เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 522 ตามหาเซียนหรือรนหาที่ตาย
ตอนที่ 522 ตามหาเซียนหรือรนหาที่ตาย
……….
ภายใต้การสัมผัสพลังขับเคลื่อนยามนี้ รูปจำลองจี้หยวนมองห่างออกไปก่อนมองยอดเขามรรคสวรรค์ คล้ายมองทะลุผนึกบนยอดเขา เห็นเซียนจ้าวอวี้เจ้าสำนักเขาเก้ายอดตรงเรือนรับรองเจ้าสำนักเขาเก้ายอด
ตอนนี้จี้หยวนไม่เหมือนแบ่งจิตเป็นสอง แต่เหมือนมีสองความคิดร่วมกันพิจารณามากกว่า ความจริงเบื้องล่างจดจ่อกับการแปรตำรา มายาเบื้องบนใคร่ครวญสถานการณ์กลางป่าเขาเก้ายอด
เจ้าสำนักเขาเก้ายอดมรรควิถีแกร่งกล้า พลังปราณลึกล้ำเกินคาดเดา ต่อให้มายารูปจำลองจี้หยวนอยู่ระดับเจตจำนงตน แต่เจ้าสำนักจ้าวกลับค้นพบ ทว่าไม่ทำให้จี้หยวนผิดคาดนัก ถึงอย่างไรมรรควิถียิ่งสูงยิ่งอัศจรรย์ยากหยั่งถึง
แต่เจ้าสำนักเขาเก้ายอดไม่อาจนิ่งเฉยอยู่บ้างแล้ว ก่อนหน้านี้เขาตกใจเพราะมายารูปจำลองจี้หยวน ครุ่นคิดว่านี่คือวิชาอัศจรรย์อะไร คิดไม่ถึงว่ามายารูปจำลองจี้หยวนกลับสังเกตเห็นเขา ทั้งยังมองมาด้วย
ต้องรู้ว่าการมองยอดเขาเซียนมาเยือนของเจ้าสำนักจ้าวค่อนข้างปลอดโปร่ง แต่ตรงยอดเขามรรคสวรรค์ โดยเฉพาะห้องฝึกสงบของสำนักล้วนมีผนึกค่ายกลปิดกั้น แต่ราวกับไม่มีผลอะไร
แต่เจ้าสำนักจ้าวไม่ตื่นตูมเกินไป ผู้สูงส่งมรรคเซียนอย่างจี้หยวนมีวิชาอัศจรรย์บ้างถือว่าปกติ แต่สถานการณ์กลางป่าเขาที่ห่างไกลกลับน่าสนใจอยู่บ้าง
เมื่อเห็นรูปจำลองจี้หยวนถอนสายตากลับแล้ว เจ้าสำนักเขาเก้ายอดลูบเคราครุ่นคิด ขับเคลื่อนความคิดสื่อจิตออกไป เตรียมส่งผู้เหมาะสมไปดูกลางป่าเขาเบื้องล่าง
สำหรับตัวเจ้าสำนักจ้าวเอง จี้หยวนเขียนนานเท่าไหร่ เขาย่อมมองนานเท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีทางอ่านเนื้อหาของตำรา เพียงแค่มองการเปลี่ยนแปลงผิดปกติของมรรคซ่อนเร้นอยู่ไกลๆ
อาศรมบางแห่งบนยอดเขามรรคสวรรค์ ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิกลางเรือน ระหว่างเบาะรองสองอันยังมีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง บนนั้นนอกจากน้ำชาแล้วยังมีตำราเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่ง
ทั้งสองกำลังวิเคราะห์ความหมายในคัมภีร์มรรคเก่าแก่ ส่วนมากคัมภีร์มรรคเก่าแก่เช่นนี้ค้นเจอจากร้านตรงท่าเรือเซียน บางทีอาจเป็นเพราะผ่านมานาน เจตเทพจึงหายไป ดังนั้นต้องอาศัยความหมายตัวอักษรมาวิเคราะห์เนื้อหาซึ่งบันทึกอยู่ในนั้น สิ่งที่แน่ใจได้คือเนื้อหาบนนั้นย่อมน่าสนใจ ไม่ใช่บทความซึ่งคนธรรมดาปั้นเรื่องขึ้นมา
ยามทั้งสองถกเรื่อง ‘เทพครองมรรค’ บนคัมภีร์มรรค หนึ่งในนั้นพลันชะงัก ในหูได้ยินเสียงเซียนเจ้าสำนัก เขาจดจ่อครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะไปทางภูเขาพลางกล่าวเสียงเบา
“รับคำสั่ง!”
