้นพร้อมกันหายนะไม่มาเดี่ยว เมื่อทุกคนนั่งลงพิงผนังพักผ่อน ยามคาดหวังว่าจะก่อไฟสร้างความอบอุ่น เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับร้องอย่างตื่นตระหนก
“หายไปแล้ว! ไปไหนแล้ว! ไปไหนแล้ว! ไม่อยู่ตรงนี้…”
เด็กหนุ่มกำลังค้นกระเป๋าทั่วทั้งตัว ทำให้ดึงดูดความสนใจของทุกคน อาการลนลานของฝ่ายแรกแสดงออกมาทางสีหน้า ครู่ใหญ่ค่อยมองทุกคนอย่างสิ้นหวัง
“หินเหล็กไฟ… หายไปแล้ว…”
นี่ไม่ใช่การเข้าป่าระยะสั้น ทั้งไม่ใช่การผ่อนคลายอยู่บ้าน ไม่มีตะบันไฟให้ใช้ ถ้าอยากก่อไฟต้องใช้หินเหล็กไฟกับเชื้อเพลิง เมื่อทำหินเหล็กไฟหาย สำหรับเด็กน้อยพวกนี้ถือเป็นแรงโจมตีอย่างหนักหน่วง หนักถึงขั้นหายใจไม่สะดวก
อาเจ๋อมองเด็กหนุ่มที่รับผิดชอบดูแลหินเหล็กไฟคนนั้นอย่างอึ้งงัน คิดสั่งสอนอีกฝ่าย แต่เห็นสีหน้าลนลานของอีกฝ่ายแล้วเขาทำใจไม่ลงจริงๆ ทั้งไม่มีแรงทำเช่นนั้นด้วย
“ไม่ได้! ต้องก่อไฟ! พวกเราคิดหาวิธีก่อไฟ หาก้อนหินมาลองดู ทั้งใช้ไม้มาลองปั่น! พวกเจ้าไปหาฟืน ตอนอยู่บ้านใช่ว่าพวกเราไม่เคยก่อไฟ พวกเราต้องก่อไฟได้แน่!”
น่าเสียดายว่าคาดหวังมากเกินไป ความจริงคือสิ่งโหดร้าย ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ บนมือเปี่ยมบาดแผลของอาเจ๋อกับพวกพ้องคนอื่นมีตุ่มน้ำเพิ่มขึ้นมา บางส่วนแตกออก ความเจ็บปวดทะลวงใจ แต่ยังก่อไฟไม่ได้
สภาพแวดล้อมชื้นแฉะเกินไป ไม่แน่ว่าจะใช้ไม้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กน้อยพวกนี้เหน็ดเหนื่อยหมดแรงมาก่อนแล้ว
โครม ครืน…
เสียงอสนีดังขึ้นกลางอากาศ น่าจะยังไม่ถึงช่วงฟ้ามืด แต่กลางป่ากลับมืดสลัวลง มีเมฆฝนแถบหนึ่งลอยมา แสงอสนีส่องประกายอยู่ภายใน
เปรี้ยง… ครืน…
“อ๊า…”
“ฮือๆๆๆๆ…”
เด็กอายุน้อยสุดถูกทำให้ตกใจจนร้องไห้ ความจริงคนอื่นไม่ดีกว่ากันเท่าไหร่ ทุกคนได้แต่ขดตัวชิดผนังหิน
“เข้ามาใกล้หน่อย พวกเราอยู่ใกล้กันไว้!”
“ขดตัวอยู่ตรงมุม ชิดกันจะอบอุ่นหน่อย!”
ครืน…
ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ ลมแรงขึ้นมา โชคดีว่าหินผาทรงเขาประหลาดยังกันลมได้ ใช่ว่าไม่มีลมโดยสิ้นเชิง ทุกคนเห็นว่าข้างนอกหินทรายปลิวว่อน เทียบกับข้างนอกแล้วดีกว่าไม่น้อย
ซ่า…
ไม่นานฝนตกกระหน่ำลงมา ก้อนหินเหนือศีรษะไม่ได้กันน้ำฝนเต็มที่ แค่ลมพัดมาเล็กน้อย อาเจ๋อกับเด็กหนุ่มอีกสองคนที่อยู่รอบนอกสุดต่างเปียกฝนโดยง่าย
“หนาวนัก…”
“เขยิบเข้าไปด้านในหน่อย!”
“พี่อาเจ๋อ… ตอนนี้ฝนตกหนัก… ดีว่ายังไม่ก่อไฟ มิฉะนั้นคงอึดอัดมากแน่…”
เด็กที่อยู่ด้านในพลันกล่าวเช่นนี้ ทำให้ทุกคนต่างเงียบไปครู่หนึ่ง
“หึๆ ใช่ ดีว่ายังไม่ก่อไฟ!”