ผู้ฝึกปราณร่วมสำนักที่อยู่ด้านข้างลุกขึ้นเอ่ยถาม
“ศิษย์น้องจิ้น เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ศิษย์พี่หลี่ เมื่อครู่เซียนเจ้าสำนักสื่อจิตบอกข้า สั่งข้าไปดูโลกชั้นล่างในถ้ำ กลางป่าเหมือนมีคนมาตามหาเซียนแสวงมรรค ความเชื่อมั่นค่อนข้างเด็ดเดี่ยว”
ผู้ฝึกปราณด้านข้างพยักหน้าเล็กน้อย
“อ้อ ไปพร้อมกันเป็นอย่างไร”
“ก็ดี พวกเราเดินทางเลยเถอะ!”
ทั้งสองคนเก็บตำราบนโต๊ะเตี้ย จากนั้นค่อยขี่ลมออกจากยอดเขามรรคสวรรค์พร้อมกันก่อนลอยไปทางใต้
…
กลางป่าตรงถ้ำสวรรค์บนโลกชั้นล่างของเขาเก้ายอด หรือก็คือแดนถ้ำสวรรค์ซึ่งคนทั่วไปเรียกอย่างแพร่หลายว่าเขาค้ำฟ้า ตอนนี้สภาพอากาศมีลมฝนสลับฟ้าแลบฟ้าคำราม
ท้องฟ้าถูกพยับเมฆบดบังโดยสมบูรณ์ กลางป่าเขาเดิมควรเป็นกลางวัน แต่สภาพแวดล้อมกลับเหมือนกลางคืน
โครม ครืน…
สายฟ้าแลบสาดส่องยอดเขากับพื้นดินชั่วขณะ อาเจ๋อเห็นต้นไม้โดยรอบส่ายสั่น ท่ามกลางลมฝนเหมือนสัตว์ประหลาดมากมายแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ
แสงอสนีสายหนึ่งพลันฟาดผ่าห่างออกไปสิบกว่าก้าว ผ่าโดนต้นไม้ต้นหนึ่ง
เปรี้ยง… ครืน…
แสงอสนีเด่นชัดเสียดแทงตาอาเจ๋อ เสียงอสนีดังกระหึ่มยิ่งเกือบทำให้เขาหูดับ อาเจ๋อขดตัวอยู่ในช่องผนังหินเล็กแห่งหนึ่ง ทั้งใช้สองมืออุดหูแน่น
อาเจ๋อเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง คำนวณเต็มที่ย่อมไม่มีทางเกินสิบห้าสิบหกปี เมื่อเห็นสภาพอากาศเช่นนี้แน่นอนว่าเขากลัว แต่การเดินทางยากลำบากช่วงนี้ ทำให้เขาซึ่งเดิมเฉลียวฉลาดรู้สึกถึงความผิดปกติรางๆ
‘ท่านปู่เคยบอกว่าเมื่อเกิดสถานการณ์ผิดปกติมากเกินไปคือเรื่องผิดธรรมดา’
ตอนนี้อาเจ๋อทั้งหนาวทั้งหิว เสื้อผ้าทั้งตัวล้วนเปียกชื้น แต่อาศัยความยึดมั่นว่าต้องทำให้ครอบครัวฟื้นคืนชีพกลับมา ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่หันหลังกลับ ในเมื่อขึ้นเขาค้ำฟ้าอีกครั้ง อาเจ๋อไม่เคยคิดกลับไปมือเปล่า ต่อให้เขาเข้าใจว่าตนอาจตายอยู่กลางป่าก็ตาม
ด้วยความยึดมั่นถึงขั้นยอมตายเช่นนี้ อาเจ๋อซึ่งเดิมทั้งหนาวทั้งหิวทั้งกลัวกลับกำหมัดตะโกนกลางป่า
“ข้าไม่กลัว! ข้าไม่กลัว! ข้ารู้ว่านี่คือบททดสอบของเซียน ข้าไม่กลัว…!”
ท่ามกลางเสียงฝนกระหน่ำกับเสียงฟ้าคำรามเสียงตะโกนของอาเจ๋อย่อมดังไปไม่ไกล ทั้งไม่มีทางดังถึงหูเซียนบนสวรรค์ แต่กลับช่วยอาเจ๋อระบายความหวาดกลัวส่วนหนึ่งในใจออกไป
ลมพายุยังไม่ผ่านพ้น ฟ้ามืดอย่างแท้จริงแล้ว เขาขดตัวอยู่ในช่องผนังหิน มองสภาพภายนอกคือยื่นมือแล้วไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ง่วงเหงาหาวนอนแต่กลับไม่กล้าหลับจริงๆ
ด้านบนผนังหินซึ่งอาเจ๋อผล็อยหลับ บนก้อนหินมีหน้าชายชราโผล่ออกมาช้าๆ หน้าตาเขาเหมือนชายชราที่เสกเสื้อพวกเด็กน้อยจนแห้งและมอบเห็ดให้ยามค่ำคืนก่อนหน้านี้
ไม่รู้ว่าพายุผ่านพ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อาเจ๋อไม่รู้ว่าหลับตอนไหน กลางท้องฟ้ายามค่ำคืนมีคนเหยียบสายลมเย็นมา โรยตัวลงบนเนินเขาใกล้เคียงช้าๆ เป็นผู้ฝึกปราณสองคนแห่งเขาเก้ายอดนั่นเอง
สถานการณ์ตรงขอบฟ้าห่างไกลดึงดูดความสนใจของใบหน้าชายชราบนผนังหินทันที ในใจเขากระตุกวูบ ผลุบหายเข้าไปอย่างเนิบช้าทันที
‘เจ้าตัวดี! ถึงกับดึงดูดเซียนมาสำรวจโลกชั้นล่างแล้ว!’
กลางป่าแห่งนี้ไม่มีปราณมนุษย์อื่นอีก เมื่อทั้งสองคนยังอยู่บนฟ้าจึงพบตัวอาเจ๋อทันที ตอนนี้เห็นเด็กหนุ่มขดตัวผล็อยหลับ ผู้ฝึกปราณแซ่จิ้นส่ายหัวเล็กน้อย
“ยังเด็กอยู่เลย!”
ศิษย์พี่ร่วมสำนักที่อยู่ด้านข้างส่ายศีรษะเช่นกัน
“เดินมาถึงตรงนี้ไม่ง่ายนัก เพียงไอมรณะนี้ก็ไม่เหมือนตามหาเซียน กลับเหมือนรนหาที่ตาย…”
ระยะห่างใกล้แค่นี้ เซียนเขาเก้ายอดสองคนมีหรือจะมองอาการน่าเป็นห่วงของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ออก ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านขีดจำกัดของร่างกาย ยังมีการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายด้วย
ผู้ฝึกปราณแซ่จิ้นนับนิ้วทำนายเล็กน้อย ทราบว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเข้าป่ามานานมากแล้ว อย่างน้อยสำหรับคนธรรมดา โดยเฉพาะเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งถือว่านานมาก ภายใต้การทดสอบผ่านสภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนี้ สถานการณ์เช่นนี้นับว่าหนึ่งวันผันผ่านราวหนึ่งปี
“ศิษย์พี่หลี่ ท่านคิดว่าอย่างไร”
ผู้ฝึกปราณแซ่หลี่โบกมือกล่าว
“ศิษย์น้องจิ้น นี่เป็นเรื่องซึ่งเซียนเจ้าสำนักมอบหมายแก่เจ้า ไม่ต้องถามความเห็นของข้า เจ้าตัดสินใจก็พอ”
ผู้ฝึกปราณแซ่จิ้นได้ยินแล้วมองอาเจ๋อที่อยู่ห่างไกล ทั้งมองเขาเก้ายอด ตำแหน่งของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เห็นเก้ายอดเขาค้ำฟ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปีนหนึ่งในเก้ายอดเขา แม้ว่าเด็กหนุ่มเข้าป่านานแล้ว แต่ด้วยผิดทางกับความเร็วการเดิน หนทางจึงอีกไกล
“เด็กคนนี้เหมือนไม่มีความคิดหันหลังกลับ หากทำแบบนี้ต่อไป เขาต้องตายกลางป่าแน่ ศิษย์พี่หลี่…”