“อืม… คิดแบบนี้ค่อยรู้สึกดีหน่อย!”
“หึๆๆ…”
แม้ว่าทุกคนกำลังหัวเราะ แต่กลับห้ามน้ำตาไม่ค่อยอยู่
อาเจ๋อคลายถุงผ้าใบหนึ่งซึ่งแขวนอยู่ตรงคอ เอียงปากถุงเทของออกมาอย่างระมัดระวัง กลางฝ่ามือปรากฏเมล็ดข้าวผสมรำข้าวกองน้อย สีขาวของเมล็ดข้าวสะดุดตาท่ามกลางความมืดสลัว น่ามองเช่นนั้น
“เอ้า คนละหนึ่งกำ ไม่มีไฟก็กินแบบนี้แล้วกัน เคี้ยวจนแหลกหน่อย!”
“อืม!”
เด็กน้อยที่อยู่ด้านข้างใช้สองมือรับข้าวมาอย่างระวัง จากนั้นอาเจ๋อค่อยเทออกมาอีกกำ ก่อนส่งต่อให้คนอื่น รอเมื่อทุกคนมีครบแล้ว เขาค่อยเทให้ตัวเองบางส่วน
เมื่อชั่งน้ำหนักถุงผ้า สิ่งของด้านในมีไม่มากแล้ว
กรอบๆๆ…
เมื่อข้าวติดรำยังไม่หุงสุก ยามเคี้ยวย่อมแห้งมากและติดปาก พวกเด็กน้อยเคี้ยวเช่นนี้ ยามกลืนไม่ลงจะใช้มือรองน้ำฝนดื่ม แต่การกินอาหารแค่นี้ ความอบอุ่นที่เพิ่มขึ้นย่อมส่งผลสู้ความหนาวเย็นจากการดื่มน้ำฝนไม่ได้
นอกจากเด็กอายุน้อยสองคนที่ดีขึ้นบ้างแล้ว เด็กคนอื่นต่างหนาวจนสั่นทั้งตัว
“ฮู่… ฮู่… ไม่นานฟ้าจะสว่างแล้ว ไม่นาน…”
ดึกสงัดฝนหยุดแล้ว พวกเด็กน้อยกลับไม่นอน ต่อให้เหนื่อยล้าหมดแรง แต่สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่มีไฟย่อมยากจะหลับ ด้วยขาดความปลอดภัยมากเกินไป
“พี่อาเจ๋อ ถ้ามีสัตว์ป่ามาเล่า ทำอย่างไรดี”
“ถ้ามาก็ดี ดูว่ามันกินพวกเราหรือพวกเรากินมัน!”
“ใช่! ถ้ามาก็ดี!”
พวกเด็กหนุ่มข้างหน้าคนหนึ่งกำมีดพร้าในมือแน่น คนหนึ่งถือกระบองไม้ ในมืออาเจ๋อมีกริชพร้อมฝักหนังสัตว์เล่มหนึ่ง เมื่อดึงออกมาเล็กน้อยจะเผยแสงเยียบเย็นวาววาม
“อานี อากู่ พวกเจ้านอนเถอะ มีข้ากับอาหลงอยู่”
“อืม…”
เด็กหนุ่มกับเด็กน้อยที่อยู่ด้านในยืนหยัดไม่อยู่จริงๆ ในที่สุดก็หลับสนิท ไม่นานเด็กหนุ่มรอบนอกที่ค่อนข้างชิดในก็หลับฝัน มีแค่อาเจ๋อกับเด็กหนุ่มรอบนอกอีกคนมีดพร้ากับกริชแน่น
“อาเจ๋อ ถ้าข้าหลับไป เจ้าต้องตบข้าจนตื่นนะ!”
“อืม!”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม อาเจ๋อกับอาหลงหลับไปพร้อมกัน…
กลางป่ามีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้รางๆ เสียงฝีเท้านี้เบามากจริงๆ ไม่อาจทำให้เหล่าเด็กน้อยที่หลับอยู่ตกใจตื่น
นี่คือเสือดาวสีน้ำตาลดำตัวหนึ่ง มันมีขนอ่อนนุ่มทอดยาว มีกรงเล็บคมกริบ อุ้งเท้าหนานุ่มทำให้มันเดินอย่างไร้สุ้มเสียง เข้ามาใกล้พวกเด็กน้อยทีละก้าว กระทั่งอยู่ห่างเพียงก้าวเดียว
ฟืด… ฟืด…
เสือดาวแสยะมุมปากเผยเขี้ยวคมกริบ ดมกลิ่นพวกเด็กน้อย
เวลานี้เองไม้เท้าสั้นหนึ่งฟาดลงหัวเสือดาว ทำให้เสือดาวหดศีรษะเล็กน้อย ที่แท้บนหลังเสือดาวยังมีชายชราสวมชุดคลุมเขียวคนหนึ่งนั่งอยู่
“เฮ้อ! เด็กพวกนี้…”
ยามถอนใจไม้เท้าสั้นในมือชายชราชี้ไปข้างหน้า เสื้อผ้าบนตัวเด็กหนุ่มกับเด็กน้อยทยอยแห้ง ก่อนหมุนไม้เท้าสั้นชี้ด้านข้าง ห่างจากเขาประหลาดที่พวกเด็กน้อยนอนหลับไปไม่ไกล มีท่อนไม้กับตอไม้เพิ่มขึ้นมาหลายแห่ง บนนั้นมีเห็ดโตกำลังดีมากมาย
เมื่อทำเรื่องพวกนี้เสร็จ เสือดาวค่อยหันหลังกลับช้าๆ ชายชราที่นั่งอยู่บนหลังจากไปเรื่อยๆ
“เฮ้อ แดนเซียนมีหรือจะไปง่ายเช่นนั้น รีบหวนกลับไปเป็นดี…”
วันต่อมามีแสงแดดสาดส่องหน้าอาเจ๋อ แยงตาเขาจนร้อนผ่าว เขาออกแรงขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก
‘แย่แล้ว! ข้าหลับไปหรือ!?’
อาเจ๋อมองซ้ายมองขวาอย่างลนลาน พบว่าไม่มีใครขาดไปสักคน คราวนี้ค่อยเป่าปากโล่งอก
“อาหลงๆ ตื่นสิอาหลง”
“หา!?”
อาหลงตัวสั่น การตอบสนองแรกคือยกมีดพร้าขึ้นมา เมื่อเห็นสถานการณ์ชัดเจนค่อยเป่าปากเฮือกใหญ่ หันมามองอาเจ๋อ
“อาเจ๋อ ทำไมเจ้าไม่ปลุกข้าเล่า…”
อาเจ๋อไม่ได้บอกว่าตนเองหลับเช่นกัน ใช่ว่าคิดเอาความชอบ แต่ถ้าทำแบบนั้นภายหน้าทุกคนอาจหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม แค่เตือนตัวเองในใจว่าภายหน้าเมื่อถึงคราวเขาเฝ้ายามจำเป็นต้องระวังตัว อีกด้านหนึ่งฝืนยิ้มพลางกล่าว
“ไม่เป็นไร ข้าเห็นว่าเจ้าหลับสนิทจึงไม่ปลุกเจ้า”
“พี่อาเจ๋อ ฟ้าสว่างแล้วหรือ”
“อืม ฟ้าสว่างแล้ว!”
อาเจ๋อกับอาหลงหลีกทาง ทำให้ทุกคนซึ่งเท้าชาลุกขึ้นมาเหยียดตัวได้ วันนี้อากาศดีอย่างหาได้ยากตั้งแต่เข้าป่ามา
“ไม่เห็นดวงอาทิตย์มานานมากแล้ว ดีจริง!”
เด็กคนนั้นบิดตัวขยับขาเดินโดยรอบ ทันใดนั้นท่อนไม้ที่ห่างไปไม่ไกลสะท้อนเข้าสู่สายตา ไม่นานแววยินดีปรากฏบนหน้า
“พี่อาเจ๋อ! เห็ด! ตรงนั้นมีเห็ดเยอะเชียว เป็นเห็ดหล่มขาว เห็ดหล่มขาว!”
“ตรงไหน”
“ตรงนั้นๆ!”
ทุกคนต่างวิ่งเหยาะมารวมกัน เมื่อเห็นว่าเป็นเห็ดหล่มขาวจริง ทั้งปริมาณยังไม่น้อย ทั้งหมดล้วนดีใจจนหัวเราะลั่น
“ดียิ่งนัก มีเห็ดกินแล้ว!”
“เป็นเห็ดหล่มขาวจริงด้วย!”
“ก่อไฟๆ ต้องก่อไฟขึ้นมา!”
ตอนนี้อาเจ๋อกับทุกคนล้วนพลังงานเต็มเปี่ยม สุดท้ายหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาปั่นไม้จนเกิดประกายไฟออกมา ประกายไฟติดผ้าน้ำมัน กองไฟถูกพวกเขาก่อขึ้นมา
ตั้งหม้อซึ่งพกติดตัว หาน้ำแร่ภูเขามา เทข้าวเล็กน้อยกับเห็ดมากมาย เมื่อในหม้อส่งกลิ่นหอมถือเป็นเวลาแห่งความสุขของพวกเด็กน้อย
……….