“เฮ้อ ศิษย์น้องจิ้น เจ้าตัดสินใจก็พอ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ พวกเราสังเกตเขาอีกพักหนึ่ง จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะพาเขาขึ้นเขาเก้ายอดหรือไม่”
“อืม”
…
วันหนักหน่วงมาเยือนอีกครั้ง อาเจ๋อตื่นจากความหนักอึ้งและบาดแผลเต็มตัว ไม่ตำหนิว่าตนนอนหลับอีก เขาดิ้นรนลุกขึ้น เรื่องแรกที่ทำคือถอดเสื้อบนตัว ใช้มือบิดน้ำบนนั้นเต็มกำลัง
เหตุใดเห็นชัดว่ากลางเขามีสัตว์ป่ามากขนาดนี้ ทั้งรู้สึกว่าห่างไปไม่ไกลมีสัตว์คำรามน่ากลัวหลายครั้ง แต่ไม่เคยโจมตีตน ตอนนี้ตนอ่อนแอยิ่ง เป็นอาหารซึ่งจับตัวง่ายชัดๆ
เหตุใดตนถึงยังไม่ล้ม ล้มตายไปย่อมเจอท่านปู่กับท่านพ่อท่านแม่แล้วกระมัง ได้ยินว่าหลังจากสิ้นชีพจะมีโลกของคนตาย มียมทูตดำพาไป ต่อให้อยู่กลางป่าเขาก็น่าจะไปได้กระมัง
อาเจ๋อหมดความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ความยึดมั่นในใจกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่อาจแยกชัดเจนว่าเป็นความยึดมั่นอยากหาเซียนมาช่วยชีวิตครอบครัว หรืออยากตายกลางป่าเขาไปเจอครอบครัวกันแน่
ผ่านไปอีกสามวัน สามวันนี้นอกจากกินผลหมากรากไม้จำนวนน้อยแบบดิบกับดื่มน้ำบางส่วนแล้ว อาเจ๋อไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีก ยิ่งไม่มีทางมีแรงก่อไฟ
เที่ยงวันนี้เป็นวันฝนตกอีกครั้ง อาเจ๋อไม่เจอสถานที่หลบฝนซึ่งเหมาะสม เดินกะเผลกตามหาไม่หยุด เขารู้ว่าเมื่อฝนเริ่มตก ฟ้าจะมืดเร็วเป็นพิเศษ
สายตาพร่ามัวอยู่บ้าง อาเจ๋อรู้ว่าตนถึงขีดจำกัดอย่างแท้จริง คราวนี้ไม่ใช่ขีดจำกัดด้านพลังกาย แต่เป็นขีดจำกัดของชีวิต
‘แบบนี้ดียิ่งนัก…’
ในสายตาพร่ามัวอาเจ๋อเหมือนเห็นเงาคนสองสายเข้ามาใกล้ ก่อนคนเราตายจะมียมทูตดำมารับดังคาด
“เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าชื่ออะไร”
เมื่อคำพูดนี้ดังมา อาเจ๋อรู้สึกมีสติขึ้นมาบ้าง เขาพลิกตัวนอนหงาย มองชายสองคนกลางสายฝนข้างกาย น้ำฝนโดยรอบเหมือนหลบเลี่ยงพวกเขา
“ข้า ชะ ชื่ออาเจ๋อ จวงเจ๋อ… พวกท่านคือยมทูตดำหรือ”
“ยมทูตดำ? หึๆ ยมทูตดำไม่มีทางมาถึงที่นี่ หากตายกลางป่าเขาย่อมเป็นผีเร่ร่อน”
“ถ้าอย่างนั้นพวกท่าน… เป็นใคร”
ผู้ฝึกปราณแซ่จิ้นค้อมตัวลงมา ยื่นมือจับมืออาเจ๋อขึ้นมาเบาๆ ดึงตัวเด็กหนุ่มขึ้นมายืนตรง ทั้งมีปราณวิญญาณสายหนึ่งแทรกซึมเข้าร่างกาย ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเขา
“ข้าคิดว่าเจ้าคงเคยได้ยินชื่อของข้ามาก่อน ข้านามว่าจิ้นฉางตง”
อาเจ๋ออึ้งงันครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยตัวสั่นทันที
“จิ้นฉางตง? ท่านฉางตง!? ท่านคือเซียนฉางตงหรือ!?”
จิ้นฉางตงพยักหน้า จากนั้นค่อยสะบัดแขนเสื้อ ใต้ฝ่าเท้าเกิดเมฆหมอก พาเด็กหนุ่มคนนี้ลอยขึ้นฟ้าพร้อมศิษย์พี่ช้าๆ
“ตามข้ากลับเขาก่อนเถอะ!”
ไม่รู้ว่าการเหยียบเมฆเหาะเหินเร็วกว่าอาเจ๋อเดินทางอย่างยากลำบากกี่เท่า ไม่นานเด็กหนุ่มซึ่งรู้สึกตื่นเต้นตามเซียนสองคนทะลวงผ่านเมฆหมอกหลายชั้น เห็นยอดเขามหึมาเก้าแห่งซึ่งสูงเสียดฟ้าอยู่ห่างไกล
……….